ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองหมอหลวงที่ยืนนิ่งอยู่ข้างเขา สุดท้ายก็กล่าวสองคำว่า ”หมอเถื่อน”
หมอ.. หมอเถื่อนหรือ?!
เขาเป็นหมอมามากกว่าสิบปี และยังมีชื่อเสียงไม่น้อยตอนที่อยู่กับอดีตฮ่องเต้ แต่ตอนนี้เขากลับถูกกล่าวหาว่าเป็นหมอเถื่อนเพราะเรื่องปวดท้องระดูแค่เล็กน้อยเท่านั้น…
หมอหลวงที่รู้สึกเหมือนถูกใส่ร้ายเริ่มเงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดานแล้วปาดน้ำตา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วในที่สุดเขาก็ขมวดคิ้วและเริ่มสั่งหมอหลวงว่า ”เจ้า ไปซื้อขิงมา”
หมอหลวงส่งเสียงคร่ำครวญออกมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว ”เจ้าบอกมิใช่หรือว่านางจำเป็นต้องดื่มน้ำขิงต้มน้ำตาล”
หมอหลวงรู้สึกเหมือนถูกสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่มองมาที่ตนราวกับเป็นคนโง่เขลานั้นยั่วโมโห ในเมื่อเขาคิดว่าเขาเป็นหมอเถื่อน ทำไมถึงยังนำวิธีการที่เขาแนะนำไปใช้อยู่เล่า
แม้หมอหลวงจะคำรามอยู่ในใจ แต่เขาก็ยังซื้อของที่เขาจำเป็นต้องซื้อกลับมา และยอมทำขิงต้มน้ำตาลอย่างยอมรับในชะตากรรมของตน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่ข้างๆ ตั่งไม้ ดูเหมือนเขาเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงโยนเสื้อตัวนอกที่เขาใส่วันนี้ให้กับเงาทมิฬ ”เอาไปเผาทิ้งซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เวลานี้เงาทมิฬไม่กล้าถามหาเหตุผลอะไรอีกต่อไป แม้ว่าเสื้อตัวนอกตัวนี้จะเพิ่งตัดเย็บเสร็จใหม่ๆ วันนี้ และยังทำมาจากผ้าไหมซูโจวราคาแพงที่สุดจากเมืองซูหางก็ตาม
ในเมื่อฝ่าบาทรู้สึกรังเกียจและรู้สึกว่ามันสกปรก เช่นนั้นมันก็สมควรที่จะถูกเผา
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงหลับอยู่ ผมสีดำเปียกชื้นของนางกระจายไปทั่วใบหน้า ทำให้นางดูเหมือนสัตว์ที่มีกรงเล็บนุ่มนิ่มตัวเล็กๆ ซึ่งถูกล่ามเอาไว้
เดิมทีไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคิดว่าเขาพอใจกับการได้เห็นนางในสภาพนี้ เพราะมีแค่เพียงเวลาเช่นนี้เท่านั้นที่นางจะยอมอยู่นิ่งๆ
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก
เขาใช้นิ้วจับข้อมือของนางขึ้น และมันก็ตกลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่ในมือเขา
คาดไม่ถึงว่าเขาจะพบว่าภาพนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
ตอนที่หมอหลวงมาถึงแล้วเห็นภาพนี้ เขาก็ลังเลที่จะนำขิงต้มน้ำตาลเข้าไปให้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้น แล้วออกคำสั่งเสียงเย็นชา ”วางถ้วยเอาไว้ตรงนั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงรู้ว่าหากในเวลานี้ตนยังเลือกที่จะอยู่ตรงนั้นต่อก็คงนับว่าไม่รู้จักกาลเทศะนัก ดังนั้นหลังจากที่วางถ้วยลงแล้ว เขาก็ก้มหน้าออกไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบถ้วยกระเบื้องเคลือบขึ้น แล้วดื่มน้ำขิงต้มน้ำตาลในถ้วยนั้นโดยไม่คิดให้เสียเวลา จากนั้นเขาก็โน้มตัวลง แล้วประทับริมฝีปากบางของเขาเข้ากับริมฝีปากสีซีดของนาง เพื่อส่งผ่านน้ำขิงต้มน้ำตาลให้กับนาง…
ชิงจ้านที่ยังคอยรับใช้อยู่ข้างกายนางถึงกับเดินตัวแข็งออกจากห้องไปทันทีที่เห็นภาพนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยครึ่งหลับครึ่งตื่น สิ่งเดียวที่นางรู้สึกได้คือแรงจากมือใหญ่ที่โอบอยู่รอบเอวของนาง มันทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
เมื่อรวมกับกลิ่นหอมจากไม้จันทน์ที่นางคุ้นเคยเข้าไปด้วยแล้ว นางก็ยิ่งหลับสนิทมากขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกอดเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ในอ้อมแขนใต้ผ้าห่ม เขาขยับขาเรียวยาวของตนขึ้นเล็กน้อย เสื้อคลุมที่เขาสวมอยู่ร่นลงมา ท่านั้นทำให้เขาดูหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่มีทางไปจากข้าได้…” เขาเอ่ยขึ้นหลังผ่านไปครู่ใหญ่ แล้วรวบเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามากอดเอาไว้แน่นในทันใด ซึมซับอุณหภูมิจากร่างกายอ่อนแอของนาง แม้เขาจะมีอำนาจที่สามารถครองโลกได้ทั้งใบ แต่ในดวงตาของเขาก็ยังสะท้อนให้เห็นความเหงาอยู่ภายใน…
ค่ำคืนคืบคลานเข้ามาทีละน้อย สายลมพัดมาจากทั่วทุกทิศของภูเขาลูกนั้น พร้อมกับพาความรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูกมาด้วย
ในเวลานี้ทุกอย่างช่างเงียบสงบ รอบคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ไม่มีเสียงใดให้ได้ยิน เว้นแต่เสียงร้องไห้อย่างผู้แพ้ของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เท่านั้น ”ท่านแม่ ข้าควรทำเช่นใดดี ครั้งนี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว ถ้าข้าต้องแต่งงานกับชายที่เป็นหมันอย่างฮว๋ายหนาน ข้าขอยอมตายเสียยังดีกว่า!”
แต่จะทำอย่างไรได้ เป็นไปได้หรือที่พวกนางจะสามารถฝ่าฝืนราชโองการขององค์ชายสามได้
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับมาถึง ก็ไม่รู้ว่าคนตระกูลฮว๋ายได้รับคำสั่งจากใครมา พวกเขาถึงได้มายืนขวางหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ พร้อมกับบอกว่าต้องการมารับนางไปเป็นภรรยา
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถูกบีบบังคับมาจนถึงเพียงนี้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้เพื่อสยบข่าวลือนี้จึงมีเพียงการแต่งงานเข้าตระกูลฮว๋ายเท่านั้น
ไม่มีหนทางอื่นเลย
ฮูหยินซูกัดฟันกรอด นางเกลียดชังเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างสุดหัวใจ แต่นางก็คิดแผนการอันใดไม่ออก
เฮ่อเหลียนกวงเย่าหรี่ตามองสองแม่ลูก เดิมทีนั้นเขาไม่ได้อยากเอาปัญหาภายในตระกูลมาใส่ใจนัก แต่เวลานี้หากเขายังไม่คิดที่จะจัดการกับเรื่องนี้อีกละก็ เห็นทีบุตรสาวสุดที่รักของเขาคงได้ถูกทำลายเข้าจริงๆ แน่
แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลหลัก
เฮ่อเหลียนกวงเย่าคาดหวังให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้แต่งงานเข้าไปอยู่ในตระกูลดีๆ มาตลอด ดังนั้นนางจึงได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ยังเด็ก
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งกลับมาพังลงเพราะคนคนนั้น
ถ้าเขายังไม่ลงมือทำอะไรอีก เช่นนั้นนังเด็กคนนั้นคงได้ขึ้นมานั่งอยู่บนหัวของเขาแน่!
นี่เป็นเรื่องเดียวเท่านั้นที่เฮ่อเหลียนกวงเย่าทนไม่ได้
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า ”เจียวเอ๋อร์เป็นพระชายากลับชาติมาเกิด ไม่ว่านางจะได้แต่งงานกับตระกูลที่ดีหรือไม่นั้นย่อมส่งผลกระทบต่อสี่ตระกูลใหญ่ ฮูหยิน ตอนนี้เจ้าจงสั่งให้คนไปที่โถงบรรพชน แล้วบอกให้เหล่าผู้อาวุโสมาหว่านล้อมคนของตระกูลฮว๋ายเสีย ตราบใดที่ตระกูลฮว๋ายยอมเป็นฝ่ายยกเลิกการแต่งงานก่อน ข้า เฮ่อเหลียนกวงเย่าจะจ่ายค่าชดเชยให้พวกเขาอย่างงามแน่”
“ท่านจะปล่อยให้ตระกูลฮว๋ายยกเลิกการแต่งงานหรือ” ฮูหยินซูตะลึงงัน ”แต่ถ้าทำเช่นนั้น เจียวเอ๋อร์ของเราก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงที่ถูกปฏิเสธการแต่งงานนะเจ้าคะ”
เฮ่อเหลียนกวงเย่ามองนาง ”นี่เป็นวิธีเดียวที่พวกเราสามารถทำได้ในเวลานี้ การถูกปฏิเสธการแต่งงานก็ยังดีกว่าการแต่งงานเข้าไปอยู่ในตระกูลฮว๋ายก็แล้วกัน ยิ่งกว่านั้น ต่อให้การแต่งงานจะถูกยกเลิก แต่สิบวันหลังจากนี้ ข้าก็จะได้เป็นผู้ที่กุมอำนาจของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ และตระกูลเฮ่อเหลียนทั้งตระกูล เจียวเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของข้า อีกทั้งนางยังมีสี่ตระกูลใหญ่หนุนหลังอยู่ ต่อไปในอนาคต จะมีใครที่ไม่อยากแต่งงานกับนางหรือ”
ซูเหยียนโม่รู้สึกว่าคำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผลทีเดียว นางจึงรีบเรียกคนเข้ามาทันที แล้วออกคำสั่งกับเขาอย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวว่า ”ท่านพี่ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เจ้าค่ะว่าทำไมเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงได้อยากแข่งขันกับเจียวเอ๋อร์ของพวกเราอยู่เรื่อย และทุกครั้งลูกเราก็ได้รับความเจ็บช้ำมามากมาย ข้าเป็นแม่ของนาง ข้าทั้งรู้สึกโกรธและไม่พอใจยิ่งนัก แต่ข้าคิดหาหนทางจัดการกับนางไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านพี่เจ้าคะ ท่านเคยบอกว่าเราต้องรักษาชีวิตของนางไว้เพราะอย่างไรเสียแม้แต่เสือที่ว่าดุร้ายก็ยังไม่กินลูกของตัวเอง แต่ท่านดูฐานะปัจจุบันของเฮ่อเหลียนเวยเวยสิเจ้าคะ นางต้องจงเกลียดจงชังพวกเราถึงเพียงใดถึงได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้พวกเราต้องพบกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ ข้าได้ยินมาจากพี่ชายว่าไม่ใช่แค่กับเรื่องของเจียวเอ๋อร์เท่านั้น แต่นางยังสร้างปัญหาให้กับธุรกิจของตระกูลซูที่อยู่ในเจียงหนานอีกด้วย ท่านพี่ ท่านปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ไม่ได้อีกแล้วนะเจ้าคะ”
“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านจะยกโทษให้นางไม่ได้อีกต่อไปแล้วนะเจ้าคะ!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ปล่อยโฮออกมา แล้วมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร ”นางทำร้ายน้องสามยังไม่พอ มาตอนนี้นางก็ยังต้องการทำร้ายข้าด้วย นางคิดอยู่เสมอว่าท่านใจร้ายกับนาง แต่นางไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงความเป็นจริงที่ว่าหากไม่ใช่เพราะท่านพ่อ นางก็คงอดตายอยู่ข้างถนนไปแล้ว! อันที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากโทษว่าเรื่องพวกนี้เป็นความผิดของพี่ใหญ่หรอกนะเจ้าคะ แต่นางทำเกินไปจริงๆ!”
“ข้ารู้” เฮ่อเหลียนกวงเย่าเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยว่า ”ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าวิญญาณของนางถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของคนอื่นสินะ ข้าคิดเรื่องนี้มาตลอด ข้าติดต่อคนมาช่วยตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ทั้งยังพบข้อมูลบางประการแล้วอีกด้วย และตอนนี้คนที่ข้าติดต่อนั้นก็อยู่ในสำนักไท่ไป๋เหมือนกัน ส่วนเรื่องอื่น นังเด็กคนนั้นอยากเข้ามามีส่วนร่วมในการประชุมของตระกูลหรือ ข้าวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว การติดสินบนผู้อาวุโสสักสองสามคนย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดาย มิหนำซ้ำข้าก็ยังเป็นคนคนเดียวที่อาจจะมียศในกองทัพ ต่อให้นังเด็กคนนั้นมีองค์ชายสามคอยหนุนหลังอยู่ แต่ก็คงช่วยไม่ได้มากนักหรอก เจ้ารอดูก็แล้วกันว่าเมื่อถึงวันนั้นนางจะถูกกันออกจากการประชุมของตระกูลอย่างไร นางคิดว่านางจะสามารถใช้กำปั้นและวิทยายุทธ์คว้าเอาตำแหน่งนั้นมาได้หรือ หึ ข้าไม่เปิดโอกาสให้นางทำเช่นนั้นหรอก”
เมื่อซูเหยียนโม่ได้ยินเช่นนี้ นางก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ”ท่านพี่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านมักจะมีความคิดดีๆ อยู่เสมอ!”
นังคนชั้นต่ำนั่นต้องการจะชิงคฤหาสน์ผู้พิทักษ์กลับคืนไปหรือ
ไม่มีทางเสียล่ะ!