ในระหว่างที่อินซอบวิจารณ์ตัวเองและคร่ำครวญ อีอูยอนก็ขับรถมา อินซอบรีบขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ อีอูยอนเหลือบมองอินซอบและถามว่า “เป็นอะไรไป”
“ครับ?”
“หน้าคุณแดงนี่ครับ คิดเรื่องลามกอยู่คนเดียวเหรอครับ”
“ปะ เปล่าครับ ผมไม่ทำแบบนั้นข้างนอกหรอกครับ”
อีอูยอนจับพวงมาลัยและยิ้ม
“งั้นคุณคิดเรื่องลามกแค่ตอนอยู่ข้างในเหรอครับ”
พออินซอบไม่ตอบและมองไปนอกหน้าต่าง อีอูยอนก็ใช้มือข้างหนึ่งกดแก้มของอินซอบและถามซ้ำว่า “ว่าไง?” อินซอบที่รู้จักนิสัยช่างตื๊อของอีอูยอนดีเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง
“…บ้าง”
อีอูยอนเหลือบมองอินซอบ
“ตอนนี้ก็คิดแบบนั้นสินะ”
“ครับ?”
“ก็ที่นี่คือข้างในรถนี่นา”
รอยยิ้มขี้เล่นประดับอยู่ที่ริมฝีปากของอีอูยอน อินซอบรีบส่ายหน้า
“มะ ไม่ได้คิดเรื่องลามกนะ…”
อินซอบหลุบสายตามองด้านล่างและกำชายเสื้อไว้
ตอนที่ลืมตาขึ้นมาในเวลาเช้ามืดวันนี้ เขาสบตากับอีอูยอนที่กำลังก้มมองตัวเองอยู่
‘หลับสบายไหม’
ความกังวลที่ไม่สามารถซ่อนได้เจืออยู่ในน้ำเสียงที่อ่อนโยน
…คุณคงจะนอนไม่หลับทั้งคืน
อินซอบปวดร้าวเพราะความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามา
“…แต่ผมอายครับ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เพราะผมขี้กลัวและเหมือนจะแกล้งทำเป็นป่วย ขอโทษนะครับ…มันเป็นเรื่องเล็กน้อยแท้ๆ”
อินซอบยิ้มอย่างประดักประเดิดและเอ่ยขอโทษอีกครั้งว่า “ขอโทษครับ”
รอยยิ้มหายไปจากดวงตาของอีอูยอนแล้ว เส้นเอ็นบนมือของอีกฝ่ายที่กำพวงมาลัยอยู่นูนขึ้นมา เขาเปิดไฟฉุกเฉินและจอดรถริมถนน
“มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะครับ”
น้ำเสียงของเขาที่ทุ้มต่ำเป็นพิเศษพูดต่อ
“แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรู้สึกอายด้วย”
แม้อินซอบจะขี้กลัวและระมัดระวังตัวเกินไป แต่ก็ไม่เคยแกล้งป่วยหรือตื่นตระหนกจนเกินเหตุกับเรื่องที่ไร้ประโยชน์ หลังจากสัญญาว่าจะไม่โกหกเกี่ยวกับสภาพร่างกาย ถ้าป่วยเขาก็จะบอกว่าป่วย ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นเขาจะยินดีกับการออดอ้อนที่ตามมามากจนอยากจะขอให้ทำแบบนั้นด้วยในเวลาปกติ
อินซอบใช้มือที่สั่นเทาจับตัวเขาที่เมื่อวานโมโหและถามไปว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
‘…ผมเป็นครับ เป็นมากเลยด้วย’
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดวงตาที่กลั้นน้ำตาไว้อย่างยากลำบากอ้อนวอนถึงความผิดของตัวเองออกมาตรงๆ อีกฝ่ายบอกว่าขอโทษ และขอโทษที่ผิดสัญญาทั้งๆ ที่สัญญากันไว้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงขอให้อย่าโกรธ…
เขาแทบเป็นบ้า ความโกรธพุ่งขึ้นมาจนถึงหัว เขาควรจะรู้ทันทีตอนที่อินซอบมาหาตัวเอง แต่เพราะชอบอีกฝ่ายมาก…เขาถึงพุ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายและจูบโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง…ถ้าเป็นคนปกติก็ต้องรู้สึกถึงความผิดปกติไม่ใช่มาดีใจกับการออดอ้อนที่ผิดปกตินั้น และตรวจสอบความปลอดภัยของอีกฝ่าย อีอูยอนไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะความรู้สึกรังเกียจตัวเองที่พุ่งขึ้นมา
และตอนนั้น
‘รักนะครับ’
อินซอบสารภาพความรู้สึกของตัวเองออกมา เขาหายใจไม่ออก
‘รักนะครับ…รักมากๆ เลยครับ’
ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น…
‘เพราะอย่างนั้นผมถึงมาครับ เพราะผมคิดถึงคุณอีอูยอน’
ทุกครั้งที่อินซอบที่ระมัดระวังตัวและขี้กลัวรวบรวมความกล้าและพูดแบบนั้น ปลายเท้าของเขาจะส่งเสียงดังไม่หยุดราวกับความรู้สึกพังทลายลงมา แล้วก็รู้สึกกลัวจนอยากจะร้องขอชีวิตกับอีกฝ่าย
เขามองอินซอบที่นอนหลับทั้งคืน เป็นเรื่องที่เขาทำราวกับเป็นนิสัยในคืนที่นอนไม่หลับ จมูกที่เชื่อมต่อมาจากหน้าผากกลมกลึง ตาที่ปิดสนิท คิ้วที่สวย และริมฝีปากที่พ่นลมหายใจออกมาอย่างสม่ำเสมอ เขาลูบผมของอินซอบอย่างระมัดระวังและฝังจมูกลงกับต้นคอ
น่ารัก น่ารักและสวยมาก…
อีอูยอนค่อยๆ กลืนความรู้สึกที่ไม่สามารถรู้สึกได้อีกครั้งในชีวิตลงไปในคอและจับพวงมาลัยทันที
“…มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผมครับ”
วันที่ป่วยอาจจะธรรมดาสำหรับอินซอบ เพราะตอนเด็กๆ เจ้าตัวใช้เวลาบนเตียงเป็นส่วนใหญ่ แต่อินซอบไม่จำเป็นต้องมองข้ามอย่างไม่เห็นความสำคัญ อย่างน้อยก็ต่อหน้าตน
“เพราะฉะนั้นคุณช่วยอ้อนเยอะๆ เลยครับ เพราะผมขอร้อง”
“…ขอบคุณครับ”
อินซอบหน้าแดงอีกครั้ง อีอูยอนใช้หลังมือตีแก้มของอินซอบเบาๆ ก่อนจะออกรถ รถเริ่มติดตอนที่ผ่านอุโมงค์
“รถติดนิดหน่อยนะครับ”
“เพราะเป็นเย็นวันศุกร์ที่ฝนตกน่ะ”
อีอูยอนตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไรและเปิดวิทยุ เพลงเบาๆ ดังออกมา รถในอุโมงค์เคลื่อนตัวช้าๆ สลับหยุดนิ่งและต่อกันเป็นแถว
“ก่อนหน้านี้ผมได้ยินมาจากวิทยุครับ”
“ว่า”
แม้จะคิดว่าพูดเรื่องไร้สาระอะไรอีกแล้ว แต่อีอูยอนก็ตอบรับอย่างอ่อนโยน
“เขาบอกว่ามีคำพูดที่ว่าถ้ากลั้นหายใจและอธิษฐานตอนที่ผ่านอุโมงค์คำขอจะเป็นจริงครับ”
“ฮ่าฮ่า”
อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ และเอื้อมมือข้างหนึ่งออกไปแตะใต้จมูกของอินซอบ
“…ผมไม่ได้ทำครับ”
อินซอบรีบส่ายหน้า
“คิดถูกได้แล้ว ขืนทำที่นี่คุณได้ตายแน่”
อีอูยอนมองรถที่เรียงต่อกันเป็นแถวตรงหน้าและพูดต่ออย่างหยอกล้อ
พอออกมาจากอุโมงค์ หน้าต่างข้างหน้าก็เป็นฝ้าทันที เสียงที่ปัดน้ำฝนขยับปัดฝนออกไปดังขึ้นในรถ ฝนที่เยอะกว่าเมื่อกี้เล็กน้อยโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าที่มืดสนิททันที พยากรณ์อากาศที่บอกว่าฝนจะตกอย่างต่อเนื่องไปสักพักดังออกมาจากวิทยุ อินซอบเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำที่อมฝนเอาไว้จนเต็มด้วยแววตาเป็นกังวล และหันหน้าไปเพราะเสียงที่เอ่ยเรียกตน
“ทำไมถึงมองท้องฟ้าแบบนั้นล่ะครับ”
“เพราะเขาบอกว่าฝนจะตกตลอดน่ะครับ”
“ตกแล้วจะยังไงล่ะครับ ยังไงมันก็ต้องหยุด”
อีอูยอนที่พูดแบบน้ำส่งเสียงในลำคอและยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม
“ผมลองคิดดูระหว่างทางแล้ว”
“…”
…อีกแล้วเหรอครับ
มีความเป็นไปได้สูงมากที่คำพูดของอีอูยอนที่เริ่มต้นด้วย ‘ผมลองคิดดูแล้ว’ จะดำเนินต่อด้วยการขอร้องที่คาดไม่ถึง อินซอบรอคำพูดต่อไปของอีอูยอนเงียบๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“สวมมันอีกครั้งสิครับ”
อีอูยอนสวมนิ้วเข้าไปในแหวนของอินซอบที่ใส่ไว้ที่คอและดึง
“ครับ? เอ่อ คือ…”
“มีที่ไหนกันครับ คนที่ห้อยแหวนแต่งงานไว้ที่คอไปไหนมาไหนน่ะ”
“คือ…”
“คุณไม่ซื่อสัตย์กับคู่สมรสเหรอครับ”
อีอูยอนที่พูดแบบนั้นสวมแหวนแต่งงานที่ถูกปรับขนาดให้ถูกไปไหนมาไหนอย่างซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสมาก แหวนของอีอูยอนที่สวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายเป็นประเด็นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น เขาแอบหมั้นกับใครสักคนจากกลุ่มแชบอล[1] เขาแอบจัดงานแต่งงานกับนักแสดง A ไปแล้ว หรือเขาแต่งงานจนมีลูกกับคนธรรมดาที่หน้าตาดีที่อเมริกาไปแล้ว เป็นต้น
อีอูยอนไม่ตอบโต้อะไรกับข่าวลือทั้งหมด ถ้านักข่าวถามคำถามพวกนั้น เขาจะถามกลับว่า “อ๋อ อย่างนั้นเหรอครับ” พร้อมกับฉีกยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่หวานราวกับจะทำให้ตับไตไส้พุงของคนละลาย คนที่เป็นกังวลมีแค่กรรมการผู้จัดการคิมเท่านั้น
แม้บริษัทจะแถลงอย่างเป็นทางการว่า ‘เนื่องจากสนใจในแฟชั่นมากจึงใส่เป็นเครื่องประดับที่ชอบเท่านั้น’ แต่ข่าวลือก็พัฒนาไปง่ายๆ
ไม่ว่าอย่างไรอีอูยอนก็สวมแหวนไว้ที่นิ้วนางเสมอ อินซอบก็พกแหวนอยู่ตลอดเช่นกัน แน่นอนว่าเขาไม่ได้สวม เพราะพอเกิดข่าวลือขึ้นแล้ว เขาก็กังวลว่าอีอูยอนอาจจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยาก
อีอูยอนมักจะบ่นอินซอบทุกครั้ง
‘ทำไมถึงไม่สวมแหวนล่ะครับ’
‘แหวนอยู่ไหนเหรอครับ’
‘ทำไมคนที่แต่งงานแล้วถึงไปไหนมาไหนด้วยนิ้วที่ว่างเปล่าล่ะครับ’
อินซอบไปไหนมาไหนโดยห้อยแหวนไว้ที่คออย่างช่วยไม่ได้ บางครั้งอีอูยอนเลิกชายเสื้อของอินซอบขึ้นและหยิบแหวนออกมาเพราะยังไม่พอใจกับสิ่งนั้น
“…ตอนนั้นเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าจะห้อยไว้ที่คอ”
อินซอบพูดถึงสัญญาที่ทำกันก่อนหน้านี้อย่างระมัดระวัง แม้จะไม่พอใจ แต่อีอูยอนก็พยักหน้าและบอกว่าเข้าใจแล้ว เพราะอินซอบขอร้องอย่างเอาจริงเอาจัง แน่นอนว่ามีวันที่เขาไม่พอใจกับอะไรบางอย่างและถอดเสื้อผ้าของอินซอบออก และมีอะไรกันหลังจากบังคับให้ใส่แหวนเพียงอย่างเดียวอยู่เหมือนกัน
“การบอกว่าเข้าใจแล้วไม่ใช่การตกลงนะครับ”
“…”
ต้องพูดอย่างชัดเจนตอนที่สัญญากับคนคนนี้ อินซอบให้คำมั่นกับตัวอย่างไม่เคยทำมาก่อนและลูบแหวนที่ใส่ไว้ที่คอ
“สวมสิครับ แหวนน่ะ”
“…คุณอูยอน”
“เมื่อวานคุณก็สวมมาหาผมนี่ครับ”
“ตอนนั้น…”
อีอูยอนพูดว่า “ตอนนั้น?” และรบเร้าถึงคำพูดที่จะตามมา
“…แต่เหมือนว่าจะไม่เป็นไร…”
ตอนนั้นเขาอยากทำแบบนั้นเฉยๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่คิดหน้าคิดหลังและทำเรื่องบ้าๆ ลงไป อินซอบหน้าแดง
“ใช่ครับ ไม่เป็นไรครับ”
อีอูยอนใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยและพูดต่อ
“ถ้าเป็นอะไรแล้วจะยังไงเหรอครับ คุณตัดสินใจใช้ชีวิตกับคนอย่างผมไปทั้งชีวิตแล้วนี่ ฮ่าฮ่า”
ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังปลอบใจตัวเองอยู่
แม้จะเป็นหรือไม่เป็นไร ก็แค่มีชีวิตไปแบบนั้นเถอะ ทำเหมือนกับคนธรรมดา
อินซอบถอดแหวนที่ห้อยไว้ที่คอออกและสวมลงที่นิ้ว
“ผมจะถอดออกในที่สาธารณะนะครับ”
“ตามใจเลยครับ”
อีอูยอนเอ่ยตอบอย่างสบายๆ จากนั้นก็วางมือลงบนหน้าท้องของอินซอบและถามว่า “ไม่หิวเหรอครับ”
“นิดหน่อยครับ”
ความหิวที่ลืมไปจนถูกเลื่อนออกไปเพราะความกังวลกลับมาหา
“มีของที่อยากกินไหม เราแวะที่ไหนกันดี”
อินซอบที่คิดอยู่พักหนึ่งเรียกชื่อของเขา “คุณอูยอน”
“ดูเหมือนจะอยากกินของแพงนะครับ ดูจากการที่เรียกแบบนั้นแล้ว”
“มะ ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ของแพงนะครับ แค่…”
“อะไรล่ะ”
อีอูยอนเอ่ยถามอยากซุกซน
“…ผมอยากกินแพนเค้กครับ”
“แพนเค้กเหรอ ไปคาเฟ่ที่เคยไปคราวนั้นไหมครับ มันไกลนิดหน่อย แต่กาแฟที่นั่นใช้ได้เลย”
พออีอูยอนจะกลับรถ อินซอบก็รีบบอกว่า “ไม่ใช่ครับ” และส่ายหน้า
“…อันที่คุณอีอูยอนทำให้น่ะครับ”
“ผมเหรอ”
เขารู้ว่าอินซอบชอบแพนเค้ก อีอูยอนมักจะทำอาหารมื้อสายให้อินซอบในเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ตื่นค่อนข้างช้า ตอนที่มีแพนเค้กในเมนู อินซอบจะทำตาเป็นประกายด้วยรู้สึกชอบมาก แน่นอนว่าอินซอบไม่เคยขอให้เขาทำแพนเค้กก่อนเลย อีอูยอนแค่ทอดแพนเค้กให้เป็นบางครั้งเท่านั้น
“ผมไม่ได้อยากกินตอนนี้หรอกครับ ตอนนี้คุณอีอูยอนเองก็น่าจะเหนื่อยด้วย ผมจะกินพรุ่งนี้เช้าครับ กินตอนสายก็ได้ หรือตอนเย็นก็ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น…”
อินซอบก้มหน้าที่แดงลงและพูดด้วยน้ำเสียงเล็กๆ
“…กลับบ้านกันเถอะครับ”
“ฮ่าๆๆๆ”
อีอูยอนหัวเราะ คำพูดที่ทั่วไปและธรรมดาอย่างคำว่ากลับบ้านกันเถอะทำให้ชายหนุ่มทำตาเป็นประกายราวกับเด็กหนุ่มขี้แกล้งพลางหัวเราะอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้า เขารับรู้ได้ว่าอินซอบรวบรวมความกล้าอย่างเต็มที่และขอให้ทอดแพนเค้กให้พร้อมกับอ้อนเขา
“ได้ครับ กลับบ้านเรากัน ผมจะทอดแพนเค้กให้ด้วยครับ”
อินซอบมองหน้าของชายหนุ่มที่กำพวงมาลัยอยู่
เขาไม่ได้นอนเลยทั้งคืน แม้กระทั่งบนเครื่องบิน อีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หันกายมามองอินซอบโดยไม่พูดอะไรอยู่ตลอด แม้จะส่งสายตาที่เหมือนจะอ้อนวอนให้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมแสดงความกังวลของตัวเองออกมา
‘จะต้องไม่เป็นไรครับ จะต้องไม่เป็นไร จะต้องดีแน่ๆ อย่ากังวลนะครับ เพราะผมจะช่วยให้เป็นแบบนั้นเอง…ผมจะทำทุกวิถีทาง ได้โปรด…’
เขานึกถึงน้ำเสียงของชายหนุ่มที่กอดเขาไว้และเอ่ยปลอบแบบนั้น แม้จะบอกว่าไม่เคยทำสวดมนต์ แต่คำพูดของอีอูยอนในตอนนั้นฟังดูเหมือนการสวดภาวนาสำหรับอินซอบ
เขาอยากจะกลับบ้านไปนอนหลับพร้อมกับอีกฝ่าย ครั้งนี้ถึงตาที่เขาจะต้องสวดภาวนาเพื่ออีกฝ่ายแล้ว
“ให้โปะครีมสดด้วยไหมครับ”
“ครับ”
“ไซรัป?”
“…นิดหน่อย”
อีอูยอนตอบว่า “เข้าใจแล้วครับ” และหัวเราะเบาๆ อินซอบมองออกไปนอกหน้าต่าง
บางทีวันที่เลวร้ายอาจมาถึงในสักวันหนึ่ง ตอนจบที่มีความสุขตลอดไปเกิดขึ้นได้แค่ในนิยายเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เช่นเดียวกับรถที่หยุดวิ่งในยามฝนตกจนรถติดได้ออกแล่นอีกครั้งทีละคันๆ ชีวิตประจำวันของเขาก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
อินซอบยื่นมือออกไปและประสานนิ้วมือของตนกับมือของอีอูยอน
เสียงฝนตกกระทบดังรับช่วงเย็นย่ำเบาๆ
[1] แชบอล หมายถึง กลุ่มตระกูลนักธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีอำนาจทางการเงินและมีบริษัทในเครือเยอะ