“ฝะ ฝ่าบาท หม่อมฉัน…” ไป๋เหมยพยายามอธิบาย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอย่างเย็นชา ”ทำไมเจ้าต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้ด้วย นั่นคือพี่สาวที่แสนดีของเจ้ามิใช่หรือ”
ไป๋เหมยตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในฐานะมือสังหารแล้ว นางไม่ได้เกรงกลัวความตาย แต่นางกลับรู้สึกหวาดกลัวเพราะไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางนึกเสียใจในการตัดสินใจทั้งหมดของตัวเอง และความชะล่าใจที่นำพาให้นางต้องมาจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเอง
“ข้าประเมินสติปัญญาของเจ้าไว้สูงเกินไปจริงๆ” ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้นขณะที่เขามองนาง แต่รอยยิ้มของเขานั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา ”นางเป็นเหยื่อของข้า แต่ข้ากลับไม่สามารถทำอันตรายนางได้เลยแม้แต่เส้นผม แต่ดูพวกเจ้าสิ พวกเจ้าทำตัวได้มีประโยชน์ทีเดียว พวกเจ้าเอาแต่ทำให้นางคิดว่าจะหนีไปจากข้าได้อย่างไร”
ไป๋เหมยแทบจะหยุดหายใจเมื่อนางได้ยินคำพูดประโยคนี้ นางพยายามอธิบาย ”หม่อมฉัน… หม่อมฉันคิดว่าพี่อวิ๋นเป็นคนที่ฝ่าบาท…”
ตึง!
ก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วเหวี่ยงไป๋เหมยกระเด็นไปหลายฉื่อ ก่อนจะกระแทกกับพื้นอย่างแรง นางกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวด ที่มุมปากของนางมีเลือดไหลออกมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนขึ้นมาอย่างสง่างาม ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจในชะตากรรมของนางแม้แต่น้อย เขาหันไปหาเงาทมิฬ แล้วเอ่ยว่า ”สถานการณ์ทางคฤหาสน์ผู้พิทักษ์เป็นอย่างไร”
“ทูลฝ่าบาท คนจากตระกูลฮว๋ายรับสินบนจากสี่ตระกูลใหญ่ และล้มเลิกสัญญาแต่งงานกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬรายงานพลางชำเลืองมองบรรดาองครักษ์เงาคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงด้วยสายตามีเลศนัย
องครักษ์เงาเหล่านั้นก้มหน้าลงพร้อมกับพาร่างไร้สติของไป๋เหมยออกไป ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พระชายาสมควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพในระดับเดียวกันกับองค์ชาย
หลังจากฟังการรายงานของเงาทมิฬจบ รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ล้มเลิกการแต่งงานหรือ ข้าเป็นคนพระราชทานการแต่งงานให้กับพวกเขา แต่คนตระกูลฮว๋ายกลับกล้าที่จะฝ่าฝืนอย่างนั้นหรือ พวกเขาช่างใจกล้ากันจริงๆ”
เงาทมิฬก้มหน้างุด พวกเขาใจกล้ากันจริงดังว่า เจ้านายของเขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรขัดคำสั่ง แต่ทั้งที่รู้ถึงกิตติศัพท์นั้นดี คนพวกนั้นกลับยังกล้าที่จะตัดสินใจทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนั้นในเวลานี้เสียได้
“ส่งหลักฐานการทุจริตทั้งหมดที่ตระกูลฮว๋ายทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมาให้กับอดีตฮ่องเต้เสีย ในเมื่อพวกเขาไม่ชอบงานแต่ง เช่นนั้นพวกเราก็จะให้พวกเขาได้จัดงานศพแทน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เงาทมิฬทำได้เพียงจินตนาการถึงชะตากรรมอันโหดร้ายที่จวนตระกูลฮว๋ายกำลังจะได้เผชิญเท่านั้น ”แล้วคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เขาถามอย่างลังเล
“ให้หลานเหลียนจัดการต่อไป เฮ่อเหลียนกวงเย่าคงทำตัวสบายใจเช่นนี้ได้อีกไม่นาน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหยียดยิ้ม ”วิธีการของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นยังใจดีเกินไป คนอย่างซูเหยียนโม่ควรจะต้องได้รับบทเรียน ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
เดิมทีนั้นกิเลนอัคคีตั้งใจว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่มันก็หักห้ามใจไม่ไหว และพูดขึ้นในที่สุดว่า
“นายท่านขอรับ บนโลกนี้คงไม่มีใครชั่วร้ายไปกว่าท่านอีกแล้ว” ใช้มือสังหารไปล่อลวงเฮ่อเหลียนกวงเย่าหรือ คงมีแค่ผู้เป็นนายของเขาเท่านั้นล่ะที่คิดแผนการชั่วร้ายเช่นนี้ได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วมองมัน
กิเลนอัคคีหดศีรษะลงอย่างเจียมตัว ”ข้าหมายความว่า ทำไมท่านถึงต้องยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ด้วยล่ะขอรับ” โดยปกติแล้วเจ้านายของมันมักจะคิดอยู่เสมอว่าการทะเลาะวิวาทเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างมนุษย์ด้วยกันนั้นเป็นเรื่องที่ต้อยต่ำเกินกว่าที่เขาจะเข้าไปข้องเกี่ยว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางหนังสือลงบนโต๊ะไม้ ”ในฐานะเจ้าของโดยชอบธรรมแล้ว ข้าก็ต้องรู้วิธีป้อนอาหารที่เหมาะสมสิ”
สรุปว่าเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยหรือ
“ตอนที่ข้าเป็นเหยื่อของท่าน ท่านไม่เห็นเคยป้อนอาหารข้าดีๆ สักครั้งเลยขอรับ!” กิเลนอัคคียืดคอขึ้น พร้อมกับประท้วงให้กับตัวเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองมันอย่างไม่สะทกสะท้าน ”ข้าก็ป้อนผักทั้งหมดให้เจ้ากินไม่ใช่หรือ”
“แต่ข้าเป็นสัตว์กินเนื้อนะขอรับ!” กิเลนอัคคีคำราม มันไม่สามารถข่มความไม่พอใจเอาไว้ได้อีกต่อไป
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเบื่อเสียงโวยวายของมัน ดังนั้นเขาจึงทำท่าว่าจะยุติการสื่อสารทางกระแสจิตระหว่างเขากับมันลง
กิเลนอัคคีรีบร้อนร้องเรียกเขา ”นายท่าน เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อนขอรับ! ข้าคิดว่าท่านควรบอกเรื่องนี้กับคุณหนูเวยเวยนะขอรับ”
ไม่อย่างนั้นถ้านางไม่รู้ ทุกอย่างที่ท่านทำลงไปก็ต้องสูญเปล่านะขอรับ!
เฮ้อ การมีเจ้านายที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนนี่ช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากเสียจริง มันถึงกับต้องมาเป็นกังวลเพราะเรื่องนี้ไปด้วย…
ไม่มีใครจะหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ครบเครื่องกว่าข้าบนแผ่นดินนี้ได้อีกแล้ว!
มันคำรามด้วยความภาคภูมิใจกับตัวเองอยู่ในใจ
แต่ภายนอกนั้นมันกลับบอกว่า ”นายท่านขอรับ คิดดูให้ดีสิขอรับ หากคุณหนูเวยเวยรู้เรื่องนี้ นางจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน! เมื่อใดที่ผู้หญิงรู้สึกซาบซึ้งกับท่าน พวกนางจะเป็นฝ่ายกระโดดเข้ามาสู่อ้อมกอดของท่านเองนะขอรับ” กิเลนอัคคีสาธยายความคิดเห็นของตัวเองออกมา หากเป็นเวลาปกติ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคงสั่งให้มันหุบปากไปนานแล้ว แต่ครั้งนี้เขากลับฟังที่มันพูดจนจบอย่างตั้งใจ
เมื่อมาถึงจุดนี้ กิเลนอัคคีก็รู้สึกได้ทันทีว่าความสำคัญของมันภายในใจของผู้เป็นนายคงได้รับการยกระดับขึ้นไปอีกขั้นแล้ว มันรู้สึกภูมิใจมากเสียจนถึงกับยืดอกและสะบัดขนสีแดงราวกับเปลวไฟของตัวเองไปมา
ตรงกันข้าม บรรดาสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่ก่อนหน้านี้เพิ่งตัวสั่นงันงกกับชิงหลงไปหมาดๆ ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันกลัวจนต้องซ่อนตัว แล้วกอดกันกลมอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ไม่กล้าที่จะออกมา และพยายามอยู่ห่างจากกิเลนอัคคีให้มากที่สุดเท่าที่พวกมันจะทำได้
******
ณ มุมหนึ่งของสวนอันร้างผู้คน ชายคนหนึ่งมองที่อวิ๋นปี้ลั่วพร้อมกับเอ่ยว่า ”นี่คือสิ่งที่เรียกว่าอิทธิพลที่เจ้าพูดถึงหรือ”
“ระหว่างข้ากับองค์ชายมีความเข้าใจผิดต่อกันมาก่อนเจ้าค่ะ” อวิ๋นปี้ลั่วอธิบาย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยใบหน้าอันงดงามนั้นขึ้นอีกครั้ง ”แต่ข้าก็ยังเชื่อว่าความเข้าใจผิดระหว่างเราจะได้รับการแก้ไขในเร็วๆ นี้ ข้าต้องการเวลาเจ้าค่ะ”
ชายคนนั้นเอียงศีรษะไปด้านหนึ่ง แล้วไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน และพูดเนิบๆ ว่า ”เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถอัญเชิญกระทั่งชิงหลงมาได้ เจ้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสชนะมากเพียงใดหรือ”
ทันทีที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา นิ้วของอวิ๋นปี้ลั่วก็เกร็งเข้าหากัน ”ยังมีการทดสอบรอบสุดท้ายของหน่วยพิฆาตวิญญาณอยู่เจ้าค่ะ นอกจากข้าแล้ว ก็ยังมีคนอื่นที่ต้องการให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตกรอบด้วย”
“หึ” ชายคนนั้นหัวเราะเสียงเบา ”อุบายสกปรกพวกนี้อีกแล้วหรือ เอาเถอะ เจ้าไปได้แล้ว”
อวิ๋นปี้ลั่วขอตัวออกมา แต่นางต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งทีเดียวกว่าที่นางจะสามารถข่มความปรารถนาที่จะไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ได้ นางบอกตัวเองว่าถ้านี่เป็นราคาที่นางต้องจ่ายสำหรับการทรยศของนางในตอนนั้น เช่นนั้นก็สมควรแล้ว นางพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ความโกรธของเขาสงบลง
แต่ในเวลาสำคัญเช่นนี้ นางกลับไม่สามารถติดต่อไป๋เหมยได้
อวิ๋นปี้ลั่วหรี่ตาแล้วเดินต่อไป
สัตว์อสูรลวงตาที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งใช้ดวงตาสีแดงของมันเฝ้ามองดูนาง หลังจากมั่นใจว่าอวิ๋นปี้ลั่วเดินออกไปไกลแล้ว ในที่สุดมันก็ปรากฏตัวออกมาต่อหน้าชายคนนั้น ”นายท่านขอรับ เป็นเพราะนางพวกเราถึงต้องสังเวยอสรพิษโลหิตไป มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย…”
นิ้วของชายคนนั้นหยุดเคลื่อนไหว สีหน้าของเขานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ
สัตว์อสูรลวงตารู้ดีว่ามันไม่ควรพูดเช่นนี้ แต่มันก็ยังพูดต่อ ”ข้าไม่เคยเห็นมนุษย์อย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาก่อนเลยขอรับ หากไม่ใช่เพราะเขามีกิเลนอัคคีอยู่ข้างกาย เขาก็คงสัมผัสถึงตัวตนของอสรพิษโลหิตไม่ได้ด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่ากิเลนอัคคีคิดอะไรอยู่ถึงได้ยอมรับใช้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเขา แค่การมีตัวตนของมันก็ทำให้สัตว์อสูรกร่อนกระดูกของพวกข้าลำบากมากพออยู่แล้ว เพราะพวกมันกลัวว่าจะถูกกิเลนอัคคีหาเจอ และทำให้แผนการของนายท่านถูกเปิดโปงเอาได้”
“เช่นนั้นก็ไปสิงร่างมนุษย์เสีย” ชายคนนั้นละสายตาออกจากมัน ”ป่านนี้พลังชีวิตของบรรดาผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลใหญ่น่าจะสูญสิ้นไปหมดแล้ว หลังจากที่พวกเขาดื่มเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หยดสุดท้ายหมดเมื่อใด เจ้าก็สามารถเข้าควบคุมจิตใจของพวกเขาได้ทุกเวลาที่เจ้าต้องการ เลือกร่างที่เจ้าพอใจซะ ส่วนเรื่องกิเลนอัคคี ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชิงหลงก็แล้วกัน”
สัตว์อสูรลวงตาขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้าย ”เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ขอรับ ก่อนหน้านี้กิเลนอัคคีกับชิงหลงอาจจะเป็นศัตรูทางธรรมชาติกัน แต่ครั้งหนึ่งพวกมันก็เคยยอมจำนนต่อชายคนนั้นมาก่อน ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะสู้กันเองได้”
“เฮ่อเหลียนเวยเวยปลุกชิงหลงให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล แต่นางไม่สามารถทำพันธสัญญากับมันได้” ชายคนนั้นอธิบายอย่างใจเย็น ”เมื่อโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬคลายออก จึงไม่มีสิ่งใดสามารถจำกัดพลังอันยิ่งใหญ่ของชิงหลงเอาไว้ได้อีกต่อไป อารมณ์ของชิงหลงมักจะขึ้นอยู่กับพลังปราณของสิ่งที่อยู่รอบตัว ตอนที่ชิงหลงถูกจองจำอยู่ใต้ทะเลสาบ บรรยากาศอันเงียบสงบของสำนักไท่ไป๋นั้นหนาแน่นพอที่จะทำให้ชิงหลงอยู่ในสภาพอารมณ์คงที่ได้…”