ค่ายทหารในยามค่ำคืนสว่างไสวกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินเหมือนทางช้างเผือก
ไฟสองสามดวงที่จุดขึ้นบนพื้นนั้นไม่โดดเด่นต่อหน้าดาราจักรนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าไม่อยากขี่ม้าอีกในชีวิตนี้ แต่หลังจากหวังเจียนกำชับจู๋หลินและอาเถียนที่เดินทางมาถึงแล้ว เขายังคงรีบไล่ตามองค์ชายหกมาทันที
เมื่อในที่สุดหวังเจียนก็ไล่ตามทันนั้น ขบวนขององค์ชายหกก็เดินทางกลับถึงภายในเขตของเมืองหลวงแล้ว ลมฤดูร้อนหมุนวนในคืนที่มืดมิด เพียงแค่แวบเดียวก็สามารถมองเห็นชายหนุ่มใต้คบเพลิงได้ทันที
เขาสวมชุดสีดำไม่ต่างจากคนอื่น แต่ผมสีขาวของเขาปลิวไสวจากหมวกออกมาเป็นระยะ โดดเด่นเป็นพิเศษในตอนกลางคืน
หวังเจียนเร่งม้าไปข้างหน้า ถามอย่างรีบร้อน “เหตุใดยังอยู่ตรงนี้”
องค์ชายหกมองไปข้างหน้า พูดเบาๆ “ด้านนอกถูกโจวเสวียนออกกฎอัยการศึกแล้ว ข้ามไปไม่ได้”
โจวเสวียน? หวังเจียนขมวดคิ้ว “เขาได้รับสิทธิ์ออกกฎอัยการศึกในค่ายทหารจากที่ใด เหลียวอี้เล่า?”
องค์ชายหกพูดด้วยเสียงต่ำ “เหลียวอี้ถูกเขาขวางไว้ด้านในเหมือนกัน เพราะฝ่าบาทอยู่ในค่ายทหาร”
ฮ่องเต้ไม่ได้เสด็จกลับพระราชวัง แต่อยู่ในค่ายทหารเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนนอกจากเสด็จออกรบด้วยตนเอง หวังเจียนทั้งประหลาดใจทั้งขุ่นเคือง “เป็นเพราะท่าน! ท่านรอไปเถิด ดูว่าท่านจะทำอย่างไรหากพบฝ่าบาท!”
ภายใต้แสงคบเพลิง ผมสีขาวเสื้อคลุมสีดำขององค์ชายหก สะท้อนใบหน้าของเขาราวกับหิมะบนภูเขาอันไกลโพ้น
“ท่านพูดน่ากลัวเพียงนี้ ทำให้ข้าไม่กล้าไปแล้ว อย่างไรก็มีเฟิงหลินอยู่ หรือไม่” เขามองหวังเจียนด้วยสายตาแพรวพราว “พวกเราหนีกันเถิด”
หวังเจียนตกตะลึง กระทืบเท้า “เวลาใดแล้ว! ท่านยังคิดจะเหลวไหลอีก! เวลานี้เฟิงหลินคงกลัวจะตายอยู่แล้ว!”
…
ถึงแม้เฟิงหลินไม่ได้กลัวจนตาย แต่เขาก็แทบจะตัวแข็งตายอยู่บนเตียงแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าขยับ เนื่องจากข้างเตียงมีร่างที่สวมชุดสีเหลืองทองนั่งอยู่ ดุจดั่งภูผาภายใต้แสงไฟ
ร่างสีเหลืองทองนั้่นไม่ได้มองเขา อีกฝ่ายถือฎีกาในมือ อ่านอย่างช้าๆ
ขันทีจิ้นจงยกชามน้ำแกงเข้ามา พูดเสียงเบา “ฝ่าบาท ถึงเวลาบรรทมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ระวังปวดพระเนตร”
ฮ่องเต้ยื่นมือคลึงหัวคิ้ว วางฎีกาในมือลง รับชามน้ำแกงมา หันไปมอง ถามด้วยเสียงเย็นชา “ท่านแม่ทัพต้องการกินอะไรบ้างหรือไม่”
เฟิงหลินหดตัวอยู่ในผ้าห่ม หลับตาลง ฮ่องเต้ทรงถาม เขาไม่ตอบ ไม่ใช่เพราะเขาไม่เคารพ แต่เพราะเวลานี้เขาเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่กำลังป่วย ไม่สามารถพูดได้ เพียงแค่นึกถึงเรื่องเหล่านี้ เขาก็แทบจะขาดใจตาย
“ไม่ใช่เรื่องที่เขาตัดสินใจเองได้” ขันทีจิ้นจงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทอย่าโกรธเขา”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วถามเสียงเบา “เจ้าเด็กนั้นเล่า? ยังไม่กลับมาหรือ? เจ้าไปดูด้านนอก” ก่อนจะส่งเสียงดัง “โรคนี้จะมีวันหายหรือไม่ หมอหลวงมากมายเพียงนี้ล้วนเป็นคนไร้ความสามารถหรือ”
เสียงของฮ่องเต้ดังจนทะลุกระโจม ข้ามผ่านองครักษ์นับชั้น ภายนอกองครักษ์เหล่านี้ยังมีทหาร หากยืนอยู่บริเวณสูง สามารถมองเห็นว่าเป็นขบวนทหารที่ด้านในเป็นวงกลมด้านนอกเป็นสี่เหลี่ยม
ขบวนทหารนี้นอกจากฮ่องเต้และผู้ติดตามของพระองค์ ผู้อื่นล้วนไม่สามารถเข้าออกได้
โจวเสวียนก็ไม่ยกเว้น
“ฝ่าบาทโกรธอีกแล้วหรือ” โจวเสวียนถาม เมื่อเห็นทางนั้นขันทีจิ้นจงพาขันทีคนอื่นถอยออกมา แต่ละคนล้วนก้มหน้าด้วยท่าทีกังวล
แม่ทัพทั้งหลายที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างพยักหน้า “หลายวันแล้ว ท่านแม่ทัพยังไม่หายดีเสียที ยาที่เหล่าหมอหลวงส่งเข้าไปราวกับโยนทิ้งให้เสียเปล่า”
“ฝ่าบาทขับไล่คนของสำนักหมอหลวงไป ให้คนไปหาหมอเทวดา”
“เวลานี้จะหาได้อย่างไร” พวกเขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อันที่จริงก็ไม่ได้มีหมอหลวงเข้าไปมากมาย นอกจากคนสองคน ส่วนคนอื่นล้วนวนเวียนอยู่ด้านนอกกระโจมราวกับแมลงวันไร้หัว
โจวเสวียนมองไปด้านหน้าคิดในใจ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “หวังเจียนยังไม่กลับมาอีกหรือ”
แม่ทัพคนหนึ่งส่ายหัว ก่อนจะพูดสิ่งที่คาดเดาเสียงเบา “อาจจะ หนีไปแล้วกระมัง”
ตามหายาอันใดกันคงจะเป็นแค่ข้ออ้าง พบว่าท่านแม่ทัพรักษาไม่หาย จึงวิ่งหนีไปแล้วกระมัง
หากท่านแม่ทัพมีสิ่งใดผิดปกติ ฮ่องเต้ย่อมต้องตัดหัวหมอหลวงที่ติดตามท่านแม่ทัพคนนี้อย่างแน่นอน
หมอหลวงที่ชื่อว่าหวังเจียนไม่เหมือนหมอหลวงแม้แต่น้อย แม่ทัพส่วนใหญ่ที่พบเขาล้วนรู้สึกว่าเขาเป็นแค่คนหลอกลวง หลอกกินหลอกดื่มหลอกความสำคัญจากท่านแม่ทัพ จากนั้นใช้ชื่อของท่านแม่ทัพโอ้อวดในค่ายทหาร อีกทั้งไม่เคยเห็นเขาสนใจทหารที่ได้รับบาดเจ็บในค่ายทหาร แม่ทัพบางคนขอให้เขาตรวจให้ ยังต้องถูกเขาทวงบุญคุณ
วันปกติท่านแม่ทัพไม่เป็นอันใด เขาทำตัวอิสระ เวลานี้ท่านแม่ทัพเกิดเรื่องขึ้น เขาก็เผยธาตุแท้ออกมา
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อตอนเช้าในหลายวันก่อน กระโจมใหญ่ของท่านแม่ทัพเกิดกฎอัยการศึกขึ้นมา ท่านแม่ทัพไม่พบหน้าผู้ใดทั้งสิ้น
จนกระทั่งวันที่สาม โจวเสวียนบอกว่าเรื่องผิดปกติ จึงพาแม่ทัพกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปจะพบท่านแม่ทัพ ทหารที่เฝ้าอยู่รอบกระโจมของท่านแม่ทัพจึงจัดเรียงขบวนทัพขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าผู้ใดที่กล้าบุกรุก ประหารทันที
ทั้งค่ายทหารต่างตกตะลึง แต่โจวเสวียนนึกเรื่องความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา เขาเคยเห็นภาพเหตุการณ์นี้เมื่อหลายปีก่อน
เวลานั้นโจวชิงยังอยู่ เขายังเป็นแค่คุณชายชนชั้นสูงที่เรียนหนังสือในเมืองหลวง วันหนึ่ง ภายในค่ายทหารหลวงก็เกิดกฎอัยการศึกขึ้นมาอย่างกะทันหัน แม้แต่แมลงก็บินเข้าไปไม่ได้ เนื่องจากแม่ทัพหน้ากากเหล็กล้มป่วย นอกจากฮ่องเต้ ผู้อื่นที่เข้าใกล้ล้วนถูกประหาร
แม่ทัพหน้ากากเหล็กล้มป่วยไม่ใช่เรื่องเล็ก แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าเซี่ย โดยเฉพาะเวลานั้นความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าท่านอ๋องและราชสำนักยังอยู่ในช่วงวิกฤติ สงครามสามารถปะทุขึ้นมาได้ทุกเวลา
แม่ทัพหน้ากากเหล็กล้มป่วยลง ราชสำนักย่อมต้องสั่นคลอน อีกทั้งไม่มีทางใช้กองกำลังกับเหล่าท่านอ๋อง…ไม่แน่ว่าอาจเกิดเหตุการณ์เหล่าท่านอ๋องล้อมเมืองซีจิงขึ้น
แน่นอน ต่อมาพิสูจน์แล้วว่าเป็นแค่ความวิตกกังวล
เมื่อฮ่องเต้ได้รับข่าวและเสด็จมาถึงค่ายทหาร แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง
ถึงแม้ผ่านไปหลายปีแล้ว ก็เป็นแค่ความวิตกกังวล แต่ก็มีแม่ทัพจำนวนไม่น้อยยังคงจำได้ หลังจากได้ยินคำเตือนของโจวเสวียน พวกเขาต่างเข้าใจขึ้นมา
หากเป็นเช่นนี้ คงเป็นเรื่องใหญ่ คนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปซักถามทหารที่เฝ้าอยู่บริเวณกระโจมท่านแม่ทัพ เมื่อเผชิญกับการซักถามเช่นนี้ ทหารที่เฝ้าอยู่บริเวณกระโจมท่านแม่ทัพจึงจำเป็นต้องยอมรับว่าร่างกายของท่านแม่ทัพไม่ดีนัก แต่หวังเจียนผู้เป็นไต้ฟูข้างกายท่านแม่ทัพ หมอหลวงที่ฮ่องเต้พระราชทานด้วยตนเองนั้นกำลังไปหายาดีให้แก่ท่านแม่ทัพ
อีกทั้ง หลังจากเรื่องในตอนนั้น ฮ่องเต้ทรงรับสั่ง หากท่านแม่ทัพร่างกายไม่สบาย นอกจากฮ่องเต้ ผู้อื่นไม่อาจเข้าใกล้
โจวเสวียนจึงเดินทางไปพระราชวังทันที ฮ่องเต้ได้ข่าวจึงรีบเสด็จตามมา
ครานี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง หลังจากฮ่องเต้เข้าไปแล้วก็ไม่ได้จากไปอีก วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว
ฮ่องเต้ให้องค์รัชทายาทบัญชาการแทน ส่วนตนเองเฝ้าแม่ทัพหน้ากากเหล็กในค่ายทหาร ดูท่าทางครานี้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กคงจะร้ายมากกว่าดีแล้ว
“ท่านแม่ทัพปีนี้อายุเท่าใดแล้ว” แม่ทัพคนหนึ่งถามเสียงเบา
แม่ทัพอีกคนพูด “จะเจ็ดสิบแล้ว อีกทั้งยังมีบาดแผลเต็มตัว ตอนสงครามห้าเมืองนั้น ท่านแม่ทัพเกือบตายอยู่ด้านนอกหลายครั้ง”
ทั้งบาดแผลทั้งโรคอีกทั้งอายุมากเพียงนี้ แต่ก่อนมีลมหายใจหนึ่งแขวนไว้เพื่อสยบความวุ่นวายของเหล่าท่านอ๋อง เวลานี้เหล่าท่านอ๋องถูกกำราบ แผ่นดินสงบ ครานี้ท่านแม่ทัพคงจะจากไปแล้ว
เมื่อฟังการสนทนาของทุกคน โจวเสวียนหันหลังเดินจากไป “ข้าไปลาดตระเวนแล้ว”
ฮ่องเต้ย้ายเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร การรักษาความปลอดภัยของค่ายทหารและเมืองหลวงยิ่งเข้มงวดมากขึ้น เหล่าแม่ทัพมองหน้ากันเมื่อเห็นแม่ทัพหนุ่มจากไป อนาคตของท่านโหวคนนี้ไม่อาจคาดการณ์ได้ หากแม่ทัพหน้ากากเหล็กตายจากการป่วย ทหารทั้งสองกองไม่มีทางไม่มีผู้นำ สำหรับฮ่องเต้แล้ว โจวเสวียนเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ อย่างไรก็ตามตัวของเขาเองก็มีความดีความชอบในการโจมตีเมืองโจว บิดาของเขาก็มีชื่อเสียงบารมีมากเช่นกัน
โจวเสวียนนำทหารและม้ากลุ่มหนึ่งเดินทางออกจากค่ายทหาร พร้อมทั้งให้ชิงเฟิงเรียกรองแม่ทัพท่านหนึ่งมา
รองแม่ทัพท่านนั้นมาถึง โจวเสวียนกระซิบกับเขา รองแม่ทัพผู้นั้นรับคำสั่งจากไป
ชิงเฟิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ไม่รู้นับแต่เมื่อใด คุณชายไม่บอกกล่าวเขาทุกเรื่อง ไม่ให้เขาเป็นคนจัดการทุกเรื่องเหมือนแต่ก่อน
“เจ้าตัวคนเดียว ไม่ได้มีสามหัวหกแขน” โจวเสวียนชำเลืองมองเขา “เวลานี้ข้าไม่เหลวไหลอีกต่อไป ข้าต้องการทำอย่างจริงจัง มีกำลังคนยิ่งมากยิ่งดี เพื่อให้ตำแหน่งโหวของข้ามั่นคงเหมือนภูเขา”
เป็นเช่นนี้เอง คุณชายเห็นใจเขา ชิงเฟิงยิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง พูดขึ้น “จากนั้นคุณชายจะมีความมั่นใจมากพอที่จะเปรียบเทียบกับองค์ชายสาม ผู้ใดก็แย่งคุณหนูตันจูไปไม่ได้”
องค์ชายสามก็ชื่นชอบคุณหนูตันจู ฝ่าบาทก็โปรดปรานองค์ชายสามอย่างมาก หากองค์ชายสามร้องขอ ฝ่าบาทย่อมพระราชทานงานแต่ง
หากความดีความชอบและอำนาจของโจวเสวียนมีมากกว่า ย่อมไม่เกรงกลัวองค์ชายสาม
โจวเสวียนส่งเสียงไม่พอใจ “คุณหนูตันจูไม่ไปกับคนอื่น” หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็เร่งม้าเคลื่อนที่ออกไป
เหล่าทหารด้านหลังเขาถือคบเพลิงรายล้อม
ชิงเฟิงตบหลังม้า ควบม้าตามโจวเสวียนไป ก่อนจะตั้งสติกลับมา “คุณชาย ไม่ได้ไปลาดตระเวนหรือ”
โจวเสวียนไม่แม้แต่จะหันกลับมา “ข้าจะเข้าไปในวังเพื่อเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท เขาคงเป็นกังวลทางนี้เช่นเดียวกัน”
เสียงเกือกม้าทำลายความเงียบของถนนยามค่ำคืน ควันจากคบเพลิงฟุ้งกระจายไปตามสายลม
หวังเจียนไถตัวลงมาจากเนินเตี้ย พูดเสียงต่ำกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนพื้น “โจวเสวียนมุ่งหน้าไปทางเมืองหลวง คงจะไปพระราชวัง”
อีกด้านหนึ่งมีองครักษ์ชุดดำหย่อนตัวลงมา พูดเสียงเบา “สืบได้แล้วขอรับ มีองครักษ์ลับที่ไม่ได้เป็นของพวกเราอยู่ราวสิบแห่ง”
หวังเจียนรีบพูด “คงรั้งพวกเราไม่ได้”
องค์ชายหกหันมาหัวเราะ “เป้าหมายขององครักษ์ลับไม่ใช่เพื่อรั้งพวกเรา หากแต่เพื่อจับตาดูว่ามีคนข้ามไปหรือไม่”
“โจวเสวียนกำลังทำอันใด บังอาจเคลื่อนย้ายกำลังคน อีกทั้งยังแอบวางองครักษ์ลับอีก” หวังเจียนพูดอย่างโกรธเคือง “ผู้ใดให้สิทธิ์และความกล้าแก่เขา!”
“ฝ่าบาททรงอยู่ที่นี่ เขาทำอันใดล้วนเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่ว่า” องค์ชายหกตรัส “ปัญหาสำคัญคือ เขาเอากำลังคนมาจากที่ใด”
โจวเสวียนมีอำนาจในกองทัพไม่มาก แม้ว่าจะใช้ในนามของการคุ้มกันฝ่าบาท แต่ก็ย่อมมีแม่ทัพอื่นในการเสริมการคุ้มกัน เขาเอากำลังคนจำนวนมากมาจัดเป็นองครักษ์ลับได้อย่างไร”
เพราะแม่ทัพอื่นเชื่อฟังเขา หรือว่า?
“จับตาดูองครักษ์ลับพวกนั้นให้ดี” หวังเจียนกระซิบกับองครักษ์ชุดดำ องครักษ์ตอบรับ หวังเจียนมององค์ชายหกอีกครั้ง “ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน รอแม่ทัพหน้ากากเหล็กร่างกายหายดี เรื่องเหล่านี้เพียงสืบก็รู้ได้”
องค์ชายหกพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “บางทีร่างกายของแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่หายดีจะสืบได้ง่ายกว่า” ไม่รอหวังเจียนพูดอีก เขาลุกขึ้นยืน “แต่ยังคงต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน ไม่อาจให้ฝ่าบาททรงรออยู่ในค่ายทหารได้ตลอด พระราชวังในเวลานี้ไม่เหมือนซีจิงในตอนนั้น องค์รัชทายาทอาจไม่สามารถบัญชาการได้”
…
พระราชวังในยามค่ำคืนโหวกเหวกเล็กน้อย ในไม่ช้าประตูพระราชวังถูกเปิดออก องครักษ์ขบวนหนึ่งมองโจวเสวียนที่อยู่ด้านนอก
“ข้าจะเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท” โจวเสวียนพูด หยิบป้ายคำสั่งออกมา “องค์รัชทายาทพระราชทานให้ข้า”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่สบายกระทันหัน ฮ่องเต้ประทับอยู่ในค่ายทหารด้วย องค์รัชทายาทบัญชาการแทนในพระราชวังอย่างทรงเป็นกังวล เดิมทีองค์รัชทายาทต้องการเสด็จไปที่ค่ายทหารด้วยพระองค์เอง แต่ฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาต องค์รัชทายาทจึงทำได้เพียงให้โจวเสวียนรายงานข่าวทางค่ายทหาร ดังนั้นจึงพระราชทานป้ายคำสั่งให้โจวเสวียนมาพบเข้าได้ทุกเวลา
หัวหน้าองครักษ์รับไปตรวจดู ก่อนจะคำนับด้วยความเคารพ “ท่านโหวสามารถเข้าไปได้ แต่ต้องวางอาวุธของท่านลงก่อน และไม่อาจให้ผู้ติดตามของท่านไปด้วยได้”
โจวเสวียนย่อมรู้ เขาปลดดาบของตนเองมอบให้ชิงเฟิง ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ชิงเฟิงมองดูโจวเสวียนเดินเข้าไป ประตูพระราชวังปิดลงอีกครั้ง พระราชวังในยามค่ำคืนเสมือนสัตว์ร้ายขนาดใหญ่
พระราชวังกว้างใหญ่เกินไป โคมไฟของพระราชวังจำนวนมากที่ประดับประดาก็มีแต่แสงระยิบระยับ พระราชวังปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางภายใต้ความมืด
บางห้องในตำหนักด้านนอกยังคงสว่างอยู่
ขันทีผู้หนึ่งถือตะเกียงเดินเข้าไปหนึ่งในห้องนั้น เคาะประตูเบาๆ เรียกขาน “องค์ชาย ท่านโหวโจวเข้าวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องมีคนตอบรับ หลังจากนั้นไม่นาน ไฟในห้องก็ดับลง มีคนออกมา แสงไฟสลัวของขันทีส่องให้เห็นเสื้อผ้าสีขาว รองเท้าสีดำปักด้ายทอง ทั้งสองคนเดินเข้าไปในความมืดพร้อมกัน
ไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นคนที่เดินเข้าใกล้ ขันทีสองคนถือไฟเดินอยู่ด้านหน้า อีกคนเดินอยู่ด้านหลัง
ทั้งสองฝ่ายมองเห็นกันและกัน ขันทีสองคนที่ถือโคมไฟหยุดลง โจวเสวียนเดินผ่านพวกเขาไป เดินจนกระทั่งถึงตรงหน้าของคนผู้นั้น
“องค์ชาย” โจวเสวียนกล่าว “ท่านแม่ทัพยังไม่ฟื้น”
ร่างนั้นก้าวไปข้างหน้า โคมไฟที่ถืออยู่ในมือของขันทีขับไล่ความมืด เผยให้เห็นใบหน้าของเขา ผิวของเขายิ่งขาวมากขึ้นภายในยามราตรี ดวงตาของเขาอบอุ่นราวกับหยก
องค์ชายสามเอ่ยถาม “เจ้าได้เห็นท่านแม่ทัพด้วยตาของตัวเองหรือไม่”
โจวเสวียนส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้นอกจากฝ่าบาท ข้าลองมาสองสามครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล อย่าว่าแต่พบท่านแม่ทัพ แม้แต่เศษยาที่ท่านแม่ทัพใช้ยังไม่เห็น”
“เข้มงวดเพียงนี้?” องค์ชายสามตะลึงเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ถาม “หมอหลวงที่ดูแลท่านแม่ทัพคือผู้ใด”
โจวเสวียนส่ายหัวให้เขา “องค์ชายทรงไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ แม้แต่เศษยายังไม่อาจสัมผัสได้ หมอหลวงยิ่งไม่ต้องคิด หมอหลวงคนนี้ไม่ใช่ผู้ที่พวกเรามักพบ แต่เป็นหมอหลวงใหม่ที่ขันทีจิ้นจงเลือกออกมาจากส่วนใดส่วนหนึ่งของสำนักหมอหลวง เหมือนบอกว่ามาจากหนานเจียง มีวิชาลับบางอย่าง”
“วิชาลับ? หมอผีหรือ” องค์ชายสามหัวเราะ “ฝ่าบาททรงต้องใช้หมอผีแล้วหรือ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ท่านแม่ทัพจะข้ามไม่พ้นเสียแล้ว”
“คงเพราะความร้อนใจ” โจวเสวียนครุ่นคิด พูดเสียงต่ำ “เขาได้รับบาดเจ็บมากมาย อีกทั้งยังอายุมาก ครานี้ไม่รู้ว่าจะข้ามผ่านมันไปได้หรือไม่”
องค์ชายสามถอนหายใจเบาๆ “ข้าหวังว่าเขาจะข้ามไม่ผ่าน”