“ตอนที่ดู CT หรือ MRI ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเป็นพิเศษนะครับ”
“ไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วการจำอะไรไม่ได้นี่มันฟังดูมีเหตุผลเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยเสียงที่แห้งผาก
“ถึงจะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อย แต่ก็มีกรณีที่คนไข้ถูกกระทบกระเทือนทางสมองจนความจำเสื่อมอยู่บ้างเหมือนกันครับ ถ้าจะให้พูดอย่างง่ายๆ ก็คือมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาได้ เพราะอยู่ในสภาพที่เร่งให้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมองครับ แม้ในกรณีของคนไข้จะไม่มีอาการเลือดออกในสมอง แต่ก็เป็นความจริงที่ได้รับการกระทบกระเทือนครับ เพราะสมองละเอียดอ่อนมากกว่าที่เราคิด ผมคิดว่าเป็นการดีกว่าที่จะเฝ้าดูสถานการณ์ไปก่อน เพราะมีอาการสูญเสียความทรงจำย้อนหลังครับ”
“แล้วเมื่อไรเขาจะ…”
กรรมการผู้จัดการคิมดึงแขนของอีอูยอนไว้
“งั้นควรให้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไปเรื่อยๆ ดีไหมครับ”
“ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำอย่างนั้นสักสองสามวันครับ เราจะได้คอยดูอาการของคนไข้ด้วย”
“แล้วความทรงจำจะกลับมาเมื่อไรครับ”
อีอูยอนปัดมือของกรรมการผู้จัดการคิมออกพลางเอ่ยถาม
“ผมเองก็ไม่ทราบครับ ในการสูญเสียความทรงจำชั่วคราว ความทรงจำจะกลับมาภายในครึ่งวันครับ แต่ผมคิดว่าเป็นการดีกว่าที่จะติดตามอาการประมาณสองถึงสามสัปดาห์ และให้คนไข้พักอย่างเต็มที่ครับ”
“…แล้วเป็นไปได้ไหมครับที่ความทรงจำจะไม่กลับมา”
“ถึงจะเป็นไปได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นอยู่เลย…”
“แม่งเอ๊ย แล้ว…”
วินาทีที่อีอูยอนพ่นคำด่าออกมา กรรมการผู้จัดการคิมก็วิ่งพรวดมาจากด้านข้างและขัดคำพูดต่อไปของอีกฝ่ายไว้
“อีอูยอน นายคงเป็นห่วงน้องชายมากเลยสินะ ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วล่ะเนอะ งั้นออกไปก่อนแล้วค่อยเป็นห่วงเถอะ รีบออกไปกันเร็ว”
กรรมการผู้จัดการคิมลากอีอูยอนออกไปพลางค้อมศีรษะลาหมอที่ตกตะลึง
“บ้าไปแล้วเหรอ ต้องพูดขนาดนั้นเลยหรือไง ทำไมถึงได้ด่าหมอตรงนั้นล่ะไอ้บ้าเอ๊ย!”
กรรมการผู้จัดการคิมลากอีอูยอนออกมาตรงบันไดหนีไฟ และถลึงตาใส่
“ผมจ่ายเงินให้ตรวจไปตั้งมาก การพูดออกมาว่า ‘เราคอยเฝ้าดูอาการกันต่อไปเถอะ’ ก็เป็นแค่คำพูดเฮงซวยเท่านั้น เขาไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้เลยสักคำตอบเดียวนะครับ”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ ผล CT กับ MRI ก็ปกติดี นอกจากให้พักอย่างเต็มที่และเฝ้าดูอาการแล้วจะทำอะไรได้อีกเหรอ”
“แม่งเอ๊ย! ให้ตายสิ”
อีอูยอนเดินไปเตะเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่วางอยู่ตรงมุม เสียงดัง ปัง ทำให้กรรมการผู้จัดการคิมตกใจกลัวและดึงอีอูยอนออกมา
“อูยอน อูยอน ขอร้องล่ะ หยุดโมโหหน่อยเถอะ ก่อนอื่นเราต้องทำให้ความทรงจำของอินซอบกลับมาก่อนนะ”
อีอูยอนเสยผมขึ้นด้วยความหงุดหงิด กรรมการผู้จัดการคิมที่ถูกขโมยความสนใจไปในชั่วเวลาสั้นๆ เผลอคิดอย่างไม่ตั้งใจว่า ไอ้หมอนี่มันหล่อเหลือร้ายจริงๆ
“…จะทำยังไงดีครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เรื่องอะไร”
“ถ้าความทรงจำของคุณอินซอบไม่กลับมา…จะทำยังไงล่ะครับ”
“ต้องกลับมาสิ หมอเองก็บอกแบบนั้นนี่ ว่าเป็นการสูญเสียความทรงจำชั่วคราว เพราะเป็นแค่การสูญเสียความทรงจำชั่วคราว…”
อีอูยอนใช้มือคู่ใหญ่ปิดหน้าพลางถอนหายใจ จู่ๆ ก็มีความทรงจำผุดขึ้นในหัวของกรรมการผู้จัดการคิม
“นี่ อีอูยอน”
“…มีอะไรครับ”
“อย่าเข้าใจฉันผิดแล้วฟังก่อนนะ”
ดวงตาที่วาวโรจน์ของอีอูยอนโผล่ออกมาระหว่างซอกนิ้ว กรรมการผู้จัดการคิมกลั้นหายใจดังเฮือก
“ถ้าเปิดด้วยคำพูดแบบนั้นแล้ว ไม่มีคำพูดไหนที่ไม่ทำให้เข้าใจผิดหรอก”
“เปล่านะ อย่าเข้าใจฉันผิดแล้วฟัง เพราะที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ฉันพูดเพราะเป็นห่วงอินซอบจริงๆ”
กรรมการผู้จัดการมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
มีเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติอยู่ทั้งหมดสามเครื่อง ใช่แล้ว ถึงหมอนั่นจะเป็นคนที่เหมือนกับสัตว์ประหลาดยังไงก็ไม่มีทางที่จะโยนเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติใส่เราได้หรอก
พอตรวจสอบรอบๆ เสร็จ กรรมการผู้จัดการคิมก็พูดต่อ
“จะดีกว่าไหมถ้านายจะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของนายกับอินซอบจนกว่าความทรงจำของเขาจะกลับมา”
“ว่ายังไงนะครับ”
ตาของอีอูยอนวาวโรจน์อย่างน่ากลัวยิ่งขึ้น
“ไม่ใช่ ที่ฉันจะพูดก็คือตอนนี้ความทรงจำของเขาคือตอนอายุสิบเจ็ดใช่ไหมล่ะ พอลืมตาขึ้นมาเวลาก็ผ่านไปถึงสิบปีอย่างรวดเร็ว แล้วก็เป็นที่เกาหลีไม่ใช่อเมริกา…แถมคนรักยังเป็นผู้ชาย”
…แล้วดันเป็นนายอีก
กรรมการผู้จัดการคิมกลืนคำพูดสุดท้ายที่อยากพูดที่สุดลงไป
“…ก็คงจะตกใจสินะครับ”
เป็นอย่างที่กรรมการผู้จัดการคิมพูด ความทรงจำของอินซอบที่ลืมตาขึ้นมาหยุดอยู่ที่อายุสิบเจ็ดปี และไม่มีแม้กระทั่งความทรงจำว่าเคยเจอฟิลลิปที่อเมริกา ถ้าจะพูดสั้นๆ คือนี่เป็นสถานการณ์ที่เขาเพิ่งเคยเจออีอูยอนเป็นครั้งแรก
แต่การจะให้ยอมรับสถานการณ์ในปัจจุบันว่าเวลาผ่านไปจากนั้นแล้วถึงสิบปี และตอนนี้กำลังคบกับผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกที่เกาหลีก็เกินกำลังไปมาก
“ใช่แล้ว เพราะฉะนั้น…”
ตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนก็ดังขึ้น เป็นหัวหน้าทีมชานั่นเอง ตอนนี้เขาเฝ้าอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยของอินซอบที่ถูกฉีดยาระงับประสาทหลังตรวจร่างกายเสร็จและผล็อยหลับไป วินาทีที่เห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ อีอูยอนก็เริ่มวิ่ง เสียงของกรรมการผู้จัดการคิมที่ตะโกนมาจากด้านหลังว่า ‘ไปด้วยกันสิ’ ห่างออกไปทีละนิด
พออีอูยอนเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยออกกว้าง อินซอบที่มีสีหน้าซีดเผือดพูดวกไปวนมา
“ช่วยเรียกพ่อกับแม่ให้ทีครับ ผมจะบอกที่อยู่ให้เอง แล้วผมก็มีเบอร์โทรศัพท์ด้วยครับ ช่วยส่งผมกลับบ้านเถอะนะครับ…ขอร้องล่ะครับ”
“คือว่าพอคุณอินซอบตื่นขึ้น ฉันก็กำลังจะไปเอาน้ำมาให้ แต่จู่ๆ เขาก็พูดภาษาอังกฤษ…”
หัวหน้าทีมชาที่กำลังตื่นตระหนกอธิบายอย่างตะกุกตะกัก
“ถ้าคุณช่วยติดต่อพ่อกับแม่ให้ ผมจะจ่ายเงินให้ครับ…ส่งผมกลับบ้านเถอะนะครับ”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่หยุด ท่าทางตัวสั่นเทิ้มและไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรดูเหมือนกับลูกสัตว์ที่ถูกจับตัวไว้
อีอูยอนถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่ออก จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าอินซอบและช่วยปิดให้ราวกับจะปิดใบหน้าของอีกฝ่าย
“อย่าร้องไห้ ฉันเคยบอกไปแล้วนี่ว่าอย่าร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น”
เนื่องจากภาษาอังกฤษที่เป็นธรรมชาติของอีอูยอน หัวหน้าทีมชาจึงคิดได้ว่า ‘อ้าว หมอนี่ก็เป็นคนต่างชาติเหมือนกันนี่’
“ผม…ผมชื่อ…”
แม้อินซอบที่ตกใจจะพยายามเอาเสื้อออก แต่อีอูยอนกลับไม่ยอมคลายแขนที่ปิดไว้อย่างแข็งแกร่ง
“ฉันรู้ชื่อของนาย ปีเตอร์”
พอชื่อของตัวเองหลุดออกมาจากปากของผู้ชายที่เพิ่งเห็นหน้าเป็นครั้งแรก อินซอบที่พูดวกไปวนมาก็ปิดปากเงียบ
“…คุณเป็นใครเหรอครับ”
ดวงตาที่ไร้เดียงสาและกระจ่างใสช้อนมองตน อีอูยอนรู้สึกถึงความพึงพอใจที่อัดแน่นในชั่วพริบตา เป็นความอยากเอาชนะก่อนช่วงเวลาที่จะประทับรอยเท้าของตัวเองลงไปบนทุ่งหิมะสีขาวบริสุทธิ์ที่จะแสดงให้เห็นถึงรูปร่างที่ครบถ้วนของตัวเอง
“อีอูยอน…”
กรรมการผู้จัดการคิมที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบส่งสายตาให้ รอยยิ้มบิดเบี้ยวติดอยู่ที่ริมฝีปากของอีอูยอน
“อูยอน เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ”
อีอูยอนพยักหน้า เขาค่อยๆ คลายเสื้อคลุมที่ปิดบังใบหน้าของอินซอบออก และเช็ดแก้มที่เปียกไปด้วยน้ำตาให้
“ผม…รู้จักคุณเหรอครับ”
อินซอบมองชายที่เช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยถาม
กรรมการผู้จัดการคิมจ้องมองอีอูยอนด้วยแววตาไม่สบายใจ
ถ้าอย่างน้อยนายมีความละอายใจในฐานะมนุษย์ล่ะก็…กรรมการผู้จัดการคิมกำหมัดแน่น
แม้จะรู้ดีว่าทั้งสองคนอายุห่างกันไม่มาก และเป็นผู้ใหญ่ทั้งคู่แล้ว แต่ตอนที่ได้ยินว่าทั้งคู่คบกัน เขากลับไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่อีอูยอนกำลังทำเรื่องเลวร้ายอยู่ออกไปได้
แต่ตอนนี้…
“รู้จักผมเหรอครับ”
ชเวอินซอบที่อยู่ในชุดผู้ป่วย มีน้ำตาคลอและทำอะไรไม่ถูกนั้นดูเด็กมาก แม้ปกติจะหน้าเด็กกว่าวัยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ใสซื่อถึงขนาดนั้น
ทั้งลักษณะการพูด ท่าทาง และแววตาของเขาเป็นเด็กชายอายุสิบเจ็ดจริงๆ
การเอาอีอูยอนไปผูกติดไว้ตรงนั้น…นับว่าเป็นเหมือนการก่ออาชญากรรม
“ไม่ได้รู้จักกันหรอก…”
อีอูยอนยิ้มจางๆ พลางเสยผมของอินซอบที่หวาดกลัวขึ้น ท่าทางที่อ่อนโยนและใจดีทำให้กรรมการผู้จัดการคิมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ในใจ
ใช่แล้ว แม้ว่าหมอนี่จะเป็นไอ้บ้าที่เป็นไซโคพาธ แต่ก็มักจะจริงใจกับชเวอินซอบอยู่เสมอ เราไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้
“แต่เป็นพี่ชายแท้ๆ น่ะ”
“ครับ?”
“ว่าไงนะ”
“พูดว่าอะไรนะ”
คนทั้งสามคนที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยตะโกนออกมาพร้อมกัน
“ปีเตอร์ นายเป็นพี่ชายของฉัน พี่ชายแท้ๆ”
…ในตอนนั้นเองกรรมการผู้จัดการคิมถึงได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด อีอูยอนจริงใจกับชเวอินซอบอยู่เสมอ เพียงแต่ความจริงใจนั้นไม่ปกติ
***
“นี่ ทำไมนายถึงทำแบบนั้นล่ะ เป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
หัวหน้าทีมชาไม่สามารถระงับความตกใจและความโกรธไว้ได้พูดออกมา กรรมการผู้จัดการคิมที่สูบบุหรี่อยู่ขมวดคิ้วพลางจ้องมองอีอูยอน
“ครับ ผมเป็นบ้าอยู่แล้วนี่ครับ”
อีอูยอนตอบรับอย่างหน้าไม่อาย
“ไอ้บ้าเอ๊ย บ้าไปแล้วเหรอ ทำไมนายถึงเป็นพี่น้องแท้ๆ ของชเวอินซอบล่ะ แล้วเป็นน้องชายเนี่ยนะ? นายอายุมากกว่าอินซอบอีก ทำไมถึงเป็นน้องชายล่ะ มียางอายบ้างไหม”
กรรมการผู้จัดการคิมเองก็ร่วมโจมตีด้วย
“คนบ้ามียางอายที่ไหนล่ะครับ”
“ว้าว ให้ตายสิ”
หัวหน้าทีมชาอ้าปากค้างและอุทานออกมา
“เพิ่งเคยเห็นคนบ้าที่หล่อเป็นครั้งแรกเหรอครับ ทำไมถึงมองอ้าปากค้างขนาดนั้นล่ะ”
“โอเค พ่อรูปหล่อ พ่อคนบ้าที่หน้าตาดี ฉันถามว่าทำไมถึงบอกว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ”
“ก็คุณห้ามบอกว่าคบกันนี่ครับ”
“แล้วกล้าดียังไงถึงได้โกหกไปว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ!”
“งั้นจะให้บอกว่าอะไรล่ะครับ”
อีอูยอนพ่นควันบุหรี่พลางถามกลับ
“ก็แค่ตอบไปตามความจริงที่เป็น…”
“ให้บอกไปตามความจริงว่าเป็นความสัมพันธ์ที่คุณกับผมมีอะไรกันน่ะเหรอครับ”
“อีอูยอน นาย…”
กรรมการผู้จัดการคิมตกตะลึงและมองไปรอบๆ
“ถ้าใครมาได้ยินแล้วจะเป็นยังไงเหรอครับ ผมอายุตั้งปูนนี้แล้ว การมีอะไรกับใครจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
อีอูยอนยิ้มพลางดูดก้นบุหรี่
หมอนี่หงุดหงิดโคตรๆ เลยสินะ
…ทำไมหมอนี่ถึงได้หงุดหงิดขนาดนั้นล่ะ
ความคิดคล้ายๆ กันโผล่ขึ้นมาในหัวของคนทั้งคู่
“แล้วนายจะแก้ไขยังไง”
“แก้ไขอะไรล่ะครับ ก็ต้องใช้ชีวิตในฐานะน้องชายแท้ๆ จนกว่าความทรงจำจะกลับมาน่ะสิ”
“แล้วทำไมถึงได้โกหกออกไปแบบนั้นล่ะ แค่กุเรื่องไปว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวเฉยๆ ก็ได้แล้วนี่”
หัวหน้าทีมชาตะคอกใส่
“บอกว่านายเป็นพี่น้องแท้ๆ กับชเวอินซอบงั้นเหรอ นั่นมันน่าเชื่อไหมล่ะ มีส่วนไหนที่พวกนายสองคนเหมือนกันบ้าง? จะให้บอกว่าว่ามีตาสองข้าง จมูกหนึ่งอันเหมือนกันหรือไง”
“ก็บอกไปว่าผมคล้ายกับญาติฝั่งแม่สิครับ”
“ยังไงก็ต้องมีส่วนที่คล้ายกันบ้างไม่ใช่หรือไง”
“ถ้าไม่เหมือนกันเลยแล้วจะเป็นไรไปล่ะครับ น้องสาวของผมก็ไม่ค่อยเหมือนผมเหมือนกัน”
“…มีน้องสาวด้วยเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยถามด้วยความตกใจ หัวหน้าทีมชาใช้ฝ่ามือฟาดต้นแขนของกรรมการผู้จัดการคิม
“กรรมการผู้จัดการครับ ตอนนี้เรื่องนั้นมันสำคัญเหรอครับ ตอนนี้ยังไม่สายไปนะ ไปบอกเขาว่าเป็นเรื่องล้อเล่นเถอะ แล้วบอกว่าคุณอินซอบมีความสัมพันธ์ที่ช่วยเหลืองานผู้จัดการส่วนตัวของนาย”
อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ พร้อมกับพ่นควันบุหรี่ออกมา
“สถานการณ์ของเด็กนั่นในตอนนี้ เขาควรจะอยู่ที่เกาหลีนะครับ”
“ว่าไงนะ”
“เขาเป็นเด็กขี้กลัวเพราะงั้นเขาน่าจะกลับไปที่อเมริกาทันที ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วความทรงจำไม่กลับมาเลยล่ะ ใครแม่งจะยอม”
“…”
“…”
นั่นหมายความว่าที่โกหกออกไปเพราะกลัวว่าชเวอินซอบจะหนีไป
“ถึงจะดูไม่เป็นแบบนั้น แต่นายทำตัวน่าสมเพชมากเลย…”
“ทำตัวน่าสมเพชแล้วจะยังไงล่ะครับ ก็ผมคบกับคนที่สวยฉิบหายอย่างชเวอินซอบอยู่นี่ การทำตัวน่าเวทนาเป็นเรื่องสำคัญนะครับ ต่อให้สั่งให้ผมตายลงตรงนี้ผมก็จะตาย”
…การพูดประโยคที่โรแมนติกสุดๆ ด้วยศัพท์ที่หยาบคายแบบนั้นเป็นความสามารถเฉพาะตัว
“ยังไงก็ตาม ช่วยคิดแบบนั้นเถอะครับ เพราะผมจะช่วยดูแลอยู่ข้างๆ พร้อมกับรับบทน้องชายไปจนกว่าความทรงจำของเขาจะกลับมา”