“นี่ อีอูยอน”
หัวหน้าทีมขาดูดบุหรี่เข้าไปเฮือกใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายและเอ่ยเรียกอีอูยอน
“มีอะไรเหรอครับ”
“นี่เป็นแค่ความสงสัยส่วนตัวนะ…ทำไมนายถึงเป็นน้องล่ะ”
ถ้าจะกุเรื่องว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ การที่อีอูยอนบอกว่าเป็นพี่ชายน่าจะมีพลังในการโน้มน้าวใจมากพอๆ กับขนที่งอกออกมาจากปากนกกระจอกเสียมากกว่า
“ตอนนี้เขาน่าจะอยากกลับไปที่อเมริกาเพราะกลัว แต่ด้วยนิสัยของชเวอินซอบที่จิตใจดีแล้ว การทิ้งผมที่เด็กกว่าไปจะไม่ยากกว่าเหรอครับ”
เขาขนลุกกับความรอบคอบของอีอูยอนที่คิดคำนวณไปจนถึงเรื่องนั้นและโกหกออกมา
“แล้วการมีอะไรกับพี่ชายก็ทำให้แข็งยิ่งขึ้นด้วยครับ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ใบหน้าของชายสองคนซีดเผือด เพราะเสียงหัวเราะที่ก้องกังวานของอีอูยอน
“ล้อเล่นน่ะครับ”
‘…นั่นไม่ใช่การล้อเล่น’
‘…ตอนนี้ยังไม่สายไป เราสั่งให้คุณอินซอบหนีไปดีไหมครับ นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายก็ได้’
‘…แบบนั้นจะดีกว่าใช่ไหม’
ชายวัยกลางคนสองคนสื่อสารกันทางสายตาอย่างรวดเร็ว
“เออ จริงด้วย ผมลืมพูดเรื่องนี้ไปเลย”
อีอูยอนยิ้มไปถึงดวงตาที่งดงามอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวพลางพูดต่อ
“ความอดทนของผมใช้ไปกับการไม่บีบคอไอ้คนขับรถหน้าโง่นั่นหมดแล้วนะครับ”
อีอูยอนหักบุหรี่ก่อนจะเขวี้ยงทิ้งลงถังขยะ
“เพราะฉะนั้นเรามาทำตัวมีมารยาทกันทั้งสองฝ่ายเถอะครับ”
พูดจบ อีอูยอนก็ร่ำลาอย่างมีมารยาทก่อนจะจากไป กรรมการผู้จัดการคิมหยิบบุหรี่มวนใหม่ออกมาจากกระเป๋าและคาบไว้ที่ปากโดยไม่พูดอะไร หลังจากจุดไฟให้อีกฝ่ายแล้ว หัวหน้าทีมชาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็จุดไฟที่บุหรี่ของตนเช่นกัน
หลังจากยืนสูบบุหรี่อย่างหนักอยู่สักพัก ชายทั้งสองคนถึงสามารถผละออกไปจากตรงนี้ได้
***
“เป็นยังไงบ้างครับ”
อินซอบสะดุ้งตกใจและหันไปมอง เพราะเสียงที่ได้ยินจากข้างหลัง
“ถูกใจไหมครับ”
“เอ่อ…ครับ ผมชอบครับ”
อินซอบลังเลพลางเอ่ยตอบ
“โล่งอกไปทีนะครับที่คุณชอบ ผมจะวางของไว้ตรงนี้นะครับ คุณค่อยๆ แกะนะครับ”
ชายหนุ่มวางกระเป๋าเดินทางไว้ข้างเตียง อินซอบกล่าวขอบคุณเบาๆ ด้วยภาษาอังกฤษ
“เราตัดสินใจที่จะใช้ภาษาเกาหลีแล้วนี่ครับ”
“อ้อ ครับ ผมจะทำแบบนะ…ขอโทษครับ”
“ขอโทษอะไรกันล่ะ แกะของแล้วก็ทำตัวตามสบายเถอะครับ ถ้าเตรียมอาหารเสร็จแล้วผมจะเรียก”
“ครับ”
แล้วประตูห้องก็ถูกปิดลง
อินซอบค่อยๆ สำรวจรอบๆ นี่เป็นห้องที่สะอาดและถูกจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ห้องถูกเตรียมไว้อย่างไม่มีอะไรคาดตกบกพร่องราวกับว่าคาดการณ์เรื่องทั้งหมดนี้ไว้แล้ว
‘คุณเป็น…น้องของผมจริงๆ เหรอครับ’
อินซอบเอ่ยถามชายหนุ่มแบบนั้นในห้องพักผู้ป่วย
‘งั้นมีเหตุผลที่เป็นไม่ได้ด้วยเหรอครับ’
ชายหนุ่มยิ้มอย่างงดงามพลางถามกลับ ผู้ชายที่แนะนำตัวว่าเป็นน้องแท้ๆ ขอร้องให้ใช้ภาษาเกาหลีไม่ใช่ภาษาอังกฤษในตอนที่คุยกันต่อหน้า ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเองไม่ชำนาญในภาษาอังกฤษ แต่ตนไม่กล้าพูดออกไปว่าการออกเสียงที่ได้ยินเมื่อสักครู่นี้กับสำนวนนั้นสมบูรณ์แบบมากเมื่อเทียบกับการเป็นคนไม่ชำนาญในภาษาอังกฤษ
‘เปล่าครับ ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่…’
‘แต่?’
ชายหนุ่มรอให้อินซอบพูดต่อ
…อีกฝ่ายมีใบหน้าที่งดงามมาก แม้ไม่รู้ว่าสามารถพูดแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันได้ไหม แต่เขาก็นึกออกเพียงคำนั้นเท่านั้น
แอรอนกับน้องชายฝาแฝดจัดว่าเป็นพวกมีชื่อเสียง เพราะตัวสูงและหล่อเหลา แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้อยู่ในระดับนั้นเลย
‘แต่อะไรครับ’
รอยยิ้มปรากฏในดวงตาของชายหนุ่มที่ถามกลับมาแบบนั้น
…หล่อมาก เขาหล่อมากเกินไป ไม่ใช่แค่ใบหน้าที่เป็นแบบนั้น แต่รูปร่างก็ยังโดดเด่นด้วย ไหล่กว้างกับขาที่ยาว เขาสมบูรณ์แบบราวกับรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ที่ปรมาจารย์ทุ่มเทจิตวิญญาณทั้งหมดลงในการปั้น ถึงขนาดที่ต่อให้บอกว่าเป็นนายแบบหรือนักแสดงก็เชื่อ
‘เพราะคุณ…ไม่เหมือนผมเลยน่ะครับ’
‘ไม่เหมือนเหรอ แต่ทันทีที่เห็น ผมก็คิดว่าเราเหมือนกันมากเลยนะ เราสองคนไม่เหมือนกันมากเลยเหรอครับ’
พออีกฝ่ายพูดแบบนั้น ชายวัยกลางคนสองคนที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยก็พยักหน้าด้วยสีหน้าลำบาก
อินซอบหลุบตามองด้านล่าง
ดวงตากลมโตจนทำให้รู้สึกกังวลกับปลายจมูกกลมมน และผิวขาวซีดกับรอยกระ …อินซอบอยากถามว่าส่วนไหนในใบหน้าของผมกันแน่ที่เหมือนคุณ
‘คงเป็นแบบนั้นเพราะผมคล้ายกับญาติทางแม่น่ะครับ’
วินาทีที่ชายหนุ่มพูดแบบนั้น อินซอบก็เงยหน้าขึ้น เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับแม่แท้ๆ พอสบตากัน รอยยิ้มของชายหนุ่มก็หายไป อีกฝ่ายถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูด
‘ไว้ค่อยหาแล้วกันครับว่าเหมือนตรงไหน พักก่อนเถอะครับ เพราะหมอบอกว่าให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ก่อน’
แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีพลังที่ไม่สามารถปฏิเสธได้แฝงอยู่ อินซอบพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แม้ในระหว่างนั้นจะทำการตรวจหลายชนิดและเฝ้าดูอาการแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรต่างออกไป ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ ชายหนุ่มพยายามจะนอนที่เตียงเสริมเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในห้องพักผู้ป่วย แม้ตนจะบอกให้กลับไปอยู่หลายครั้ง เพราะไม่ได้ขยับตัวลำบาก แต่ชายหนุ่มกลับไม่สนใจ
‘ไม่เป็นไรครับ การเฝ้าไข้พี่ชายแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร’
‘ในเวลาแบบนี้น้องชายที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ต้องเฝ้าไข้สิครับ อย่าสนใจเลยครับ’
‘ถ้าป่วยขึ้นมาในขณะที่อยู่คนเดียวจะทำยังไงล่ะครับ แล้วจะมีครอบครัวไว้ทำไมล่ะครับ ในเวลาแบบนี้ก็ต้องใช้งานน้องชายสิ’
เขารู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ชายหนุ่มเรียกตัวเองว่าน้องชายแท้ๆ ไม่ว่าจะมองกี่ครั้ง เขาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นน้องชายของตนเลย เขาโกหกหรือเปล่านะ แต่ก็ดูไม่เหมือนว่าจะมีแผนลับในใจเลย
‘หลับสบายดีไหมครับ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ’
ความจริงใจที่สัมผัสได้จากสายตาของชายหนุ่มที่เอ่ยถามแบบนั้นทุกเช้าไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสร้างขึ้นมาได้
อินซอบรื้อของออกมาอย่างง่ายๆ และอาบน้ำ เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกขณะเดินออกมาจากห้องน้ำและยืนอยู่หน้ากระจก
เขามองกระจกอย่างเหม่อลอย ความทรงจำของเขาหยุดอยู่ที่อายุสิบเจ็ดปี เขาไม่เชื่อความจริงที่ว่าเวลาได้ผ่านมาเกือบจะสิบปีแล้ว เพราะคิดว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องสูงขึ้น และรูปลักษณ์ภายนอกก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ด้วย
“…ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด”
อินซอบมองตัวเองในกระจก ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากรูปลักษณ์ในความทรงจำเลย ถ้าจะมีอะไรต่างไปก็คือหัวที่โตขึ้นมาเล็กน้อยกับแก้มที่ตอบลงแค่นิดเดียว
“ไม่สูงขึ้นเลยเหรอ”
อินซอบใช้มือวัดความสูงของตัวเองคร่าวๆ
แม้จะไม่สามารถพูดกับใครได้ แต่เขากลับรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านเมื่อเห็นพวกน้องๆ ที่สูงแซงตัวเองไปนานแล้ว แม้จะลองดื่มนมและลองเข้านอนเร็วๆ แล้ว…แต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ ในตอนที่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และมองกระจกเพื่อหาส่วนที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง
“ผมเตรียมอาหารเสร็จแล้วครับ ออกมา…”
ชายหนุ่มที่เปิดประตูห้องเข้ามาปิดปากสนิทไปทั้งๆ อย่างนั้น อินซอบหันกลับไปมองพร้อมกับกลั้นหายใจ เขาหายใจไม่ออกเพราะสายตาของชายหนุ่มที่เหมือนจะโมโหอะไรไม่รู้ แล้วก็ได้รู้ว่าตัวเองสวมแค่กางเกงชั้นในกับเสื้อยืดออกมา
“อื้อ เดี๋ยวออกไปครับ ใส่เสื้อแล้วจะ…สักครู่นะครับ”
อินซอบรื้อกระเป๋าอย่างฉุกละหุกก่อนจะหยิบกางเกงออกมา สายตาของชายหนุ่มขยับไปตามขาที่โผล่พ้นเสื้อยืดออกมาไม่ยอมเลิก แปลก ทำไมถึงได้มองขนาดนั้นล่ะ
“…เตรียมตัวตามสบายเลยครับ”
โชคดีที่อีกฝ่ายปิดประตูห้องและออกไป ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้หายใจออกมาและเปลี่ยนเสื้อผ้า
พอออกมาข้างนอก อาหารก็ถูกจัดวางบนโต๊ะกินข้าวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณครับ”
อินซอบดึงเก้าอี้ออกมานั่งพลางเอ่ยขอบคุณ
“กินเยอะๆ นะครับ”
“ครับ”
โชคดีที่ไม่มีอาหารรสเผ็ดหรืออาหารมันๆ อินซอบกินเต้าหู้ย่างที่วางอยู่ตรงหน้าและสำรวจชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงออกกำลังกายไม่มีส่วนที่เหมือนตนเลยจนน่าตกใจอย่างที่คิด
เป็นน้องของเราจริงๆ เหรอ
“เป็นอะไรไปครับ รสชาติไม่ถูกปากเหรอครับ”
“ปะ เปล่าครับ ถูกปากครับ อร่อยด้วยครับ”
อินซอบรีบส่ายหน้าและคีบเต้าหู้ขนาดหนึ่งกำมือเข้าปาก ชายหนุ่มมองภาพนั้นและหัวเราะออกมาเบาๆ
“คนปากเล็กกินจะกินอะไรขนาดนั้นล่ะ…”
เขายื่นมือออกมาเช็ดเต้าหู้ที่โผล่ออกมานอกปากของอินซอบออก อินซอบสะดุ้งและเอนตัวไปด้านหลัง เขาชะงักไปสักพักและยื่นมือออกมาอีกครั้ง
“ค่อยๆ กินครับ ไม่มีใครแย่งหรอก”
มือใหญ่โตนวดคลึงตรงริมฝีปาก ความร้อนพุ่งขึ้นมาแปลกๆ อินซอบตอบว่า ‘ครับ’ ก่อนจะก้มหน้า
การกินอาหารที่เงียบเชียบดำเนินต่อไป อินซอบเคี้ยวสลัดและเหลือบมองชายหนุ่ม อีกฝ่ายมีมารยาทในการกินอาหารที่สง่างาม การขยับตะเกียบนั้นถูกต้อง และไม่มีเสียงเคี้ยวอาหารหรือมีอาหารหกออกมาเลย
…เขาได้รับความรักและเติบโตมาในบ้านที่ดีใช่ไหม
พอสบตากันชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างให้
“สงสัยอะไรขนาดนั้นเหรอครับ”
“ครับ?”
“ก็คุณเหลือบมองอยู่ตลอดตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนี่ครับ คุณเป็นแบบนั้นเวลามีอะไรจะพูดนี่นา”
“เอ่อ…”
อินซอบที่เคี้ยวสลัดอยู่นิ่งไป พวกเขาสบตากัน ชายหนุ่มไม่หลบสายตาและเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ตนรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังรอเหตุผลอยู่
“ดูเหมือนคุณจะรู้จักผมดีน่ะ…อย่างพวกนิสัยของผม…”
ชายหนุ่มร้องอ๋อพลางพยักหน้า
“เพราะผมเห็นกับตาน่ะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
อินซอบคิดว่าตัวเองเป็นพวกที่แสดงพฤติกรรมออกมาอย่างชัดเจน
“เพราะฉะนั้นบอกมาเถอะครับว่าสงสัยอะไร”
ชายหนุ่มถามคำถามเดิม
“…มียังไงเหรอ…”
“ครับ?”
“ผมไม่รู้ว่าคุณใช้ชีวิตยังไง…หรือเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของพ่อแม่แบบไหน แต่รู้สึกโล่งอกที่คุณเหมือนจะสบายดี เพราะ เพราะผมเองก็สบายดี…ถ้ามีแค่ผมที่สบาย ผมจะรู้สึกผิด…”
อินซอบพูดต่ออย่างตะกุกตะกัก
“…ผมว่าผมโล่งอกครับ”
แม้จะไม่รู้โดยละเอียดว่าอีกฝ่ายได้ใช้เวลากับพ่อแม่ที่แท้จริงขนาดไหน และหลังจากนั้นจะใช้ชีวิตอยู่แบบไหน แต่ตนก็หวังว่าช่วงเวลาที่อีกฝ่ายใช้ชีวิตมาจะไม่ลำบาก
“…”
ชายหนุ่มมองอินซอบนิ่งๆ สายตาที่อัดแน่นถูกส่งมาทางอินซอบ
เขาโกรธหรือเปล่านะ
อินซอบรู้สึกเหมือนตัวเองพูดเกินตัวและรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“ขอโทษครับ ผมแค่เป็นห่วงก็เลย…”
“ในสถานการณ์แบบนี้คุณยัง…”
ชายหนุ่มที่พูดเพียงเท่านั้นกลั้นคำพูดต่อไปไว้ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดราวกับกลืนของที่ขมมากๆ เข้าไป
“…ไม่จำเป็นต้องห่วงผมหรอกครับ เพราะผมสบายดี”
ชายหนุ่มที่พูดแบบนั้นพึมพำว่า ‘กินข้าวเถอะครับ’ จนกระทั่งมื้ออาหารจบลงก็ไม่มีบทสนทนาอะไรอีกเลย