อวิ๋นปี้ลั่วดึงผ้าคลุมหน้าของตนลง พร้อมกับก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ บนริมฝีปาก นางหยุดฝีเท้าลงก็ตอนที่มาถึงโถงทางเดินแล้ว
“บัตรผ่าน” ทหารขวางนางเอาไว้
อวิ๋นปี้ลั่วใช้ดวงตาคู่งามของตัวเองมองทหารนายนั้น พร้อมกับค้อมศีรษะ และลดเสียงลง
ทหารนายนั้นหลงใหลไปกับน้ำเสียงอันนุ่มนวลของนาง เขาชำเลืองมองอวิ๋นปี้ลั่วอีกครั้งแล้วบอกว่า ”เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะเข้าไปรายงานคนข้างใน”
“ขอบคุณ” อวิ๋นปี้ลั่วละสายตาออกพร้อมกับยิ้มกว้าง
ที่ห้องบนชั้นสอง
“ท่านแม่ทัพขอรับ” ทหารนายนั้นเดินเข้าไปในห้องแล้วกระซิบกับมู่หรงหงตู๋ ”ท่านเจ้าเมืองส่งสาวงามมารับรองท่านแม่ทัพขอรับ…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งถัดจากมู่หรงหงตู๋ นางเกร็งนิ้วมือเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของทหารนายนั้น
สาวงามคนที่เขาหมายถึงจะต้องเป็นพวกอวิ๋นปี้ลั่วอย่างแน่นอน
หยวนหมิงยิ้มเยาะขึ้น ”แม่นาง ข้าเดาว่าคนพวกนั้นคงนึกไม่ถึงว่าเจ้าจะใช้วิธีอื่นเข้ามาในห้องนี้ได้ก่อนพวกเขา ตอนนี้พวกเขาคงคิดว่าเจ้ายังคอยดูต้นทางให้พวกเขาอยู่ที่ข้างนอกนั่น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร นางถือจอกเหล้าไว้ในมือ พร้อมกับเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกเขาทุกคำพูด
ทันทีที่มู่หรงหงตู๋ได้ยินคำว่าสาวงาม รอยยิ้มกริ่มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูไม่ใช่รอยยิ้มธรรมดาสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย
“ท่านเจ้าเมืองส่งนางมาให้ข้าด้วยตัวเองหรือ” มู่หรงหงตู๋ถาม
ทหารนายนั้นส่ายศีรษะ ”ดูเหมือนว่านายน้อยหานจะเป็นคนส่งนางมาที่นี่ขอรับ”
“ถ้าเจ้าไม่มั่นใจก็ไม่ต้องมารายงานข้า” มู่หรงหงตู๋เหยียดยิ้มเยาะเย้ย ”คุมตัวนางเอาไว้ก่อน แล้วถามนางว่านางมาจากไหน”
ทหารนายนั้นก้มหน้าลง พร้อมขานว่าขอรับ
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางจอกเหล้าในมือของนางลง นางยังคงมีท่าทีสุขุมเยือกเย็นดังเดิม
หยวนหมิงกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วบอกว่า ”แม่นาง ดูเหมือนว่าแผนการของสหายเจ้าจะไม่ได้ผล”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเงียบ เพราะมู่หรงหงตู๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังหันหน้ามามองนาง สายตานั้นทำให้นางนึกถึงงูเห่าที่เลื้อยอยู่ในพงหญ้าอย่างไรอย่างนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยแสร้งทำเป็นยิ้ม แล้วยกจอกที่อยู่ในมือไปทางเขา
เมื่อทำเช่นนั้นสีหน้าอันน่าหวาดกลัวของมู่หรงหงตู๋ถึงได้คลายลง เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า ”ข้าคิดว่าท่านสนใจสาวงามคนนั้นเสียอีก เมื่อครู่นี้ท่านดูตั้งใจฟังทีเดียว”
“แน่นอนว่าข้าย่อมชอบสาวงามอยู่แล้ว เพียงแต่…” เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไป ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ”ข้าอยากดื่มสิ่งที่ท่านแม่ทัพพูดถึงเมื่อครู่มากกว่า”
มู่หรงหงตู๋หัวเราะลั่นราวกับพอใจในคำตอบของเฮ่อเหลียนเวยเวย หลังจากปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขาก็ปรบมือเบาๆ ”ไปเอาของออกมา”
หยวนหมิงที่ประสาทสัมผัสเครียดขึงไปทั้งร่างเมื่อครู่ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ”เกือบไปแล้ว ข้านึกว่าเขาจะรู้ตัวแล้วเสียอีก”
“ชายผู้นี้น่ากลัวจริงๆ” เสี่ยวไป๋พูดขึ้น
แต่เมื่อหยวนหมิงมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ต้องเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นกังวลกันถึงเพียงนี้ แต่นางกลับยังสามารถรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำเพียงแค่ยกเหล้าขึ้นจิบ จากนั้นเมื่อนางเห็นว่าบรรดาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามต่างพากันลุกขึ้นยืน นางก็ใช้มือค้ำโต๊ะกลมตัวหนึ่งเอาไว้พร้อมยืนขึ้นอย่างช้าๆ
“จากนี้ทุกท่านอาจจะได้เห็นภาพที่ค่อนข้างโหดร้ายไปบ้าง แต่ไม่ต้องกังวลไป สิ่งเดียวที่พวกท่านควรรู้ไว้ก็คือ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเยาว์วัยอันเป็นนิรันดร์นั้น เราย่อมต้องมีการสังเวยบางสิ่งเสมอ” มู่หรงหงตู๋กล่าวขณะนำทางทุกคนเข้าไปในห้อง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปที่นั่น นางขนลุกไปทั้งตัวตอนที่เงยหน้าขึ้นมองเสา
หลายคนที่อยู่ตรงนั้นหน้าซีด มีชายหญิงบางคนรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว
มู่หรงหงตู๋เหลือบมองคนคนนั้น
ทันใดนั้นคนคนนั้นก็รีบควบคุมสติของตัวเองทันที
แต่ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขานั้นมันช่างยากเกินกว่าจะยอมรับได้
บนเสาต้นนั้นมีศพเด็กๆ สองศพห้อยลงมาจากคาน
ศพทั้งสองเหมือนเป็นท่อที่ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างส่วนบนกับส่วนล่างเอาไว้ด้วยกัน
เลือดที่หยดลงมาจากศพทั้งสองนั้นสุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นอาหารไปป้อนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกขังอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที นางรู้ว่าปฏิกิริยาใดๆ ก็ตามที่นางจะแสดงออกไปตอนนี้นั้นย่อมนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
หากนางแสร้งทำเป็นเยือกเย็นจนเกินไป เช่นนั้นมันก็คงดูไม่สมจริงเท่าใดนัก
มู่หรงหงตู๋เข้าใจว่าภาพนี้คงเป็นภาพที่ยากจะมองสำหรับคนที่มาครั้งแรก เขาระเบิดหัวเราะออกมาแล้วตบบ่าเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เดี๋ยวเจ้าก็จะชินกับมันไปเอง คิดถึงผลประโยชน์ที่เจ้าจะได้หลังจากดื่มมันเข้าไปสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้มู่หรงหงตู๋
มู่หรงหงตู๋เดินผ่านนาง ก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น เขาดื่มเลือดจากกะโหลกที่ถูกผ่าเอาไว้ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นเสียอึกใหญ่ด้วยท่าทางเหมือนกับคนป่าที่กินเนื้อดิบเป็นอาหาร
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว แต่รอยยิ้มบนมุมปากของนางนั้นยังคงไม่จางหายไป นางกำลังตรวจสอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนว่ามันเพิ่งจะตายมาได้ไม่นานนัก มันนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ปากอ้าค้าง ส่วนศีรษะและลำตัวของมันผอมแห้ง ขาทั้งสี่ข้างก็บางเท่ากิ่งไม้ มันดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากมู่หรงหงตู๋ดื่มเลือดเสร็จ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เขาดูมีกำลังวังชาขึ้นมาทันทีเพียงแค่ในเวลาสั้นๆ จากนั้นเขาก็หันมาทางเฮ่อเหลียนเวยเวยและคนอื่นๆ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า ”รู้สึกดียิ่งนัก!”
แม้จะตัวสั่นจากการเห็นศพทั้งสอง แต่ชายชราที่มีผมขาวขึ้นเต็มศีรษะก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปเมื่อได้เห็นภาพนี้
เขาโหยหาการมีชีวิตอมตะจนแทบคลั่ง ดังนั้นเขาจึงหลับตาลง แล้วดื่มด่ำกับสมองของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกตัวหนึ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเทพที่กำลังโบยบินอยู่ในอากาศ พละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดท่วมท้นไปทั่วร่าง
“ดี!” มู่หรงหงตู๋หัวเราะ ”ใครจะเป็นคนต่อไป”
พ่อค้าท่าทางร่ำรวยที่น่าจะมีอายุเกินสี่สิบเดินเข้าไป แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ส่ายหน้า และเอ่ยว่า ”ไม่ได้ ข้าทำไม่ได้ ข้าก็มีลูกเหมือนกัน…”
“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่” มู่หรงหงตู๋ยังคงยิ้มกริ่ม
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นว่าดวงตาของเขากลับดำทะมึน
พ่อค้าคนนั้นส่ายหน้า ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวอย่างยิ่ง ”ข้าขอถอนตัวดีกว่า…”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็มีเสียงดังฟุ่บเกิดขึ้น!
มู่หรงหงตู๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทงเขาอย่างไร้ความปรานี!
“คนขี้ขลาดย่อมไม่ควรวาดฝันถึงความเยาว์วัยอันเป็นนิรันดร์” มู่หรงหงตู๋ใช้นิ้วผลักร่างของพ่อค้าที่ดวงตาเบิกกว้างอยู่ตรงนั้นออกไป
ร่างของพ่อค้าคนนั้นกระตุกอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง
มู่หรงหงตู๋โบกมือให้เหล่าทหาร บนใบหน้าของเขาเริ่มมีความไม่พอใจปรากฏออกมา ”เอาตัวเขาออกไป เขาจะพลอยทำให้คนอื่นกินไม่ลงไปด้วย”
เพียงชั่วพริบตาเดียว ชีวิตของคนคนหนึ่งก็ดับลง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้จักคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางดี เขาไม่มีความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากนางต้องสืบหาที่ๆ มู่หรงหงตู๋อยู่เมื่อเร็วๆ นี้แล้ว นางยังจำเป็นต้องคิดหาหนทางที่จะพาตัวเองหนีออกไปจากที่นี่ด้วย
“เวยเวย เจ้าจะดื่มเลือดนั่นไม่ได้” เสี่ยวไป๋กระโดดออกมา แต่ยังคงซ่อนร่างของตัวเองเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง คำเตือนปรากฏอยู่ในดวงตาของมัน ”นี่ไม่ใช่เลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป พวกเขาทำอะไรบางอย่างกับมัน”
หยวนหมิงหรี่ตาลงเช่นเดียวกัน ”เจ้าหมายถึงศพเด็กสองคนเมื่อครู่นี้น่ะหรือ”
“ใช่แล้ว” เสี่ยวไป๋ลดเสียงลง ”แม้ว่าพวกเขาจะปิดบังมันได้เป็นอย่างดี แต่หากดูจากภาพที่เกิดขึ้น อย่างไรมันก็ยังเหมือนการสังเวยมนุษย์อยู่ดี หากพวกเขาใช้เลือดจากเด็กพวกนั้น เลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็จะเกิดการปนเปื้อน ทันทีที่มีคนดื่มเลือดอันแปดเปื้อนนั้น คนที่ดื่มก็จะไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้อีก และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าไม่ควรดื่มมันโดยเด็ดขาด”