ฮ่องเต้เสด็จกลับพระราชวังอย่างกะทันหันสร้างความโกลาหลให้แก่ค่ายทหารอย่างมาก
โจวเสวียนนำทัพคุ้มกันด้วยตนเอง เพียงแต่ไม่เห็นสีพระพักตร์ดีของฮ่องเต้ อีกทั้งเมื่อเข้าใกล้ยังถูกต่อว่ากลับมา
“ฝ่าบาททรงอารมณ์ไม่ดี” เหล่ารองแม่ทัพพูดเสียงเบาอยู่ด้านข้าง “ดูท่าทางหวังเจียนไม่มีความคืบหน้ามากมายนัก”
โจวเสวียนเฝ้าดูฮ่องเต้เสด็จกลับเข้าพระราชวังไป เขาไม่ได้ติดตามไปทำให้ตนเองลำบาก หากแต่ยับยั้งการถกเถียงของเหล่ารองแม่ทัพ “กลับค่ายทหารเถิด เฝ้าท่านแม่ทัพให้ดี หากท่านแม่ทัพไม่ดีขึ้น อารมณ์ของฝ่าบาทจะไม่ดีขึ้นเช่นกัน”
เหล่ารองแม่ทัพตอบรับพร้อมจัดเตรียมทหารและม้า โจวเสวียนเรียกคนหนึ่งเอาไว้ รองแม่ทัพผู้นั้นเข้ามาใกล้
“ตอนที่หวังเจียนกลับมา พวกเจ้าเห็นหรือไม่” โจวเสวียนถามเสียงเบา “มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
รองแม่ทัพผู้นั้นกระซิบ “ไม่ขอรับ เขาพาเฟิงหลินกลับมา ทั้งสองคนดูเหน็ดเหนื่อยเหมือนเดินทางเป็นเวลานาน”
โจวเสวียนพยักหน้า
“คนเหล่านั้นเรียกกลับมาหรือไม่” รองแม่ทัพผู้นั้นถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
โจวเสวียนพยักหน้าอีกครั้ง “เรียกกลับมาก่อน หวังเจียนกลับมาแล้ว แม้ว่าฝ่าบาทจะดูโกรธมาก แต่ท่านแม่ทัพคงจะดีขึ้น”
คนอย่างหวังเจียน หากไม่มั่นใจเขาไม่มีทางกลับมา
รองแม่ทัพผู้นั้นตอบรับ เดินไปรวมตัวกับทหารคนอื่น รายล้อมโจวเสวียนเคลื่อนตัวไปยังค่ายทหาร
แม้ว่าฮ่องต้จะเสด็จอกจากค่ายทหารแล้ว แต่กระโจมของแม่ทัพหน้ากากเหล็กยังคงได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้ โจวเสวียนเองก็ไม่ได้บุกเข้าไปเยี่ยมท่านแม่ทัพ เขาเพียงแค่จ้องมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะจากไป
ภายในกระโจม แม่ทัพหน้ากากเหล็กยังคงนอนอยู่บนเตียงด้านหลังฉากกั้น คนที่นั่งอยู่ด้านนอกกลายเป็นหวังเจียน
เฟิงหลินเข้ามาพร้อมกับชามยา “ยานี้ต้มเสร็จแล้ว”
หวังเจียนเอื้อมมือไปรับ ใช้ช้อนคนยา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากความร้อนลดลง เขาถึงได้หยิบขึ้นมาดื่มทีละคำ
“ท่านแม่ทัพเล่า?” เฟิงหลินถามเสียงต่ำด้วยความเป็นห่วง เขาสะกิดไหล่ของหวังเจียนด้วยความไม่พอใจ “อย่ามัวแต่ดื่มยาของตนเอง ให้ท่านแม่ทัพดื่มด้วย”
หวังเจียนเย้ยหยัน “ข้าเป็นคนที่เหนื่อยที่สุด ข้าคนเดียวช่วยคนสองคน อกสั่นขวัญแขวน หมดเรี่ยวหมดแรง”
เมื่อพูดถึงความหวาดกลัวและเหนื่อยล้า เฟิงหลินเข้าใจเป็นอย่างดี เขามองไปที่เตียงด้านหลังฉากกั้น ก่อนจะอดลูบใบหน้าของตนเองไม่ได้ หลายวันนี้สวมหน้ากากของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ถึงแม้เขาจะนอนอยู่ แต่ไม่เคยหลับได้แม้แต่ครั้งเดียว หลายครั้งที่เขารู้สึกว่าหัวใจหยุดเต้นลง
เขาอดยื่นมือออกไปไม่ได้ “ให้ข้าดื่มบ้าง”
หวังเจียนพูดกับแม่ทัพหน้ากากเหล็กด้านหลังฉากกั้น “ท่านแม่ทัพ ยานี้ไม่พอดื่มแล้ว ท่านรีบหายดีเถิด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหอบหายใจอยู่ด้านหลังฉากกั้น ราวกับเครื่องสูบลม “โรคมาเยือนดุจภูผาล้ม”
หวังเจียนยัดชามยาให้เฟิงหลิน เฟิงหลินรีบเงยหน้าเทยาเข้าปาก หวังเจียนไม่สนใจเขา เดินไปด้านหลังฉากกั้น มองแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่นอนใช้สองมือหนุนท้ายทอย ท่าทางอารมณ์ดี
“หมายความว่าอย่างไร” เขาถามเสียงเบา “ท่านไม่คิดจะหายดีแล้ว? ระวังฝ่าบาทจะลงโทษท่าน”
พูดถึงตรงนี้ก็ร้อนใจ
“ท่านรีบอันใดกัน เรื่องของเฉินตันจูท่านแค่แสร้งทำไม่รู้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ หาเหตุผลใดมาอ้างให้ผ่านพ้นไป เดิมทีฝ่าบาทโกรธเพียงแค่ท่านคนเดียว เวลานี้ดีแล้ว มีเฉินตันจูเพิ่มขึ้นอีก หน้าของฝ่าบาทโกรธจนเขียวแล้ว”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “เรื่องของเฉินตันจูปิดบังไม่อยู่ คนที่ทูลต่อองค์รัชทายาทคงมาถึงแล้วในเวลานี้”
หวังเจียนย่อมรู้เรื่องนี้ แต่ทว่า
“ท่านทำตัวไม่เกี่ยวข้อง รอตอนที่ฝ่าบาทจะลงโทษเฉินตันจู ถึงจะขอร้องได้ดีกว่าไม่ใช่หรือ” เขาพูด “เฉินตันจูยังรู้ว่าต้องกีดกันท่านก่อนจะสังหารคน เพื่อให้เมื่อถึงเวลา ท่านสามารถปกป้องนางและคนในตระกูลของนางต่อหน้าฝ่าบาทได้อย่างบริสุทธิ์”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เสียงหัวเราะอันแหบพร่าของแม่ทัพหน้ากากเหล็กแปรเปลี่ยนเป็นเสียงเบา เขาพูด “บริสุทธิ์อาจไม่สามารถปกป้องนางได้ การที่จะปกป้องนาง สู้ข้ามีโทษร่วมกันกับนางดีกว่า”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ “ท่านเลียนแบบองค์ชายสามหรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กรีบโต้แย้ง “ภัยคุกคามและการต่ำตมด้วยตัวเองจะเหมือนกันได้อย่างไร ข้ากับเขาแตกต่างกันอย่างมาก”
หวังเจียนหัวเราะแห้ง ล้วนอาศัยว่าเป็นบุตรชายของฮ่องเต้ บังคับฮ่องเต้ไม่ใช่หรือ มีสิ่งใดแตกต่างกัน
“ไม่ต้องพูดเรื่องเหล่านี้แล้ว” หวังเจียนพูด ขมวดคิ้วมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่นอนอยู่ด้วยท่าทางไม่เด็กไม่แก่ “ท่านไม่คิดจะหายดีในเวลานี้จริงหรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ข้าต้องคิดเสียหน่อย ข้ารู้สึกว่า การป่วยสามารถคิดได้กระจ่างมากกว่า อีกทั้งยังสามารถมองเห็นเรื่องต่างๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น อาทิ เหตุใดโจวเสวียนจึงมีองครักษ์ลับอยู่ด้านนอกค่ายทหาร”
ใช่ ยังมีเรื่องนี้ หวังเจียนพูดอย่างจริงจัง “องครักษ์ลับเหล่านั้นหายไปแล้ว หากถาม โจวเสวียนย่อมต้องบอกว่าเพราะฝ่าบาทอยู่ในค่าย จึงต้องเข้มงวด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “เช่นนั้นก็ไม่ต้องถาม ข้าดูเอง” พูดพลางยิ้มอีกครั้ง “ป่วยก็ดี เวลานี้ฝ่าบาททรงโกรธ ข้าก็ดี คุณหนูตันจูก็ดี ไม่ปรากฏต่อหน้าเขาเป็นการชั่วคราวดีกว่า”
…
ฮ่องเต้เสด็จกลับถึงพระราชวังยังไม่ทันคิดว่าจะสอบสวนเรื่องเหยาฝูอย่างไร องค์รัชทายาทก็เสด็จมาเข้าเฝ้าด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจแล้ว
“เสด็จพ่อ คุณหนูสี่ตระกูลเหยาและคุณหนูตันจูเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขากล่าว
องค์รัชทายาทได้ข่าวแทบจะในเวลาเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าถึงแม้แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นผู้กระทำเรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้ปิดบังองค์รัชทายาทเอาไว้เหมือนคนโง่ ยังถือว่าเขายังคงรู้หน้าที่ของข้าราชบริพารอยู่บ้าง สีหน้าของฮ่องเต้ตึงเครียด “สถานการณ์เป็นอย่างไร”
องค์รัชทายาทประหลาดใจที่ฮ่องเต้ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เขารีบทูล “คุณหนูสี่ตระกูลเหยาประสบโชคร้ายพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูตันจูไม่รู้ที่ไป เรื่องแปลกประหลาดอย่างมาก คนที่มารายงานบอกว่า คุณหนูตันจูและคุณหนูสี่ตระกูลเหยาพบกันที่โรงเตี๊ยม ทั้งสองสนทนาร่วมห้องกัน จากนั้นมีผู้หนึ่งตายผู้หนึ่งสูญหาย องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ภายในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้ มีเพียงหน้าต่างด้านหลังที่ถูกเปิดออก…”
คำอธิบายสั้นๆ ผนวกกับคำพูดของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ฮ่องเต้สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ในขณะนั้นได้ เฉินตันจูวางยาพิษ อืม เหมือนกับที่นางสังหารหลี่เหลียง จากนั้นแม่ทัพหน้ากากเหล็กพานางจากไป ทิ้งเหยาฝูเอาไว้…ไม่สนใจเหยาฝูจะเป็นหรือตาย อืม หากยังมีชีวิตอยู่ แม่ทัพหน้ากากเหล็กคงจะส่งนางเดินทางไปยมโลก
เฉินตันจูทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ย่อมทำได้ คนบ้าทั้งสอง!
เสียงขององค์รัชทายาทยังคงดำเนินไป
“…คาดเดาว่าอาจเป็นคนร้าย แต่จุดประสงค์ไม่แน่ชัด เหล่าองครักษ์กำลังลาดตระเวนรอบด้าน เวลานี้ยังไม่มีรายงานใหม่…”
คนร้าย คนร้ายกลับไปนอนในค่ายทหารแล้ว ฮ่องเต้มองไปยังองค์รัชทายาท “เจ้าอย่าร้อนใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็สืบให้ดีเถิด” พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยไฟโกรธ “เฉินตันจูนั้น เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ!”
องค์รัชทายาทตอบรับ ถอนหายใจเสียงเบา “ล้วนเป็นเพราะกระหม่อมป้องกันไม่รอบคอบ ทำให้เสด็จพ่อต้องเดือดร้อน”
ฮ่องเต้โบกมืออย่างไม่อยากพูด
“ท่านแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทรีบถาม
ฮ่องเต้พูดอย่างอารมณ์เสีย “คนชั่วอายุยืนพันปี เวลานี้เขายังไม่ตาย”
คำพูดนี้แสดงออกถึงความโกรธหรืออวยพร? องค์รัชทายาทฉงน เวลานี้ในหัวของเขาก็สับสนอย่างมาก เมื่อเห็นฮ่องเต้เหนื่อยล้า จึงไม่พูดสิ่งใดอีก ขอให้ฮ่องเต้พักผ่อน ก่อนจะขอทูลลา
ฮ่องเต้ไม่ได้รั้งเขาเอาไว้
องค์รัชทายาทเดินออกมา ความกังวลบนใบหน้าสลายหายไป สายตาเคร่งเครียด
“องค์รัชทายาท เรื่องของคุณหนูสี่ตระกูลเหยา…” ฝูชิงพูดเสียงเบาอยู่ข้างกาย
องค์รัชทายาทพูด “เป็นฝีมือของเฉินตันจู”
ฝูชิงก็เดาได้ “ถึงแม้รู้ว่าคุณหนูเฉินตันจูคิดจะสังหารคุณหนูสี่ตระกูลเหยา แต่ไม่คิดว่านางยังกล้าฆ่าคน ทั้งที่ฮ่องเต้ออกพระราชโองการแต่งตั้งแล้ว”
องค์รัชทายาทยิ้มเย้ยหยัน “ในเมื่อนางไม่กลัวตาย ก็ให้นางตายเสียเถิด บอกคนที่ตรวจค้น ข้าไม่ต้องการเห็นคนเป็น ข้าต้องการเห็นเพียงศพ”
แต่คำสั่งขององค์รัชทายาทยังไม่ทันได้ส่งต่อไป เฉินตันจูก็ปรากฏตัวแล้ว