สืออีเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ยัง!”
สือเหนียงก้มหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
สืออีเหนียงมองหวังเฉิงจู่ที่จับชายเสื้อของสือเหนียงไว้ พูดพึมพำว่า “ท่านกับลูกกลับไปก่อนเถิด หากมีเรื่องอันใดข้าค่อยแจ้งให้เจ้าทราบทีหลัง”
สือเหนียงไม่ได้พูดอะไร จูงมือหวังเฉิงจู่เดินออกไป
คนที่เห็นนางก็พากันหลบให้ห่างจากนาง
สืออีเหนียงถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน
ในกลางดึกวันนั้น นายหญิงใหญ่ได้เสียชีวิตลง
วันรุ่งขึ้น กรมพิธีการมีหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการให้หวังเฉิงจู่สืบทอดตำแหน่งเม่ากั๋วกง
******
เป็นงานศพที่มีผู้คนเข้าร่วมมากมาย บัณฑิตซื่อหลินมาหานายท่านใหญ่สกุลหลัวกับหลัวเจิ้นซิ่งโดยเฉพาะ ส่วนสตรีระดับสูงและแม่ทัพมาหาสวีลิ่งอี๋โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นคนของสกุลหลัวหรือคนของสกุลสวี แม้แต่อวี๋อี๋ชิงและเฉียนหมิงต่างก็ยุ่งอยู่กับงานศพ มีเพียงคนของสกุลเจียงเท่านั้นที่เข้าร่วมพิธีสืบทอดตำแหน่งของหวังเฉิงจู่
พิธีศพของนายหญิงใหญ่เป็นที่กล่าวถึงไปทั่วเยี่ยนจิง ผ่านไปหลายเดือนในเยี่ยนจิงก็ยังมีคนพูดถึงพิธีศพนี้อยู่
นายท่านใหญ่เหมือนแก่ขึ้นอีกสิบปีภายในพริบตาเดียว หลังจากผ่านเจ็ดวันแรกของนายหญิงใหญ่ สกุลหลัวก็เริ่มเก็บของเตรียมกลับอวี๋หัง
ในระหว่างนั้นหลัวเจิ้นซิ่งมาหา เขาถามสืออีเหนียงว่า “ข้ายังดูแลนางได้ไม่ดีพอหรือ” ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนและไม่แน่ใจ
สืออีเหนียงไม่สามารถตอบได้
ดอกกุ้ยฮวาเบ่งบานสะพรั่งในช่วงต้นเดือนเก้า กลิ่นแรงแสบจมูกเล็กน้อย ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศสดชื่น แต่ฝีเท้าของหลัวเจิ้นซิ่งกลับไม่มั่นคง
สืออีเหนียงปักปิ่นปักผมและแต่งกายเรียบๆ
นางมองหลัวเจิ้นซิ่งเดินจากไปอย่างเงียบๆ สูดอากาศเย็นเข้าไปเต็มปอด จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินกลับเข้าห้อง
สวีลิ่งอี๋นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเตา เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาก็วางหนังสือลง “เจิ้นซิ่งไปแล้วหรือ”
สืออีเหนียงพยักหน้า นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา “บอกว่าจะฝากเรือนในเมืองหลวงให้พี่สามดูแล ให้ข้าวางใจได้ เขาจะดูแลอี๋เหนียงห้ากับน้องเจ็ดเป็นอย่างดี”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เจิ้นซิ่งเป็นบุรุษที่รักษาคำพูด หากพูดออกมาแล้วต้องทำได้แน่นอน”
ตอนเกิดเรื่องกับนายหญิงใหญ่ หลัวเจิ้นเซิงทำได้เพียงยืนเหม่อลอยอยู่ด้านข้างเท่านั้น หากหลัวเจิ้นซิ่งเป็นอย่างนายหญิงใหญ่ที่รู้จักแต่กดดันลูกอนุ ต่อไปเมื่อถึงรุ่นของซิวเกอ เกรงว่าคงไม่มีพื้นที่ให้คนยืนเหม่อลอยแล้ว
สืออีเหนียงไม่อยากพูดเรื่องที่ไม่สบายใจให้สวีลิ่งอี่ฟัง
เมื่อนายหญิงใหญ่เสียชีวิต บุญคุณความแค้นบางอย่างที่วางลงได้ก็ปล่อยวางเสียเถิด!
“เพียงแต่ว่าไม่ง่ายเลยที่ท่านโหวจะอยู่เรือนในวันเกิดพอดีแต่กลับไม่สามารถจัดงานได้ ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย” นางเปลี่ยนเรื่อง
วันที่สามเดือนเก้าเป็นวันเกิดของสวีลิ่งอี๋ หลายปีมานี้หากไม่อยู่ในกองทัพก็มีงานราชการที่ทำให้ไม่ได้อยู่ในเยี่ยนจิง คนในครอบครัวไม่ได้ฉลองวันเกิดให้เขามาหลายปีแล้ว
“ในเรือนมีผู้อาวุโสอยู่ จะจัดงานวันเกิดอะไรกัน” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างไม่เห็นด้วย “อีกอย่างเจ้าก็ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่มาทำบะหมี่อายุยืนให้ข้าทานแล้ว”
สืออีเหนียงพลันนึกขึ้นได้ว่าเขาทานบะหมี่อายุยืนถึงสามชาม ก็พยายามกลั้นหัวเราะ “หากท่านโหวชอบ ข้าจะทำบะหมี่อายุยืนให้ท่านโหวทุกปีเลยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เพียงแต่หัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากวันนี้ไป สืออีเหนียงก็ปฏิเสธงานเลี้ยงต่างๆ นางตั้งใจทำหน้าที่ผู้ดูแลของกินของใช้ในเรือน ขอคำชี้แนะจากอาจารย์เจี่ยนเรื่องงานเย็บปัก บางครั้งก็ไปเยี่ยมเยียนกานไท่ฮูหยิน
เมื่อสกุลหลัวออกจากเมืองหลวง นางก็มาส่งถึงนอกประตูเซวียนอู่
มองไปยังรถม้าสกุลหลัวที่ค่อยๆ ไกลลับออกไป เดิมทีสืออีเหนียงคิดว่าความโศกเศร้าเล็กๆ น้อยๆ จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใครจะไปรู้ว่าน้ำตากลับไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ จะหยุดก็หยุดไม่ได้
ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้พบอี๋เหนียงห้าและเด็กทารกน้อยที่ถูกห่อด้วยผ้าอ้อมอีก เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าทุกอย่างคงจะไม่เหมือนเดิมแล้ว เป็นคนละภาพกับที่เห็นในตอนนี้
เป็นครั้งแรกที่สวีลิ่งอี๋เห็นนางร้องไห้หนักเช่นนี้
นางหันหน้าหนีซ่อนน้ำตาที่ไหลเหมือนสายฝน แต่กลับกลั้นไว้ไม่ให้มีเสียงสะอึกสะอื้นออกมา
เขาถอนหายใจเบาๆ โอบสืออีเหนียงไว้ในอ้อมแขน ลูบหลังนางเบาๆ ราวกับปลอบใจเจ้าตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ สัมผัสอ่อนโยนแฝงไว้ด้วยความเอ็นดู
อ้อมกอดอันอบอุ่นกับเสียงล้อหมุนที่เป็นจังหวะ สืออีเหนียงร้องไห้จนผล็อยหลับไป
เมื่อกลับมาถึงเรือนก็ต้นยามโหย่วแล้ว
จูอานผิงกับชีเหนียงมากล่าวลา “ใกล้จะได้เวลาเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ต้องกลับไปดูสักหน่อย”
“เช่นนั้น…” สืออีเหนียงมองชีเหนียง
ชีเหนียงกลับเหลือบมองจูอานผิง ก้มหน้าลงด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
จูอานผิงเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าให้นางอยู่ที่เยี่ยนจิงต่อ แต่นางอยากจะกลับเกาชิงไปกับข้า อย่างไรเสียก็สั่งยามาเยอะแล้ว อยากกลับก็กลับเถิด! ไว้พวกเราจะกลับมาใหม่” จากนั้นก็มองชีเหนียง “นางมีชีวิตชีวามากเวลาอยู่ที่เยี่ยนจิง”
ชีเหนียงได้ฟังก็บุ้ยปาก ถามว่าฮูหยินห้าอยู่เรือนหรือไม่ “…ข้าจะไปบอกกล่าวกับนางสักหน่อย!”
“นางอยู่ที่เรือน” สืออีเหนียงกับชีเหนียงไปหาฮูหยินห้า ให้จูอานผิงอยู่คุยกับสวีลิ่งอี๋
ฮูหยินห้าได้ยินว่าชีเหนียงกำลังจะไปแล้ว จับมือนางไว้ “เจ้าจะมาอีกเมื่อไร เมื่อสองวันก่อนข้ากลับสกุลเดิมยังตั้งใจบอกท่านพ่อว่าข้าขอยืมเรือนนอกที่อยู่ตรงทะเลสาบซาเหิน คิดว่าอีกสักสองสามวันจะไปเที่ยวเล่นกับเจ้าที่นั่น!” นางถามอย่างใจจดใจจ่อว่า “เจ้าจะกลับมาเมื่อไร จะกลับมาเยี่ยนจิงอีกหรือไม่”
ยังไม่ทันได้จากไปก็รีบร้อนอยากจะพบกันในครั้งหน้าแล้ว ฮูหยินห้าเป็นเช่นนี้ทำให้สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
“จูอานผิงบอกว่าหากข้ายังไม่มีความคืบหน้าก็จะมาเยี่ยนจิงอีกหลังจากหว่านเมล็ดพืชในฤดูใบไม้ผลิแล้ว” ชีเหนียงพูดด้วยความตื่นเต้น “เจ้าไปเที่ยวเล่นที่เกาชิงของพวกเราดีหรือไม่ เกาชิงของพวกเราก็น่าสนใจมากเช่นกัน มีเขาติ่งจู๋ เขาหนิว และแม่น้ำมากมาย ไอ๊หยา สองวันนี้เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวองุ่นกับผิงกั่วพอดี เจ้าไปเที่ยวเกาชิงกับพวกเราสักสองสามวันดีหรือไม่”
ฮูหยินห้าฟังอย่างตั้งใจ แต่ไม่นานแววตาก็เริ่มหม่นหมองลงเล็กน้อย “หากข้าไปแล้วใครจะดูแลซินเจี่ยเอ๋อร์เล่า”
เมื่อมีครอบครัวแล้วก็ไม่สามารถเดินทางไกลได้อย่างอิสระ
มีหรือที่ชีเหนียงจะไม่รู้
นางรู้ว่าตัวเองได้ให้คำแนะนำที่ไร้สาระจึงเพียงแต่ยิ้มเจื่อนๆ
ฮูหยินห้าถามถึงการเดินทางของชีเหนียง “จะออกเดินทางเมื่อไร”
“ไปวันมะรืนนี้” ชีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ฝากเรือนไว้ให้พี่สามช่วยดูแล ต่อไปพอมาเยี่ยนจิงก็จะได้มีที่พัก”
ฮูหยินห้าพยักหน้า คุยกันอีกสองสามประโยคแล้วไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินได้ยินว่าชีเหนียงกำลังจะไปแล้ว จึงให้นางอยู่ทานข้าว สวีลิ่งอี๋ทานข้าวกับจูอานผิงที่เรือนนอก ก่อนไปนางได้ให้ของกินเล็กๆ น้อยๆ ที่ในวังมอบให้มากมายให้ชีเหนียงนำกลับไปด้วย “เอากลับไปให้ญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าด้วย”
ชีเหนียงกล่าวขอบคุณ ฮูหยินห้ากับสืออีเหนียงไปส่งนางที่ประตูฉุยฮวา
ไท่ฮูหยินกำชับฮูหยินห้าว่า “เมื่อถึงเวลาเจ้าก็ควรจะไปส่งด้วย หลายวันมานี้ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่เพียงแค่ไม่หอบหืด แม้แต่ไอก็ไม่มีสักแอะ”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “กำลังกลัวว่าท่านจะไม่อนุญาต” แล้วพูดต่อว่า “หากนางกลับช้าอีกสองวัน ต่อให้ข้าอยากไปส่งก็คงไปไม่ได้แล้ว”
อีกสองวันจะเป็นพิธีอภิเษกสมรสขององค์ชายใหญ่ ตามกำหนดแล้ววันที่สามหลังจากพิธีอภิเษกบรรดาขุนนางในราชสำนักจะต้องไปแสดงความยินดี สตรีที่มีตำแหน่งจะต้องไปแสดงความยินดีในงานเลี้ยงต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาและฮองเฮา
“…ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นท่านต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆ จึงจะดี”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา” ไท่ฮูหยินมองสืออีเหนียง “เตรียมอาหารให้ทุกคนไว้ทานบนรถด้วย”
สืออีเหนียงรับคำ เตรียมอาหารล่วงหน้าหนึ่งวัน เนื่องจากตัวเองอยู่ในช่วงไว้ทุกข์จึงไม่สามารถเข้าวังได้ หลังจากส่งไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ไปแล้วนางก็ไปหาอาจารย์เจี่ยน
อาจารย์เจี่ยนกำลังสวมแว่นตาปักม่านประตู เมื่อเห็นนางเข้ามาก็ยิ้มพลางถอดแว่นที่หนีบอยู่บนจมูกออก “ที่เจ้าให้มานั้นเป็นของดี อีกทั้งยังบางเฉียบ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางหยิบแว่นขึ้นมาสำรวจดู “ข้าจะวาดแบบขึ้นมาสักรูป เมื่อถึงเวลาจะเชิญอาจารย์ที่ร้านตัวเป่าเก๋อมาช่วยทำ ดูว่าจะสามารถเกี่ยวไว้บนหูได้หรือไม่ หนีบไว้ที่สันจมูกนั้นลำบากเกินไป”
“เจ้ามีความคิดสร้างสรรค์เสมอ” ขณะที่อาจารย์เจี่ยนกำลังพูด ชิวจวี๋ก็ยกชาดอกเก๊กฮวยมาพอดี “ฮูหยิน ดื่มคลายร้อนสักหน่อยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเห็นกลีบดอกเก๊กฮวยสะอาดราวกับหยก เกสรสีเหลืองดั่งทอง เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินสองส่งมาให้หรือ”
ฮูหยินสองได้ยินว่าอาจารย์เจี่ยนมาจึงตั้งใจมาเยี่ยม อาจารย์เจี่ยนส่งภาพปักสองด้านลายหุบเขาเมฆาให้นาง นางชื่นชอบมากจึงมักจะมานั่งเล่นกับอาจารย์เจี่ยนประจำ
ชิวจวี๋ยิ้มพลางพยักหน้า “บอกว่าเป็นดอกเก๊กฮวยสีขาวของถงเซียงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนั่งลงดื่มชากับอาจารย์เจี่ยน
“เพราะเหตุใดท่านถึงได้คิดปักม่านประตู” นางมองผ้าไหมสีแดงผืนใหญ่ที่เก็บอยู่ด้านข้าง เหมือนกับว่ากำลังทำของหมั้นให้ใคร “ท่านสายตาไม่ดี หากปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ก็บอกข้า ข้าจะออกหน้าปฏิเสธให้เองเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงกลัวว่าจะมีคนคิดว่าอาจารย์เจี่ยนเป็นช่างเย็บปัก
“ไม่ได้มีใครให้ทำ” อาจารย์เจี่ยนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าทำของข้าเอง”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าเห็นว่าม่านประตูของปินจวี๋ขายได้ราคาดี เพียงแต่ใช้เวลานานไปหน่อย” อาจารย์เจี่ยนพูดช้าๆ ว่า “ข้ากำลังคิดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีปักได้หรือไม่ ดูว่าสามารถลดเวลาลงได้หรือไม่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าไม่เลวเลย” อาจารย์เจี่ยนพูดพลางหยิบม่านประตูให้สืออีเหนียงดู “เจ้าดูสิ นี่คือรูปนกสาลิกาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ตรงนี้เดิมทีใช้เข็มเย็บตะเข็บเรียงซ้อนกัน ข้าเปลี่ยนเป็นใช้การเย็บแบบกากบาททำให้เร็วขึ้นมากกว่าเดิม ผลที่ได้กลับดูดีกว่าการเย็บตะเข็บแบบทั่วไป” นางหยิบภาพอีกภาพหนึ่งมาชี้ให้สืออีเหนียงดู “นี่คือรูปบึงบัว เดิมทีใช้การเย็บแบบกากบาท ข้าเหลือพื้นที่สีขาวไว้ สอยเพียงแค่ด้านข้างเท่านั้น ดูแล้วก็สวยงามดีใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
การเย็บปักเป็นวิชาความรู้อย่างหนึ่ง ความสามารถพิเศษของอาจารย์เจี่ยนคือการปักสองด้านและการถัก ตามหลักแล้ว ระดับอย่างอาจารย์เจี่ยนควรจะคิดหาวิธีที่ทำอย่างไรจึงจะโดดเด่นในการเย็บปักสองด้านและการถักในแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อนและคนรุ่นหลังก็ไม่สามารถทำได้จึงจะถูก เดิมทีเป็นเพราะชีวิตที่ยากลำบากจึงไม่สามารถทำการศึกษาอย่างสบายใจได้ ตอนนี้มาอาศัยเป็นแขกของหย่งผิงโหว ต้องการผ้าก็มีผ้าให้ ต้องการด้ายก็มีด้ายให้ ทำไมนางไม่ตั้งใจศึกษาสิ่งที่นางถนัดที่สุด แต่กลับใช้ความพยายามอย่างมากไปกับลวดลายมงคลธรรมดาเหล่านี้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ก็อย่างที่อาจารย์เจี่ยนกล่าวไว้การเปลี่ยนแปลงนี้มีเพียงแค่ความเร็วเท่านั้น แต่งานปักที่ดีไม่เคยคำนึงถึงความเร็ว
อาจารย์เจี่ยนรู้จักนางดี พอเห็นนางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าอย่าเดามั่วซั่ว ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าเอง ข้าต้องการเปิดร้านเย็บปัก!”
สืออีเหนียงตกใจเอ่ยเรียก “อาจารย์”
หอเซียนหลิงเชิญมาหลายครั้ง พ่อค้าที่ร่ำรวยมากมายในเจียงหนานก็มาเชิญ อาจารย์เจี่ยนไม่เคยตอบตกลง ทำไมตอนนี้ถึงคิดจะเปิดร้านเย็บปัก
อาจารย์เจี่ยนชี้ไปที่ชิวจวี๋ที่กำลังแยกด้ายอยู่ด้านข้าง
“เดิมทีข้าตัวคนเดียว กินอิ่มคนเดียวเลยไม่ต้องเป็นกังวล ตอนนี้ข้างกายยังมีชิวจวี๋ คงจะให้นางเป็นเหมือนข้าที่ต้องเร่ร่อนไปทั่วไม่ได้หรอก จะให้นางเย็บปักไปจนแก่เฒ่า ตาพร่ามัวจนทำอะไรไม่ได้แล้วไปอาศัยอยู่ที่บ้านพักคนพิการอย่างนั้นหรือ”
อาจารย์เจี่ยนเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้เสมอ นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหลังจากที่ตนมาถึงเยี่ยนจิงจึงไม่คิดจะรับอาจารย์เจี่ยนมาทันที แต่อย่างไรก็ตามการเปิดร้านเย็บปักโดยเฉพาะร้านเย็บปักที่เปิดโดยสตรีนั้นนับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
นางพึมพำขึ้นว่า “อาจารย์เตรียมจะเปิดร้านที่ไหน หากยังไม่แน่ใจ ไม่สู้เปิดที่เยี่ยนจิงดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าก็กำลังคิดเช่นนั้น” อาจารย์เจี่ยนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าไม่เพียงอยากเปิดร้านเย็บปักที่เยี่ยนจิง ซ้ำยังอยากให้เจ้ามีส่วนร่วมด้วย เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของพวกเรา”
นี่แหละคืออาจารย์เจี่ยน
เป็นคนใจกว้าง
“ดูเหมือนว่าท่านจะมีความคิดนี้มานานแล้ว?” สืออีเหนียงเอามือเท้าคาง มองอาจารย์เจี่ยนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม