บทที่ 347 เที่ยวพอแล้ว พวกเรากลับเมืองชิงซานกันเถิด!
บรรพชนเผ่าฉงฉีคิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้ตระกูลหานยังจะมีมหาจักรพรรดิตัวเป็น ๆ อยู่!
มหาจักรพรรดิมิได้สิ้นชีพลงในสงครามยุคโบราณหมดแล้วหรือ?
นี่รวมถึงกึ่งจักรพรรดิ และจักรพรรดิจริง ๆ ล้วนตายตกในสงครามใหญ่ครานั้นด้วย
กระทั่งพลังรบอย่างจ้าวสูงสุดยังวายชนม์ในสงครามใหญ่ครานั้นเกือบทั้งหมด
สงครามใหญ่ครานั้นส่งผลให้กำลังรบระดับสูงในอาณาจักรของพวกเขาขาดหาย พลังของแต่ละตระกูลแต่ละเผ่าลดฮวบลง ผู้ที่เหลือรอดมาได้ส่วนใหญ่เป็นกำลังรบที่ต่ำกว่าขอบเขตสูงสุด
ตระกูลหานกลับยังรักษากำลังรบเหนือขอบเขตสูงสุดได้มากมายปานนี้ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเขาจริง ๆ เขาตะลึงงันไปหมด
“ไม่ต้องคลางแคลง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง”
ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเอ่ย ทว่ามิได้อธิบายไปมากกว่านี้
นี่มิใช่ประวัติอันมีเกียรติเท่าใด ที่เขาพูดเรื่องนี้ก็เพื่อให้บรรพชนเผ่าฉงฉีเบาใจลงได้บ้าง
“เข้าใจแล้ว พวกเจ้ารักษากำลังในศึกสงคราม มิได้ร่วมรบเต็มกำลัง!”
บรรพชนเผ่าฉงฉีครุ่นคิดครู่เดียวก็คิดออก
ไฉนเลยจะคิดไม่ออก
สิ่งแวดล้อมในยุคโบราณดีกว่ายุคนี้มาก ทว่าเมื่อเทียบกับยุคสมัยที่เก่าแก่กว่านั้นแล้ว สิ่งแวดล้อมในฟ้าดินยังด้อยลงมาอีกหน่อย พลังรบระดับสูงจึงมีไม่มาก
โดยเฉพาะกำลังรบระดับจักรพรรดิหรือมหาจักรพรรดิ น้อยยิ่งกว่าน้อย
ซ้ำร้ายสิ่งมีชีวิตที่จุติมาจากอาณาจักรเทียนหยวนยังทรงพลังอย่างยิ่งยวด กำลังรบระดับสูงในอาณาจักรนี้ย่อมต้องต่อสู้อยู่แนวหน้าสุด เข้าห้ำหั่นกับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน
สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนแกร่งกล้าเป็นที่สุด จำนวนของกำลังรบซึ่งมีระดับเหนือกว่ามหาจักพรรดิสูงกว่าอาณาจักรแห่งนี้มาก กำลังรบระดับสูงในอาณาจักรของพวกเขามิใช่คู่ต่อสู้เลย
ด้วยเหตุนี้ ในศึกครานั้น กองกำลังระดับสูงในอาณาจักรของพวกเขาจึงตายลงเกือบทั้งหมด
ทว่าในตระกูลหานกลับมีกำลังรบระดับสูงเหลือรอดมาไม่น้อย…
เห็นได้ชัดว่ากำลังรบระดับสูงของตระกูลหานมิได้ต่อสู้เต็มกำลังในครานั้น กักเก็บความสามารถไว้
แต่มันไม่เคยได้ยินว่ามีกำลังรบระดับสูงของตระกูลหานเหลือรอดมาได้มากมายเพียงนี้
ดูท่ากำลังรบระดับสูงของตระกูลหานจะหัวใสเป็นอย่างมาก รู้ว่าทำเช่นนี้ต้องถูกประณาม จึงแกล้งตายในสงคราม ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วยังมีชีวิตอยู่และเลือกที่จะหลบซ่อนตัวไว้
“กล่าวเช่นนี้มิได้ เขาเรียกว่ารู้จักประเมินความผันแปรของสถานการณ์”
ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเอ่ย “ครานั้น ยอดนิกายทั้งหลายปรากฏตัว แสดงพลังแกร่งกล้าให้ได้เห็น พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องทุ่มชีวิตปานนั้น ถึงอย่างไรก็มียอดฝีมือจากยอดนิกายทั้งหลายก็เข้ารับแรงต้านอยู่แนวหน้า”
ประเมินความผันแปรของสถานการณ์!
สุดยอด!
ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานสมเป็นผู้มากด้วยความรู้ อธิบายเรื่องราวน่ารังเกียจเยี่ยงนี้ด้วยถ้อยคำมีระดับถึงเพียงนี้ได้!
บรรพชนเผ่าฉงฉีได้ยินคำกล่าวของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานแล้วนับถืออย่างยิ่ง อย่างที่เขาว่า นักเลงนั้นไม่น่ากลัว นักเลงมากวิชาต่างหากที่น่ากลัว!
“ตอนนี้พวกเราเองก็กำลังประเมินความผันแปรของสถานการณ์ อาณาจักรแห่งนี้ปราศจากความหวัง ด้วยเหตุนี้ พวกเราถึงต้องร่วมฝ่ายกับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน”
ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานกล่าว
ประเมินความผันแปรของสถานการณ์กลายเป็นคำพูดติดปากไปแล้วรึ!
บรรพชนเผ่าฉงฉีได้ฟังแล้วปากกระตุกไม่หยุด
“รีบไปเรียกคนมาเถิด!”
มันไม่อยากสนทนากับผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานอีกต่อไปแล้ว
“ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
ผู้อาวุโสสูงสุดเรียกร่างแปลงออกมาร่างหนึ่ง เปิดใช้แท่นค่ายกลเคลื่อนย้าย กลับไปยังตระกูลหานเพื่อเรียกผู้อาวุโสสูงสุดผู้อื่นเข้ามา
อีกด้าน พวกหลี่จิ่วเต้ากำลังเปรียบเทียบกันว่าผู้ใดล่าสัตว์ได้มากกว่า
“หลิงอินไม่เลว ถนัดทั้งบุ๋นทั้งบู๊”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม หลิงอินคือผู้ที่ล่าสัตว์มาได้มากที่สุดรองจากเขา
เขามิได้ประหลาดใจในเรื่องนี้นัก
เพราะเคยสอนหลิงอินยิงธนูจึงรู้ดีว่านางมีพรสวรรค์ด้านยิงธนูสูงส่ง ซ้ำยังสูงยิ่งกว่าเซี่ยเหยียนเสียอีก
หลิงอินล่าสัตว์มาได้คณานับเพียงนี้อยู่ในความคาดหมายของเขา
“ห่างชั้นกันมากเพียงนี้เชียวหรือ!”
เซี่ยเหยียนเบ้ปาก ท่าทางน้อยอกน้อยใจน่ารักเป็นที่สุด
นางรู้ตัวดีว่าสู้ท่านเซียนไม่ได้ และไม่เคยคิดเทียบชั้นท่านเซียน นางเพียงต้องการเหนือกว่าหลิงอิน
นางทราบว่าหลิงอินคือจ้าวสูดสุดแห่งโบราณกาลที่กลับชาติมาเกิด มิใช่ผู้ที่นางจะสามารถทัดเทียมได้
กระนั้นลึก ๆ ในใจยังคงมีความดื้อรั้นอยู่เล็กน้อย นั่นคือต้องการเหนือกว่าหลิงอินในการล่าสัตว์ครานี้
ทว่าหารู้ไม่ จ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลก็คือจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล หลิงอินล่าสัตว์ได้มากกว่านางถึงสิบกว่าตัว!
ความห่างชั้นเป็นที่ประจักษ์!
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว~”
ลั่วสุ่ยนอนหมอบอยู่ในรถลากอย่างอารมณ์ดี ในใจหัวเราะไม่หยุด
นางชอบเห็นเซี่ยเหยียนพ่ายแพ้เป็นที่สุด
ใครใช้ให้เซี่ยเหยียนมาหาท่านเซียนทุกวัน แย่งเวลาที่นางควรได้อยู่ตามลำพังกับท่านเซียนไป!
ถึงแม้หลิงอินจะมาบ่อยเช่นกัน ทว่าไม่ถี่เท่าเซี่ยเหยียน เพราะเซี่ยเหยียนนั้นมาบ่อยที่สุด
“ไม่เป็นไร หลังจากนี้ฝึกฝนเพิ่มอีกหน่อยก็ดีขึ้น”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ
“ไปเถิด เที่ยวจนทั่วภาคกลางแล้ว พวกเราก็ควรกลับกันได้แล้ว”
หลี่จิ่วเต้าก้าวขึ้นรถลาก เตรียมตัวกลับเมืองชิงซาน
…
ท่ามกลางทะเลสีดำน่าพิศวง
ที่แห่งนี้คือทะเลต้องห้าม
ณ ปลายทางของทะเลสีดำ มีเกาะยักษ์แห่งหนึ่งลอยอยู่
หน้าตำหนักแห่งหนึ่งบนเกาะมีสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างนอบน้อม มันยืนคอยอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว
เวลานั้น ประตูตำหนักเปิดออก
สิ่งมีชีวิตด้านนอกรีบก้าวเข้าไป คุกเข่าทำความเคารพสิ่งมีชีวิตด้านในอย่างนบนอบ
พลังปราณของสิ่งมีชีวิตด้านในน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด ร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ร่างกายท่อนล่างเป็นงู เสี้ยวพริบตาที่ตาคู่นั้นกะพริบ คล้ายกับว่ามีสุริยันจันทราและดวงดาวดารดาษพร่างพราวหมุนรอบ น่าหวาดหวั่นเหลือคณา
มันคือจ้าวสมุทรรุ่นปัจจุบันแห่งทะเลต้องห้าม
“สืบได้ความมาอย่างไรบ้าง”
มันปริปากถาม ได้ส่งสิ่งมีชีวิตตนนี้ไปสืบเสาะเหตุการณ์ที่สมาชิกองครักษ์อุบัติกาลตายไป
ใช่แล้ว
สมาชิกองครักษ์อุบัติกาลผู้นั้นก็คือจักรพรรดิบุปผาแห่งหุบเขาคงหลิง
ทุกสิ่งที่จักรพรรดิบุปผาได้ครอบครองในภายหลัง ล้วนเป็นการประทานจากทะเลต้องห้าม และราคาที่จักรพรรดิบุปผาต้องจ่ายคือกลายเป็นหนึ่งในองครักษ์อุบัติกาล
“เรียนท่านจ้าวสมุทร จากข่าวที่ข้าน้อยได้มา ผู้ลงมือสังหารองครักษ์อุบัติกาลมีนามว่าหลิงอิน ไม่ทราบภูมิหลังครอบครัว มีแนวโน้มว่ามาจากยอดนิกายเก่าแก่แห่งหนึ่ง”
สิ่งมีชีวิตบนพื้นตอบอย่างรวดเร็ว
ที่จริงมันสืบเรื่องนี้มาได้นานแล้ว ทว่าจ้าวสมุทรมิได้อยู่ในทะเลต้องห้าม เขาเพิ่งกลับมาถึงวันนี้
ปราศจากคำสั่งของจ้าวสมุทร มันมิกล้าผลีผลามกระทำการใด จึงเฝ้าอยู่หน้าตำหนักมาโดยตลอด รอคอยการกลับมาของจ้าวสมุทรแล้วออกคำสั่งด้วยตนเอง
“อยู่ต่อหน้าทะเลต้องห้ามของเรา ผู้ใดกล้ากล่าวอ้างว่าตนเก่าแก่ พวกเราอยู่มาตั้งแต่ก่อนยุคอลหม่านปรัมปราหายไปเสียอีก”
จ้าวสมุทรพึมพำเสียงเบากับตัวเองหนึ่งประโยค
คนในยุคนี้อาจไม่ทราบ ก่อนกาลเวลาอันแสนยาวนาน เคยมียุคสมัยหนึ่งหายไปเสียดื้อ ๆ ยุคสมัยนั้นก็คือยุคอลหม่านปรัมปรา
สิ่งมีชีวิตในยุคนี้ไม่ว่าอยู่มาเนิ่นนานเพียงใด เมื่อเท้าความกลับไปก็สิ้นสุดลงก่อนถึงยุคอลหม่านปรัมปรา
ทว่าทะเลต้องห้ามของพวกเขาแตกต่างออกไป พวกมันอยู่มาก่อนยุคอลหม่านปรัมปรา อีกทั้งมิได้หายไปกลางอากาศเหมือนกับยุคอลหม่านปรัมปรา พวกมันอยู่รอดมาได้
สถานการณ์ของแดนต้องห้ามแห่งอื่นเฉกเช่นพวกมัน มิได้หายไปพร้อมกับยุคอลหม่านปรัมปรา
เพราะอย่างนั้น ยามจ้าวสมุทรได้ยินคำกล่าวถึงยอดนิกายเก่าแก่ถึงได้เอ่ยวาจาเช่นนั้น
“เจ้าได้แหวกหญ้าให้งูตื่นหรือไม่”
จ้าวสมุทรถาม
“หามิได้”
สิ่งมีชีวิตบนพื้นตอบ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งท่านจ้าวสมุทร การสืบสวนทั้งหมดดำเนินการในที่ลับ”
เขาบอกเล่ารายละเอียดในสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากจ้าวสมุทรออกคำสั่งแก่เขา เขามุ่งหน้าไปยังหุบเขาคงหลิงทันที ทว่าเขามิได้เอิกเกริก ควบคุมผู้อาวุโสคนหนึ่งในหุบเขาคงหลิงได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย และได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากวิญญาณของผู้อาวุโสคนนั้น
“เจ้าทำได้ดีมาก”
จ้าวสมุทรพยักหน้า “ในเมื่อที่นั่นมีวิธีติดต่อสื่อสาร เจ้าจงไปสั่งให้หุบเขาคงหลิงติดต่อนาง แล้วพานางกลับมายังทะเลต้องห้าม จำไว้ อย่าได้ทำร้ายถึงนางชีวิตเด็ดขาด ข้ามีเรื่องต้องถามนาง”
หลังได้ยินคำบอกเล่าของสิ่งมีชีวิตบนพื้น มันก็สนอกสนใจในตัวหลิงอินขึ้นมา
ไม่ต้องใช้พลังก็สำแดงแสนยานุภาพของศรวิเศษและฉินวิเศษได้ บางทีสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของหลิงอินคงมิได้ธรรมดาเยี่ยงนั้น…
“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
สิ่งมีชีวิตบนพื้นรับคำสั่ง ก่อนจะออกเดินทางจากทะเลต้องห้าม ไปยังหุบเขาคงหลิง
“ทุกสิ่งทุกอย่างจักแสดงให้เห็นในยุคนี้หรือ?”
จ้าวสมุทรเอ่ยเสียงเบา
ช่วงเวลาที่มันไม่อยู่ในทะเลต้องห้าม แท้จริงแล้วได้ไปรวมตัวกับประมุขแห่งแดนต้องห้ามอื่น ๆ
จากการคาดการณ์ของพวกมัน เป็นไปได้ว่ายุคนี้จักเป็นยุคโกลาหลที่สุด ความลับทั้งปวงจักถูกเปิดเผยในยุคนี้!