บนโลกที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์เติบโตและพัฒนาเป็นอย่างมาก ช่วงเวลาในการเตรียมถ่ายทำภาพยนตร์ซึ่งถูกกำหนดไว้นั้นไม่ได้ยาวนานแต่อย่างใด แน่นอนว่า หากจะบอกว่าดำเนินการสำเร็จในเวลาเพียงไม่กี่วันก็คงเกินจริงไปหน่อย
เพราะฉะนั้นหลินเยวียนจึงใช้เวลาช่วงนี้ รับลูกศิษย์คนที่สอง
นี่คือภารกิจรับลูกศิษย์นักประพันธ์เพลงของระบบ
ลูกศิษย์คนที่สองมาจากชั้นเก้า แผนกประพันธ์เพลง
นี่เป็นแคนดิเดตจากในรายชื่อนักประพันธ์เพลงหน้าใหม่ที่มีศักยภาพซึ่งกู้ตงส่งให้หลินเยวียน มีชื่อว่าเฟิงซั่ว
เหตุผลที่เลือกเฟิงซั่วนั้นแสนเรียบง่าย…
เพราะนักประพันธ์เพลงรุ่นเยาว์คนนี้มีศักยภาพสูงมากน่ะสิ!
คนคนนี้เพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัท ก็เขียนเพลงที่ทำยอดดาวน์โหลดได้ไม่เลวออกมาถึงสองเพลงแล้ว
ถึงขั้นที่มีคนแอบเรียกเฟิงซั่วว่า ‘เซี่ยนอวี๋น้อย’ ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีศักยภาพสูงแค่ไหน
ต้องเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ตอนที่หลินเยวียนรับเซวียเหลียงเป็นลูกศิษย์ ค่าความสามารถด้านการประพันธ์เพลงของเซวียเหลียงเพิ่งสี่ร้อยต้นๆ นับได้เพียงว่าพอมีพื้นฐาน
แต่ค่าความสามารถของชั่วเฟิงกลับสูงถึง 553 เชียวนะ!
เมื่อค่าความสามารถด้านการประพันธ์เพลงแตะถึงหกร้อย ก็เท่ากับว่าแตะถึงมาตรฐานนักประพันธ์เพลงมือทองแล้ว…
พื้นฐานดีขนาดนี้ก็สอนง่ายใช่ไหมล่ะ
มิน่าล่ะบรรดาผู้อาวุโสในวงการศิลปะถึงชอบหาต้นกล้าพันธุ์ดีมาเป็นลูกศิษย์
เพราะต้นกล้าพันธุ์ดีสอนง่ายไงล่ะ!
หลินเยวียนต้องการใช้ประโยชน์จากตัวตนของตนในการเจาะช่องโหว่ของระบบ หานักประพันธ์เพลงหน้าใหม่ที่มีพรสวรรค์สูงสุดมา จากนั้นก็ผลิตลูกศิษย์ระดับมือทองคนที่สองออกมาด้วยความเร็วสูงสุด
เช่นนี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทำภารกิจได้มาก
แต่ถึงอย่างนั้น ข้อเสียของต้นกล้าชั้นดีก็คือมีความทะนงตน
แน่นอนว่าเฟิงซั่วไม่กล้ามีท่าทางดื้อรั้นต่อหน้าหลินเยวียนหรอก
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่หลินเยวียนเป็นหัวหน้าของชั้นเก้า ลำพังชื่อเซี่ยนอวี๋ก็มากพอที่จะข่มให้เจ้าหนูนักประพันธ์เพลงเปี่ยมพรสวรรค์อย่างเฟิงซั่วหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว
แต่ว่า…
เมื่อเผชิญหน้ากับหลินเยวียน ภายนอกเฟิงซั่วแสดงท่าทางสุภาพนอบน้อม ทว่าในใจคิดอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
กล่าวโดยสรุป
สำหรับเรื่องที่หลินเยวียนต้องการรับตนเป็นศิษย์ เฟิงซั่วดีใจมาก!
อย่าได้เข้าใจผิดไป
เฟิงซั่วไม่ได้ดีใจเพราะจะได้รับการสอนจากเซี่ยนอวี๋ เขาเป็นนักประพันธ์เพลงมากพรสวรรค์ที่หยิ่งทะนง และไม่คิดว่าเซี่ยนอวี๋จะสอนอะไรตนได้
สิ่งที่ทำให้เขาดีใจก็คือ…
ตนได้เป็นลูกศิษย์ของเซี่ยนอวี๋ หลังจากนี้เขาจะได้เป็นบุคลากรอันดับหนึ่งของแผนกประพันธ์เพลงชั้นเก้าน่ะสิ!
เมื่อประกาศตัวออกไปว่าฉันคือลูกศิษย์ของตัวแทนหลิน ใครจะไม่ยอมเขาบ้างล่ะ
นี่เป็นจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดที่เขาอยากเป็นลูกศิษย์คนที่สองของหลินเยวียน
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เฟิงซั่วไม่คิดไม่ฝันเลยก็คือ…
ผ่านไปไม่นาน ก่อนที่เขาจะเกิดความเคารพอาจารย์ของตนประดุจเทพเจ้า!
วันนั้นเป็นวันที่ 1 ตุลาคมพอดี
บนโลกนี้ไม่มีการเฉลิมฉลองวันชาติ วันที่ 1 ตุลาคมเป็นเพียงวันแรกของเดือนธรรมดา
เฟิงซั่วเดินเข้าไปในห้องทำงานของหลินเยวียน เอ่ยเรียกอาจารย์อย่างเกรงอกเกรงใจ
“ครับ เริ่มเรียนแล้วแล้วกันนะครับ นี่เป็นคาบแรกที่ผมจะสอน…”
หลินเยวียนเอ่ย
ขณะที่พูดอยู่นั้น หลินเยวียนก็เปิดใช้งานการ์ดตัวละคร ‘หยางจงหมิง’ ห้วงมหรรณพแห่งความรู้ด้านการประพันธ์เพลงพรั่งพรูเข้าสู่สมองของหลินเยวียนในชั่วพริบตา
ขณะเดียวกัน เอฟเฟ็กต์อาจารย์ก็เข้าปกคลุมเฟิงซั่ว
ตอนนี้ประสิทธิภาพของเอฟเฟ็กต์อาจารย์ของหลินเยวียนนั้นแข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาสอนเซวียเหลียงเสียอีก!
หลังจากนั้น เฟิงซั่วก็เห็นว่าอาจารย์ฟ้าประทานที่ดูเหมือนจะสอนอะไรไม่ได้ ก็คล้ายกับว่าจะเปลี่ยนไป…
จู่ๆ เขาก็รู้สึกตกประหม่าขึ้นมา
เขาถึงขั้นไม่กล้าเงยหน้ามองหลินเยวียนตรงๆ เช่นเดียวกับตอนที่เพิ่งเดินเข้าห้องมา
ประหนึ่งว่าการเงยหน้ามองเขาตรงๆ จะเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง
นับแต่นี้
เฟิงซั่วซึ่งพอมีหน้ามีตาในวงการประพันธ์เพลงอยู่แล้ว เมื่อต้องเอ่ยถึงอาจารย์ในตำนานท่านนี้ กลับไม่สามารถสรรหาคำมาบรรยายความรู้สึกของตนได้
เขารู้เพียงว่า ในวันนั้น เขาได้ผ่านคาบเรียนประพันธ์เพลงซึ่งให้ความรู้สึกประหนึ่งพิธีศีลจุ่มก็มิปาน
ระหว่างการบรรยาย
องค์ความรู้อันลึกซึ้งด้านการประพันธ์เพลงของหลินเยวียนทำให้เฟิงซั่วตะลึงงันสุดขีด!
ทุกประโยคง่ายๆ ที่อาจารย์บรรยายในชั้นเรียนนั้นให้ประโยชน์แก่เขามาก ราวกับรู้แจ้งในสัจธรรมอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากการร่ำเรียนในคาบแรกสิ้นสุดลง เฟิงซั่วก็เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการประพันธ์เพลง!
นั่นทำให้เฟิงซั่วรู้สึกมึนงงไปหมด ยามที่เดินออกจากห้องทำงานของหลินเยวียน
เขารู้สึกเพียงว่าสมองของเขาส่งเสียงดังหวึ่งๆๆ
จนกระทั่งข้างหูมีเสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้น “ศิษย์น้อง”
เฟิงซั่วถึงได้สติกลับมา ราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน “ผะ…ผู้อาวุโสเซวีย?”
เซวียเหลียงมีสถานะสูงมากในแผนกประพันธ์เพลงชั้นเก้า กอปรกับความสัมพันธ์ฉันอาจารย์และลูกศิษย์ระหว่างเขากับหลินเยวียน ทุกคนล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ควรเรียกฉันว่าอะไร”
เซวียเหลียงยิ้มบางพลางมองไปทางศิษย์น้องซึ่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
มีเพียงเขาที่รู้ว่าวันนี้เฟิงซั่วประสบพบเจอกับอะไรมาบ้าง เพราะเซวียเหลียงก็เคยผ่านประสบการณ์เดียวกันมาก่อน ปฏิกิริยาของเขาไม่ได้ดีไปกว่าศิษย์น้องเลย ดังนั้นเขาจึงไม่กล่าวโทษที่เฟิงซั่วเสียอาการเช่นนี้
“ศิษย์พี่!”
เฟิงซั่วเปลี่ยนคำเรียก เขาซึ่งเพิ่งได้สติกลับมา สมองของเขาตื่นตัวขึ้นมาแล้ว เกิดความปรารถนาขึ้นลึกๆ ในใจ แทบอยากกลับเข้าไปขอให้อาจารย์สอนเขาต่ออีกสักหน่อย
“ต่อไปก็ตั้งใจเรียนกับอาจารย์ล่ะ”
เซวียเหลียงมีมาดของศิษย์พี่ใหญ่ มือพลางตบไหล่ของเฟิงซั่ว
“รักษาโอกาสแบบนี้ไว้ให้ดี พอนายจบหลักสูตรแล้ว อาจารย์จะไม่มานั่งสอนนายละเอียดยิบแบบนี้อีก อย่างฉัน อาจารย์ก็แทบจะไม่ได้สอนฉันแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เซวียเหลียงก็รู้สึกเสียดาย และรู้สึกอิจฉารุ่นน้องคนนี้ขึ้นมา
เพราะเขาอยากเรียนกับอาจารย์อีก อยากพัฒนาฝีมือมากกว่านี้อีก
แต่อาจารย์คล้ายกับว่าจะมีความคิดของตนเอง หลังจากสอนตนจนจบหลักสูตร ก็ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเขาน้อยมาก
ดังนั้นจึงพยายามทำผลงานอย่างสุดความสามารถ เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากอาจารย์ เป้าหมายของเขาคือสักวันหนึ่งจะต้องทำให้อาจารย์ภาคภูมิใจ!
“ขอบคุณครับศิษย์พี่!”
เฟิงซั่วพยักหน้ารัว
ถ้าบอกว่าแรกเริ่มเดิมทีเมื่อรู้ว่าหลินเยวียนอาจรับตนเป็นศิษย์ เฟิงซั่วคิดเพียงว่าหลังจากนี้ตนสามารถเกาะแข้งเกาะขาตัวแทนหลินได้ เช่นนั้นในเวลานี้เฟิงซั่วมองว่าอาจารย์เป็นแสงสว่างและทิศทางในหน้าที่การงานและชีวิตของเขาแล้ว…
นี่เป็นความยกย่องชื่นชมซึ่งเกิดขึ้นในใจ!
ตอนนี้ ในใจของเฟิงซั่ว อาจารย์คือเทพแห่งการประพันธ์เพลง!
อาจารย์เล็งเห็นความสำคัญของตน นับเป็นโชคหล่นทับ ที่ได้รับความโปรดปรานจากเทพเจ้าแห่งการประพันธ์เพลง!
ทันใดนั้น
เฟิงซั่วก็หันไปโค้งคำนับให้ห้องทำงานของหลินเยวียน
หลินเยวียนไม่เห็นภาพเหตุการณ์นี้
ทว่าเฟิงซั่วอยากทำแบบนี้
เขารู้สึกละอายกับความเย่อหยิ่งทะนงตนของตนเอง
เพราะก่อนหน้านี้เขายังวาดฝันไว้ว่า จะเป็นลูกศิษย์ของหลินเยวียนก่อน
รอให้ในอนาคตตนก้าวหน้ากว่านี้ จะต้องเป็นนักประพันธ์เพลงระดับเดียวกับหลินเยวียนได้อย่างแน่นอน!
สีครามสกัดจากต้นคราม[1]!
คลื่นลูกก้อนแรกแห้งเหือดบนหาดทราย[2]!
แต่หลังจากเรียนกับหลินเยวียนแล้ว เฟิงซั่วถึงได้รู้ว่า…
ความสามารถแค่นี้ของตน ยังไม่พอให้ทำหน้าที่เป็นเด็กหิ้วกระเป๋าให้อาจารย์เลย!
บางทีชั่วชีวิตนี้ เขาอาจแตะถึงระดับเดียวกับอาจารย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ!
เซวียเหลียงเห็นท่าทางของเฟิงซั่ว เมื่อปะติดปะต่อกับท่าทางเย่อหยิ่งของเฟิงซั่วในแผนกประพันธ์เพลงแล้ว ก็คล้ายกับว่าจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาก
เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “คำพูดอาจฟังไม่เข้าหูสักเท่าไหร่นะ แต่ในเมื่อนายเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ หลังจากนี้ก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองเก่งจนเหนือกว่าคนอื่น อย่าทำให้อาจารย์เสื่อมเสีย ไม่งั้นศิษย์พี่ไม่ยกโทษให้นายแน่”
“ศิษย์พี่วางใจเถอะครับ”
เฟิงซั่วรับรองเป็นมั่นเหมาะ “ผมยังอยากเรียนกับอาจารย์ต่อ ไม่มีทางทำลายชื่อเสียงของอาจารย์หรอก ได้มาเจออาจารย์แล้ว ผมก็ไม่กล้าคิดว่าตัวเองเหนือกว่าใครด้วยครับ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฟิงซั่วก็รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเล็กน้อย
ในบริษัทถึงกับมีคนพูดว่า อาจารย์เป็นแค่ ‘พ่อเพลงตัวน้อย’?
คนพวกนี้ไม่เคยเรียนกับอาจารย์ ถึงได้ไม่รู้ว่าคำว่า ‘ตัวน้อย’ อะไรนี่ไม่ควรมีอยู่ด้วยซ้ำไป!
จากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประพันธ์เพลงของเฟิงซั่วบอกเขาว่า อาจารย์ของตนคนนี้ เป็นพ่อเพลงอย่างแท้จริง!
บนโลกใบนี้ ไม่มีใครเก่งกาจเรื่องการประพันธ์เพลงไปมากกว่าอาจารย์อีกแล้ว!
…………………………………………………
[1] สีครามสกัดจากต้นคราม มาจากภาษิตว่า ‘สีครามสกัดจากต้นคราม ทว่าสีเข้มกว่าต้นคราม’ เปรียบเปรยว่าศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ที่สอน
[2] คลื่นลูกก้อนแรกแห้งเหือดบนหาดทราย เปรียบเปรยว่า คนรุ่นใหม่เก่งกว่าคนรุ่นก่อนหน้า