ตู๋ซูเฟิงไม่สนใจเขา แล้วโบกมือเพียงครั้งเดียวสั่งให้คนของตัวเองพาตัวเขาออกไป
ตอนที่เขาหันกลับมา เขาก็สบเข้ากับดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นริมฝีปากบางของเขาก็พลันปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้น ”ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ตำหนิที่ข้าทดสอบความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ของเจ้า”
“และในเวลาเดียวกัน ท่านก็จะได้หาตัวสายลับไปพร้อมๆ กันด้วย” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ตู๋ซูเฟิงทำเพียงยิ้มให้นางเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไร
ในเวลานั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนั้นเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นที่สุด ช่างเป็นผู้ชายที่เยี่ยมยอดจริงๆ!
สมกับที่เขาเป็นลุงขององค์ชาย
ทุกคนในตระกูลนี้ล้วนแต่รับมือได้ยากจริงๆ
ไม่เว้นแม้แต่องค์ชายเจ็ดผู้แสนน่ารักคนนั้น
ตู๋ซูเฟิงย่อมรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ ”ข้านึกว่าหลังจากเจ้าอยู่กับอาเจวี๋ยมานานถึงเพียงนี้ แล้วเจ้าจะปรับตัวกับเรื่องนี้ได้แล้วเสียอีก”
“ปรับตัวกับอะไร การถูกหลอกหรือ” สุดท้ายเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ้มไปพร้อมกับเขา
ตู๋ซูเฟิงเหลือบมองกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงทำการแก้ไขข้อมูลที่อยู่บนนั้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า ”ต้องขอบอกว่าผลงานของเจ้านั้นเหนือกว่าที่ข้าคาดคิดเอาไว้เสียอีก ใช่ เจ้าพูดถูกเรื่องที่ข้ามีจุดประสงค์ในการล่อหนอนบ่อนไส้ออกมาโดยใช้ความช่วยเหลือจากเจ้า แต่อันที่จริงตั้งแต่วินาทีที่พวกเจ้าเริ่มนั่งลง ข้าก็ตั้งใจว่าจะเปิดเผยตัวออกมาแล้ว แต่ดันเห็นเจ้าสลับถ้วยชาในเวลาต่อมาเข้าเสียก่อน… ในระยะเวลาสั้นๆ นั้น ทั้งที่เจ้าสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่เจ้ากลับยังคงสามารถรักษาความสงบเยือกเย็นได้จนถึงที่สุด ยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการพลิกเกมของเจ้าด้วย ตัวเจ้าในเวลานี้มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยพิฆาตวิญญาณแล้ว”
ระหว่างที่พูดเช่นนั้น ตู๋ซูเฟิงก็ส่งตั๋วเงินในมือให้กับเฮ่อเหลียนเวยวย
แต่คราวนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ปรารถนาเงินรางวัล แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นางกลับทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองตู๋ซูเฟิง น้ำเสียงของนางใสราวกับแก้ว ”ตัวข้าในอดีตนั้นเคยใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ส่วนบรรดาคนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ข้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยพิฆาตวิญญาณนั้น พวกเขาเองก็คงมีเหตุผลของตัวเองเหมือนกัน แต่ตอนนี้ในเมื่อข้าได้เป็นคนในหน่วยแล้ว ข้าเดาว่าข้าคงจะมีสิทธิ์พูดเช่นนี้เหมือนกัน ข้าต้องการความช่วยเหลือจากกองทัพนี้”
“เจ้ากำลังขอให้ข้าช่วยอยู่หรือ” ตู๋ซูเฟิงหัวเราะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่ายหน้า ดวงตาสุกใสของนางนั้นกระจ่างชัดราวกับหยก มันเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ”ข้ากำลังใช้สิทธิ์ในฐานะทายาทของตระกูลเฮ่อเหลียนอยู่ต่างหาก”
นางอยู่ตรงนั้น ยืนด้วยท่าทางหยิ่งผยอง ตู๋ซูเฟิงมองเด็กสาววัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าเขาราวกับกำลังมองนายท่านในสมัยที่เขายังอยู่ในตำแหน่งคอยออกคำสั่งและต่อกรกับศัตรูบนสนามรบ เขาควบคุมทุกอย่างได้โดยไม่ต้องใช้วิธีการอันบุ่มบ่ามแต่อย่างใด
เขาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งว่า ”ใช้สิทธิ์ในการเป็นทายาทของตระกูลเฮ่อเหลียนหรือ พูดได้ดี” เขาเงียบไปทันทีที่พูดจบ ”จากนี้จะมีคนนำทางเจ้าไปยังสถานที่นั้น ข้าเป็นเพียงแค่คนที่ดูแลกระบวนการสืบสวนของหน่วยพิฆาตวิญญาณเท่านั้น ผู้ที่รับผิดชอบด้านการวางกองกำลังนั้นเป็นอีกคนหนึ่ง”
“’อีกคนหนึ่ง’ ที่ท่านว่าคือใครกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ท่ามกลางรอยยิ้มอันคลุมเครือนั้น ตู๋ซูเฟิงก็ให้คำตอบกับนางอย่างรวดเร็วว่า ”ตระกูลเฮย”
ดังนั้น…
จึงนำมาสู่ภาพนี้
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามาถึงบริเวณโถงกลางของตระกูลเฮย ภาพชองคุณชายรองเฮยที่กำลังง่วนอยู่กับการปีนกำแพงก็ปรากฏเข้ามาในครรลองสายตาของนาง
ดวงตาของทั้งสองสบกัน แต่เพียงแค่นั้นก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้ข้ารับใช้ที่เดินตามอยู่ข้างหลังเข้าใจนางผิด!
“นายน้อยขอรับ ท่านเมินเฉยต่อคำพูดของนายท่าน แล้วแอบนัดพบกับนางที่นี่หรือขอรับ หากท่านคบหาดูใจกับผู้หญิงคนอื่นทั่วไปก็คงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้คุณหนูเฮ่อเหลียนเป็นพระชายาสามแล้วนะขอรับ ท่าน… ท่านทำความผิดร้ายแรงลงไปเสียแล้ว ความผิดนี้จะทำให้ท่านโดนประหารชีวิตนะขอรับ!”
เฮยเจ๋อขมวดคิ้ว ”ฟังข้าก่อน…”
“นายน้อย!” ข้ารับใช้ขัดจังหวะเขาในทันใด ”ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอกขอรับ จากนี้ไปข้าจะไม่เชื่อท่านแล้ว ข้าจะไปแจ้งให้นายท่านทราบเดี๋ยวนี้!”
ทันทีที่พูดจบ ข้ารับใช้คนนั้นก็วิ่งออกไป เขาหายตัวไปก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งตัวเสียอีก
เฮยเจ๋อ : …นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เฮยเจ๋อกระโดดลงจากกำแพงอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจโซ่เหล็กที่พันธนาการมือของตัวเองเอาไว้แต่อย่างใด บรรยากาศอันแข็งแกร่งแผ่ออกมาจากตัวเขา เสื้อคลุมสำหรับใส่นอนสีดำคือสิ่งเดียวที่เขาสวมอยู่ในเวลานั้น คอเสื้อของเขาหลุดลุ่ย และมุมปากที่โค้งขึ้นเล็กน้อยนั่นก็ช่วยเติมเต็มโครงหน้าหล่อเหลานั้นได้อย่างพอดิบพอดี ท่าทางตอนเขายิ้มทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาค่อนข้างอ่อนโยนทีเดียว พวกมันช่วยเสริมเสน่ห์ที่มีอยู่แล้วของเขาให้มากยิ่งขึ้น หากหญิงใดได้สบตากับชายคนนี้ และได้เห็นรอยยิ้มอันน่าดึงดูดนี้ละก็ พวกนางคงจะไม่สามารถหนีจากเสน่ห์นี้ได้
ในตอนนั้นเองเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ”อันที่จริงข้ามาที่นี่เพื่อมาหาผู้อาวุโสเฮย”
“แล้วทำไมเมื่อครู่นี้เจ้าไม่พูดแบบนี้เล่า” เฮยเจ๋อขยับศีรษะเข้าไปหานาง ”ช่วยข้าเอาปัญหาเฮงซวยที่อยู่บนหัวข้าออกไปก่อนดีไหม”
อันที่จริงเฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใยได้ แต่นางก็ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นเท่านั้น
แต่แล้วนางก็ชะงักไปเมื่อเห็นผู้อาวุโสเฮยในชุดอันหรูหรากำลังเดินเข้ามาทางพวกนาง ใบหน้าของเขาดำทะมึน มือนั้นถือไม้เท้าที่ประดับด้วยศีรษะของมังกรเอาไว้ ดวงตาของเขาปรากฏความหงุดหงิดออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้นเขาก็ยังคงรักษาท่าทางสุภาพของตนเอาไว้ได้ ”ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่หรือพระชายาสาม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าผู้อาวุโสเฮยไม่ชอบนาง แต่นางก็ยังคงเผยรอยยิ้มออกมา ”ข้าก็แค่มาพบปะเพื่อนเก่าเท่านั้น”
“มาพบปะเพื่อนเก่าหรือ” ผู้อาวุโสเฮยชำเลืองมองดวงจันทร์ที่สุกสว่างอยู่บนท้องฟ้า ”พระชายาสามมาที่นี่เพื่อพบกับหลานชายของข้าในเวลาดึกดื่นถึงเพียงนี้ องค์ชายสามทรงทราบเรื่องนี้หรือเปล่า”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำเตือนสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่านางแต่งงานแล้ว และการกระทำของนางนั้นผิดจากคำว่าถูกกาลเทศะไปมากโข
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”เขาไม่รู้ แต่ข้าไม่ได้มาที่นี่เพราะเฮยเจ๋อ อันที่จริงแล้วข้ามาหาท่านต่างหาก ผู้อาวุโสเฮย”
“มาหาข้าหรือ” ผู้อาวุโสเฮยตวัดสายตามองข้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ ราวกับกำลังตำหนิที่อีกฝ่ายไม่บอกความจริงกับเขา จากนั้นจึงหันมามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า ”พ่อบ้านจาง ไปเตรียมห้อง พระชายาสามกับข้ามีเรื่องต้องคุยกันที่ห้องหนังสือ”
“ขอรับนายท่าน” พ่อบ้านจางโค้งรับคำสั่ง
เฮยเจ๋ออยากจะตามเขาไป
แต่สายตาของผู้อาวุโสเฮยกลับตรึงเขาเอาไว้กับที่ ”เพิ่มโซ่เหล็กอีกเส้นให้นายน้อย”
“เพิ่มอีกเส้นหรือ” ใบหน้าหล่อเหลาของเฮยเจอดำทะมึนทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งยิ้มอย่างไม่ไยดีให้กับเขาก่อนจะเดินตามผู้อาวุโสเฮยไปยังห้องหนังสือ
สมาชิกทุกคนของตระกูลเฮยประพฤติตัวด้วยความสง่างาม มารยาทอันชวนให้ตกตะลึงนี้ล้วนแต่เป็นจุดเด่นของตระกูลอันยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงทั้งสิ้น พวกเขาปฏิบัติกับแขกทุกคนอย่างดีเสมอไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร
ผู้อาวุโสเฮยนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ พร้อมกับเป่าควันบนถ้วยชาของตนที่ข้ารับใช้ส่งให้ พร้อมเอ่ยว่า ”เจ้ามาหาข้าดึกดื่นเอาป่านนี้ อีกทั้งคนที่มากับเจ้าก็ล้วนแต่เป็นคนของตู๋ซูเฟิง ข้าขอเดาว่าในเวลานี้ เจ้าคงกลายเป็นหนึ่งในหน่วยพิฆาตวิญญาณไปแล้วสิท่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นางยกถ้วยชาในมือขึ้น แต่ยังไม่ได้จิบแม้แต่อึกเดียว กลับทำเพียงแค่ยิ้มอยู่เช่นนั้น
ในดวงตาของผู้อาวุโสเฮยปรากฏแววตาชื่นชมออกมาทันทีที่เห็นความเยือกเย็นของนาง ”ร้านเวยเจ๋อที่เจ้ากับเจ๋อเอ๋อร์เป็นเจ้าของร่วมกันนั้นก็ไม่เลวทีเดียว”
“สาขาทางตอนเหนือกำลังไปได้ดี แต่ก็ยังมีที่ต้องพัฒนาอีกมาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดจาโอ้อวดหรือถ่อมตัวจนเกินไป ”ผู้อาวุโสเฮยเองก็ทำธุรกิจเช่นกัน พวกข้าคงต้องขอคำแนะนำจากท่านแล้ว เพราะพวกเรากำลังจะเปิดตลาดทางตอนใต้ในเร็วๆ นี้”
ผู้อาวุโสเฮยโบกมือ ”เวลานี้โลกเป็นของพวกเจ้าคนหนุ่มสาว ท่านตาของเจ้ากับข้าก็เคยไร้ซึ่งความหวาดกลัวเช่นเจ้ากับเจ๋อเอ๋อร์ เคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้กับศัตรูมาด้วยกัน”
“ดังนั้น เฮยเจ๋อกับข้าจึงเป็นได้เพียงแค่พี่น้อง หาใช่คนรักกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดขึ้นทันทีที่เขาพูดจบ
ผู้อาวุโสเฮยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน ”ไม่แปลกใจเลยที่ท่านตาของเจ้าชมเจ้ามาตั้งแต่เล็กๆ ว่าเจ้าเป็นเด็กฉลาด ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ!”
“ข้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเย็นชา แต่ในร่างของนางกลับมีอารมณ์อันหลากหลายก่อตัวขึ้นราวกับพายุ ”ถ้าข้าฉลาดจริง ท่านแม่ของข้าก็คงไม่ตาย และข้าก็คงไม่ถูกไล่ออกจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ แม้แต่คนที่อยู่ในตระกูลของข้าเองก็ยังไม่ยอมรับในตัวข้าเลยด้วยซ้ำ”