ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!
ทว่า เรื่องที่เกิดขึ้น อยู่ในความคาดหมายของมั่วเชียนเสวี่ยตั้งแต่แรกแล้ว!
กลอนโบราณร่ายยาว มีหรือจะไม่ทำให้ทุกคนตกตะลึง!
ล้วนเข้าใจว่ากลอนที่มั่วเชียนเสวี่ยแต่งในงานเลี้ยงดอกท้อเป็นของปลอม เข้าใจว่าภาพที่นางวาดเป็นของปลอมไม่ใช่หรือ เช่นนั้นตอนนี้นางจะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น นางทำหรือไม่ได้ทำ!
วันข้างหน้า พวกคนไม่รู้ความจะได้ไม่ต้องวิ่งแจ้นมาหาเรื่องนางอยู่ร่ำไป
ยอมรับสายตาที่แตกต่างของผู้คนรอบๆ อย่างตรงไปตรงมา มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มบางๆ ทว่ากลับกลายเป็นภาพที่งดงาม
“ยามหนึ่งบุปผาบานสะพรั่งหาใช่ฤดูวสันต์ มีเพียงร้อยผกาผลิบานจึงจะย่างสู่วสันต์…”
ซูชียืนอยู่ไกลๆ มาโดยตลอด เขานั่งพิงต้นไม้ราวกับไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น เกียจคร้านยิ่งนัก
เขามักจะอ่านความคิดของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ออก ขณะที่เขาเพิ่งเข้าใจด้านหนึ่งของนาง นางก็แสดงอีกด้านหนึ่งขึ้นมา สตรีเช่นนี้ราวกับตำราที่น่าดึงดูด พลิกอ่านหน้านี้ สนุกยิ่งนัก!
ทว่าหน้าต่อไปกลับสนุกยิ่งกว่าหน้าที่เพิ่งอ่านจบ!
นางไม่เคยแสดงความขุ่นเคืองต่อผู้คนที่ใช้วาจาโจมตีนาง! มักจะโต้กลับไปอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็ทำเรื่องที่น่าสนุกยิ่งขึ้น ทำให้คนคนนั้นตบปากตนเอง!
เมื่อครู่ตอนรับมือกับคนตระกูลหนิงเป็นเช่นนี้ ตอนนี้รับมือกับคนตระกูลเซี่ย ก็เป็นเช่นนี้!
“เชียนเสวี่ย…เชียนเสวี่ย…” ซูชีพึมพำชื่อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยกมุมปากขึ้นยิ้ม
เจ้าที่เป็นเช่นนี้ ช่างน่าดึงดูดเหลือเกิน! แล้วเจ้าที่เป็นเช่นนี้ จะให้ข้าปล่อยมือได้อย่างไร
เมื่อครู่ ภาพตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยจับคู่ให้เฟิงอวี้เฉินและหลันรั่วเมิ่ง เขาเห็นทุกอย่าง
คิดถึงหลายต่อหลายครั้ง มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะจับคู่เขากับท่านหญิงซูซู เขาก็โมโหขึ้นมาทันที
ช่างปวดใจยิ่งนัก!
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ บอกกับตนเอง สตรีคนนี้ เสพติดการเป็นแม่สื่อแล้ว เขาจะไม่เปิดโอกาสให้นางจับคู่เขากับท่านหญิงซูซูอีก
หลังจากจบงานเลี้ยงดอกท้อในครั้งนั้น มั่วเชียนเสวี่ยเลื่องชื่ออีกครา!
หากตอนเลื่องชื่อในครั้งแรกมีคนเข้าใจว่าเป็นการคดโกง เช่นนั้นครั้งนี้ ชื่อเสียงของมั่วเชียนเสวี่ย จึงจะนับว่าโด่งดังแล้วจริงๆ!
คนที่มาร่วมงานเลี้ยงชมดอกไม้ในครั้งนี้ เต็มไปด้วยเหล่าปัญญาชนยากไร้ คนเหล่านี้คือแถวหน้าของผู้มากความสามารถและผู้มีความรู้!
สำหรับการที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดเป็นกลอน ภายในใจของพวกเขาล้วนเคารพนับถือยิ่งนัก แล้วจะมีความคิดนินทาว่าร้ายเหล่านั้นได้อย่างไร
คุณหนูรองเซี่ยอยู่บนเวทีตามลำพัง หลังจากพูดอีกสองสามประโยค พวกเขาคนที่เข้าข้างตระกูลเซี่ยต่างลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
สิ่งที่คุณหนูรองเซี่ยได้รับ มีเพียงแววตาเยือกเย็น คมเฉียบ
ทั้งยังมีสายตาดูถูก!
ถือว่าคุณหนูรองเซี่ยไม่ได้โง่บรม มั่วเชียนเสวี่ยกวาดตามองไปที่นางด้วยความรำคาญ เสียงของนางยิ่งอยู่ยิ่งเบาขึ้น สุดท้ายเงียบแล้ววิ่งแจ้นออกไป
ชั่วขณะหนึ่งบรรดาคุณชายและคุณหนูต่างยืนล้อมมั่วเชียนเสวี่ย ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่พวกนางนับถือในความสามารถของมั่วเชียนเสวี่ยยิ่งนัก!
แทบจะทุกคนล้วนถามเคล็ดวิธีในการแต่งกลอนจากมั่วเชียนเสวี่ย
มากไปกว่านั้น บางคนถึงขั้นนำกลอนดอกท้อที่แต่งในงานดอกท้อเมื่อคราวก่อน มาถามนางถึงการเรียงร้อยถ้อยคำและบรรยากาศของกลอน
คนเหล่านี้ ท่าทีของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความเคารพ
มั่วเชียนเสวี่ยคนนี้ ทนการที่ผู้อื่นใช้ใจแลกใจกับนางไม่ได้ที่สุด
นางจึงทำได้เพียง ตอบคำถาม
ตอนกลางเที่ยงวัน ในที่สุดพวกคนที่ลุมล้อมมั่วเชียนเสวี่ยก็แยกย้ายกันจนหมด ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยในเวลานี้หมดเรี่ยวแรงแล้ว…
เรื่องลอกเลียนแบบเช่นนี้ ต้องมีความสามารถระดับหนึ่ง
หากถูกคนจับได้ หรือว่าความแตก เช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสีย! โชคดีที่นางเป็นนักศึกษาเอกศิลปศาสตร์จีน
แม้จะเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย แต่มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกคุ้มค่า
แม้ตอนนี้นางจะเหน็ดเหนื่อย ทว่านางไม่เสียใจ
ขอเพียงเป็นคนที่ชื่นชมการประพันธ์ เช่นนั้นย่อมเป็นสุภาพบุรุษและย่อมเป็นสุภาพสตรีที่แท้จริง
คนเหล่านี้ ล้วนเป็นคนที่คบค้าได้ วันข้างหน้า นางต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหลัง อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในตระกูลหนิง มีสหายมากย่อมดีกว่ามีศัตรูมาก
หลันรั่วเมิ่งมีงานต้องดูแล นางไปทำงานของตนเองนานแล้ว มีเพียงซูซูที่อยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อท่านหญิงซูซูเห็นคนที่อยู่รอบตัวมั่วเชียนเสวี่ยในที่สุดก็หายไป นางจึงเดินเข้าไปหามั่วเชียนเสวี่ย มองดูนางด้วยความปวดใจเล็กน้อย
“เชียนเสวี่ย ไปกันเถอะ เที่ยงแล้ว พวกเราไปทานอาหารกันเถอะ”
“เจ้าเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ คุ้มค่าหรือ”
ความหมายของท่านหญิงซูซู มีหรือที่มั่วเชียนเสวี่ยจะไม่เข้าใจ
ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ การมีคนคอยเป็นห่วงเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน!
“ไม่ถือว่าเหน็ดเหนื่อย นี่คือสิ่งที่สตรีอย่างเราๆ จำต้องพานพบ ไม่กล่าวถึงเรื่องที่ข้าแต่งเข้าตระกูลหนิง แม้จะแต่งเข้าตระกูลอื่น ย่อมต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้ หากไม่อยู่ในตำแหน่งนั้น ไม่พึงคิดถึงเรื่องของตำแหน่งนั้น แต่ในเมื่อพวกเราอยู่ในตำแหน่งนั้นแล้ว เช่นนั้นก็ต้องพยายาม เจ้าว่าใช่หรือไม่”
ท่านหญิงซูซูมองมั่วเชียนเสวี่ยตากแดดจนดวงแก้มแดงระเรื่อ ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจดีว่าสิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดคือความจริง
สตรีชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์เช่นพวกนาง ตอนที่ยังไม่ได้ตบแต่งออกเรือน ยามอยู่ในสังคมต้องคิดถึงหน้าตาตระกูล ทันทีที่มีการหมั้นหมาย ต้องคิดเผื่อตระกูลของสามี เป็นชะตาชีวิตที่ไม่อาจหนีพ้น!
“ช่างเถอะๆ! ไม่อาจพูดชนะเจ้าได้ พวกเราไปกันเถอะ”
“อืม” มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเช่นนี้จึงยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เดินไปกินอาหารที่โถงหลักของสวนร้อยบุปผาพร้อมกับซูซู
ความเป็นจริงนางไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่าใดนัก นางบอกแล้ว นางไม่อยากใช้ชีวิตเป็นเถาวัลย์ที่พันรอบหนิงเซ่าชิง สตรี ไม่จำเป็นต้องอาศัยบุรุษในการมีชีวิต!
หนิงเซ่าชิงมีหน้าที่ของเขา มีงานที่เขาต้องทำ หากนางคอยให้หนิงเซ่าชิงคลี่คลายปัญหาทุกอย่าง เช่นนั้นควรจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด
นางทำใจทำเช่นนั้นไม่ได้ และไม่อาจทำ
เหตุเพราะงานชมดอกไม้ในครั้งนี้ถือเป็นงานเลี้ยงที่เปิดกว้างของเทียนฉี ชายหญิงล้วนได้รับคำเชิญ ดังนั้นเจ้าภาพย่อมไม่อาจเลือกที่รักมักที่ชัง ยิ่งไปกว่านั้นเทียนฉีถือว่าเป็นแคว้นที่เปิดกว้าง แม้จะมีข้อห้ามระหว่างชายหญิง แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดเท่าใดนัก
แม้จะมีงานเลี้ยงที่ชายหญิงร่วมรับประทานอาหารใต้ชายคาเดียวกันน้อย ทว่าก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลก
ตามหลักการแล้ว แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะเป็นบุตรีสายตรงของท่านกั๋วกง แต่นางไม่มีสิทธิ์นั่งที่นั่งด้านหน้าสุด
เพราะถึงอย่างไรในยุคสมัยนี้มีการแบ่งชนชั้นการอย่างชัดเจน แต่จะทำอย่างไรได้เพราะมั่วเชียนเสวี่ยมีอีกหนึ่งฐานันดรศักดิ์ ซึ่งก็คือเป็นว่าที่นายหญิงของตระกูลขุนนางใหญ่เยี่ยงตระกูลหนิง
ดังนั้น การที่ที่นั่งของนางจึงถูกจัดให้อยู่ด้านหน้าสุด ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ เท่าใดนัก
อีกเรื่องหนึ่ง หญิงชายที่อยู่ในงาน มีครึ่งหนึ่งยอมจำนนให้กับความสามารถของนางแล้ว พวกเขาเคารพนับถือมั่วเชียนเสวี่ยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะนั่งเหนือกว่าทุกคน พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
หลันรั่วเมิ่งเป็นคนที่มีความคิดทะลุปรุโปร่งจริงๆ ตอนจัดที่นั่ง นางให้มั่วเชียนเสวี่ยและซูซูนั่งด้วยกัน เช่นนี้พวกนางจะได้พูดคุยกันอย่างสะดวก