เมื่อเทียบกับศิษย์พี่ใหญ่อย่างเซวียเหลียงแล้ว ศิษย์น้องรองอย่างเฟิงซั่วนั้นเรียนรู้ได้เร็วกว่ามาก ประสิทธิภาพในชั้นเรียนนั้นสูงกว่ามาก
ต่อให้ระดับความสามารถในการประพันธ์เพลงของเขาจะเข้าใกล้มือทองแล้ว เขายังคงสามารถพัฒนาเล็กๆ น้อยๆ ได้อีกหลังเลิกเรียน…นั่นทำให้หลินเยวียนพึงพอใจสุดๆ
และเมื่อภารกิจรับลูกศิษย์ดำเนินมาถึงกลางเดือนตุลาคม
ในที่สุดกองถ่ายก็เตรียมงานสำเร็จ เรื่องนักปรับเสียงเปียโนก็ต้อนรับการเปิดกล้องอย่างเป็นทางการ!
เฉกเช่นเดียวกับครั้งก่อน
ระหว่างขั้นตอนการถ่ายทำ แม้ว่าหลินเยวียนจะประจำอยู่ที่กองถ่าย แต่ก็ไม่ค่อยได้พูดอะไร
ในระยะแรกของการถ่ายทำ ไม่ได้มีจุดที่หลินเยวียนจำเป็นต้องออกหน้าจริงๆ เพราะในวันแรกๆ นั้นเป็นช่วงเวลาที่นักแสดงและทีมงานกองถ่ายพบปะกัน
คาบเรียนของหลินเยวียนกลับไม่ได้หยุดพัก
เขายังคงสอนเฟิงซั่ววันละสองชั่วโมง เพียงแต่ย้ายสถานที่สอนจากในบริษัทไปที่กองถ่ายก็เท่านั้น
และเมื่อการถ่ายทำเริ่มเข้าสู่วงโคจรปกติ หลินเยวียนก็ติดต่อกู้ซี
นี่คือเช้าวันที่สามในการถ่ายทำเรื่องนักปรับเสียงเปียโน
กู้ซีกำลังนั่งรถ มุ่งหน้าไปยังที่อยู่ที่หลินเยวียนแจ้งไว้
ผู้ที่ขับรถ คือผู้หญิงซึ่งสวมแว่นตาสีดำ
ผู้หญิงคนนี้มีอายุประมาณสี่สิบปีได้ กำลังเอ่ยปากพูด “ก่อนหน้านี้ที่ย้ายไปที่วิทยาลัยศิลปะฉีโจวก็เพื่อคนที่จะไปเจอวันนี้น่ะหรือ”
กู้ซีตอบ “ใช่ค่ะ น้าโจว เขาชื่อหลินเยวียน”
หญิงสาวซึ่งถูกเรียกว่าน้าโจวสีหน้าจนใจ “เอาเถอะ เพราะคนที่ชื่อหลินเยวียนคนนี้เขียนเพลงดี หลานเลยตามวนเวียนอยู่ใกล้เขานานขนาดนี้น่ะเหรอ”
กู้ซีพยักหน้า
น้าโจวถอนหายใจ “อีกฝ่ายอายุพอๆ กับเธอ ต่อให้เป็นนักแต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ แต่ก็คงไม่ได้เป็นถึงบุคคลระดับพ่อเพลง หรือว่าเขาเคยเล่นเพลงที่ยอดเยี่ยมเพลงอื่นอีกไหม”
กู้ซีคิดครุ่นคิด ส่ายหน้าเบาๆ
เธอเพียงเคยได้ยินเพลงต้นฉบับของหลินเยวียนแค่เพียงเดียว แต่เพลงต้นฉบับเพลงนั้นกลับมากพอให้กู้ซีตกตะลึงแล้ว
“แล้ว…”
น้าโจวชำเลืองมองกู้ซี “หลานเคยคิดมั้ยว่าเพลงนั้นของหลินเยวียน อาจเป็นเพลงที่เขียนออกมาตอนสมองแล่นแค่ประเดี๋ยวประด๋าวหรือเปล่า ไม่งั้นทำไมเขาไปห้องเปียโนตั้งไม่รู้กี่รอบ ถึงเล่นแต่เพลงนี้ล่ะ”
“สมองแล่น…”
กู้ซีชะงักไป ทันใดนั้นก็เอ่ยว่า “ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่มีทางเก็บซ่อนความยอดเยี่ยมของเพลงนี้ไปได้หรอกค่ะ”
น้าโจวพยักหน้า “แน่นอนว่าน้าเชื่อความคิดของเธอ เพลงนี้ของเขาต้องโดดเด่นมากถึงทำให้เธอจำได้ไม่ลืมแบบนี้ แต่เธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องมองหลินเยวียนเป็นพ่อเพลงนี่”
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
กู้ซียังคงยืนกราน
น้าโจวไม่ได้โต้แย้งอีก เพียงแค่กล่าวกลั้วหัวเราะ “งั้นประเดี๋ยวน้าจะไปดูว่าเขาเก่งขนาดไหน ถ้าบนโลกนี้มีพ่อเพลงอายุน้อยขนาดนี้ เธอเอาอกเอาใจเขาไปก็ไม่ได้เกินไปหรอก”
ใบหน้าของกู้ซีแดงระเรื่อ “น้าโจวก็พูดเกินไป หนูไปเอาอกเอาใจเขาที่ไหน…”
น้าโจวหยอกล้อ “ไม่ต้องเขินหรอก วัยรุ่นอย่างพวกหลานไม่ได้ชอบเอาอกเอาใจกันแบบนี้หรอกเหรอ คุยเล่น ทอดสะพานอะไรนั่น น้าเองก็เล่นอินเทอร์เน็ตเหมือน…โอ้ ถึงแล้ว ไปเจอหนุ่มน้อยที่เธอพูดถึงเถอะ น้าเองก็เป็นนักประพันธ์เพลง ช่วยเธอแยกแยะได้ไม่มีปัญหา”
ขณะที่พูด น้าโจวก็จอดรถเสร็จ ทั้งสองลงจากรถพร้อมกัน
กองถ่ายเบื้องหน้ากำลังถ่ายทำภาพยนตร์อยู่
น้าโจวเอ่ยด้วยความสงสัยใคร่รู้ “หลินเยวียนคนนี้ได้บอกเธอหรือเปล่าว่าเขากำลังถ่ายหนัง เขามีหน้าที่อะไรในกองถ่าย ถ้าทำแค่ดนตรีประกอบก็คงไม่ต้องตามกองล่ะมั้ง”
กู้ซีตอบ “ไม่รู้ค่ะ…”
น้าโจวพูดถามอย่างจนใจ “งั้นหลานรู้อะไรมาบ้าง”
กู้ซีครุ่นคิด “เขาชื่อหลินเยวียน เป็นนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงที่มหา’ลัยเดียวกับหนู”
น้าโจว “…”
ในตอนนั้น ผู้ดูแลความต่อเนื่องของการถ่ายทำเข้ามาหยุดทั้งสองไว้ “ทั้งสองท่าน เรากำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำไม่ทราบว่าพวกคุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
น้าโจวตอบ “เรานัดกับหลินเยวียนไว้น่ะค่ะ”
ผู้ดูแลความต่อเนื่องของการถ่ายทำได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ที่แท้ก็เป็นเพื่อนกับตัวแทนหลินนี่เอง รอสักครู่นะคะ ฉันจะไปแจ้งตัวแทนหลินก่อน”
“ขอบคุณค่ะ”
น้าโจวมองตามแผ่นหลังผู้ดูแลความต่อเนื่องของการถ่ายทำ เลิกคิ้วพลางเอ่ย “หลินเยวียนของเธอ ดูเหมือนว่าตำแหน่งใหญ่ในกองถ่ายเหมือนกันนะ?”
กู้ซีกลอกตา “ไม่ใช่ของหนูสักหน่อย”
น้าโจวเบ้ปาก “ไม่ใช่ของเธออยู่แล้ว ไม่งั้นเขาก็ควรออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง เธอไปวนเวียนอยู่รอบตัวเขาอยู่ตั้งนาน ไม่มีผลอะไรแม้แต่นิดเดียวเลยเหรอ”
กู้ซี “…”
ผ่านไปไม่นาน ผู้ดูแลความต่อเนื่องของการถ่ายทำก็กลับมา ท่าทางกระตือรือร้นขึ้นหลายส่วน “ทั้งสองท่านเชิญค่ะ ตัวแทนหลินกำลังรออยู่พอดี!”
“ได้ค่ะ”
ทั้งสองคนเดินตามเข้าไปในห้อง
ในห้องนั้น หลินเยวียนกำลังปรับเสียงเปียโน เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว เขาก็ลุกขึ้นหันมา พร้อมเอ่ยทักทาย
“สวัสดีครับ”
“หลินเยวียน นี่คือคุณน้าของฉัน แซ่โจว” กู้ซีออกตัวแนะนำผู้ที่มาด้วยกับหลินเยวียน
“น้าโจว สวัสดีครับ”
หลินเยวียนเอ่ย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้ใหญ่ เขาเองก็รู้มารยาท
น้าโจวยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน “สวัสดีค่ะ หลินเยวียนใช่ไหม วันนี้ฉันไม่มีธุระพอดี เลยมากับกู้ซีน่ะ พวกเธอไม่ต้องสนใจฉัน คุยเรื่องของพวกเธอได้เลย”
หลินเยวียนพยักหน้า “ตามสบายนะครับ”
กู้ซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย “นายให้ฉันมาทำอะไรเหรอ”
หลินเยวียนตอบ “ผมอยากเชิญคุณมาเล่นเปียโนให้สักสามสี่เพลงน่ะครับ”
ภาพยนตร์เรื่องนักปรับเสียงเปียโนนี้มีฉากที่พระเอกบรรเลงเปียโนอยู่หลายฉาก
นักแสดงนำหลิ่วเจิ้งเหวินแม้ว่าจะมีพื้นฐานการเล่นเปียโน แต่การถ่ายทอดบทเพลงเปียโนนั้นท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเป็นกู้ซีที่จัดการ หลิ่วเจิ้งเหวินเพียงแค่ทำท่าทางเล่นเปียโนก็ใช้ได้แล้ว
แน่นอนว่าท่วงทำนองก็ต้องไม่ผิดด้วย ไม่เช่นนั้นจะไม่สมจริง
คนทั่วไปอาจมองไม่ออก ทว่าผู้ที่เล่นเปียโนเป็นนั้นสามารถแยกแยะได้
เช่นเดียวกับนักแสดงที่ต้องใช้การพากย์เสียงทับในขั้นโพสต์โพรดักชันนั่นละ จุดประสงค์ที่หลินเยวียนขอความช่วยเหลือจากกู้ซี ก็เพื่อให้กู้ซีช่วยบรรเลงเปียโนให้หลิ่วเจิ้งเหวิน
นี่เป็นงานในขั้นโพสต์โพรดักชัน
หลินเยวียนติดต่อกู้ซีไปตอนนี้ เพราะหวังว่ากู้ซีจะได้ทำความคุ้นเคยกับบทเพลงที่ปรากฏในภาพยนตร์
กู้ซีเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “เป็นเพลงออริจินัลของนายเองเหรอ”
น้าโจวซึ่งหาที่นั่งได้แล้วก็มองไปทางหลินเยวียนด้วยความสงสัยเช่นกัน
หลินเยวียนพยักหน้า “โน้ตเพลงอยู่นี่นะครับ ผมจะเล่นให้ฟังก่อนหนึ่งรอบ”
กู้ซีพยักหน้า ดวงตาเปี่ยมความตื่นเต้น “ได้สิ งั้นบอกได้ไหมว่าเพลงนี้ชื่ออะไร”
หลินเยวียนตอบ “วิวาห์ในฝัน”
กู้ซีพยักหน้า “คือเพลงที่ครั้งก่อนฉันได้ยินใช่มั้ย”
หลินเยวียนพยักหน้า
กู้ซีไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอีก
หลังจากหลินเยวียนนั่งลงหน้าเปียโน เขาปรับท่วงท่าเล็กน้อย
จากนั้นโน้ตเพลงตัวแรกก็ส่งผ่านออกมาจากปลายนิ้วของเขา
ท่วงทำนองกลุ่มแรกรินไหลยามมือขวาของเขาสัมผัสแป้นเปียโน ประหนึ่งสายฝนโปรยปราย และสายลมยามฤดูใบไม้ผลิพัดโชยไล้ใบหน้า
คีย์เปียโนขาวดำเต้นรำสลับกัน อ่อนโยนและละเอียดอ่อน
เสียงเพลงอันเป็นธรรมชาติชื่นฉ่ำหัวใจ เติมเต็มความว่างเปล่าของห้องนี้
เห็นได้ชัดว่าโน้ตเพลงไม่ได้ซับซ้อน ทว่าดนตรีท่อนนี้กลับสามารถกระตุ้นอารมณ์ของผู้คนได้อย่างง่ายดายประหนึ่งมีมนตร์สะกดบางอย่าง
กู้ซีหลับตาลงช้าๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ยินเพลงนี้ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินล้วนแต่ขาดตอน
ที่เป็นครั้งแรกที่ได้สดับฟังบทเพลงอย่างเต็มที่ ความรู้สึกตื่นตะลึงในใจยังคงเหมือนกับครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงนี้
ที่มุมห้อง
น้าโจวเดิมทีมีท่าทางไม่อีนังขังขอบ แววตาค่อยๆ เปลี่ยนไป
เธอเพิ่งเข้าใจก็ตอนนี้ ว่าทำไมกู้ซีถึงให้ความสำคัญกับหลินเยวียนมากถึงขนาดนี้!
ลำพังคุณภาพของบทเพลงนี้ ก็มีแววของพ่อเพลงอยู่หลายส่วนแล้ว มิหนำซ้ำหลินเยวียนยังอายุน้อยอยู่เลย…
ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้เป็นพ่อเพลง แต่ในอนาคตก็ไม่แน่
อย่างน้อยเขาก็มีศักยภาพ
ชั่วขณะนั้น ป้าโจวได้ให้คะแนนหลินเยวียนไว้ในใจสูงมาก
และในขณะนั้นอง
จู่ๆ น้าโจวก็เหลือบไปเห็นกู้ซีมองมายังตนด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ ขยับปากพูดว่า
‘เชื่อหนูหรือยัง เขาเป็นพ่อเพลง!’
น้าโจวเข้าใจสิ่งที่กู้ซีพูด พลันหลุดหัวเราะออกมา
เจ้าเด็กคนนี้…
ก็แค่เพลงเพลงเดียว
วิวาห์ในฝันเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมากก็จริง แต่การตัดสินว่าหลินเยวียนมีฝีมือในระดับพ่อเพลงนั้นยังเร็วเกินไป
เธอยังยืนยันคำเดิม
ใครๆ ก็มีช่วงเวลาที่สมองแล่นกันทั้งนั้น
เป็นไปได้สูงที่หลินเยวียนจะสร้างสรรค์ผลงานที่น่าทึ่งชิ้นนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ ตอนที่แรงบันดาลใจกำลังพุ่งกระฉูด
เกณฑ์พื้นฐานในการประเมินนั้นง่ายมาก
หลินเยวียนอายุน้อยเกินไป
อีกทั้งก่อนหน้านี้กู้ซียังเคยบอกว่า นอกจากเพลงนี้แล้ว หลินเยวียนก็ไม่เคยเล่นเพลงอื่นอีก
เรื่องนี้ยังไม่เพียงพอให้อธิบายคำถามข้อนี้อีกหรือ?
แน่นอนว่าน้าโจวไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกไป หลินเยวียนยังบรรเลงบทเพลงไม่จบ ขืนพูดออกไปตอนนี้ ก็ออกจะเสียมารยาทเกินไปสักหน่อย
ในที่สุด
หลินเยวียนก็บรรเลงเพลงจบ
เขามองไปทางกู้ซี เอ่ยว่า “นี่เป็นเพลงเวอร์ชันต้นฉบับ แต่ต้องใส่เข้าไปในเรื่อง ผมอยากปรับแก้สักหน่อยน่ะ คุณช่วยฟังได้มั้ยว่าเป็นยังไง”
กู้ซีประหลาดใจ “นายจะดัดแปลงเพลง?”
หลินเยวียนพยักหน้า พลางอธิบายอีกสามสี่ประโยค เขาต้องการความคิดเห็นจากนักเปียโนอย่างกู้ซี “เพราะผมอยากถ่ายทอดเพลงออกมาให้เข้ากับสไตล์ของหนัง สไตล์ของเพลงต้นฉบับกับหนังไม่เข้ากันเลยครับ”
การดัดแปลงเพลงเปียโนนั้นเป็นเรื่องปกติ
บทเพลงคลาสสิกโดยทั่วไปมีหลากหลายเวอร์ชัน ลำพังการดัดแปลงเล็กๆ ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ได้สิ”
กู้ซีพยักหน้า
และเมื่อน้าโจวได้ยินว่าหลินเยวียนต้องการให้ดัดแปลงบทเพลง เธอก็อดนั่งเหยียดหลังตรงขึ้นมาไม่ได้ นี่เป็นโอกาสดีที่จะค้นหาระดับความสามารถของหลินเยวียน
หลินเยวียนไม่ได้ล่วงรู้ถึงความสนใจของน้าโจว
เขาเปิดใช้งานการ์ดตัวละครหยางจงหมิงทันที ระบบไม่ให้หลินเยวียนใช้การ์ดตัวละครหยางจงหมิงในการผลิตผลงานต้นฉบับ แต่กลับอนุญาตให้หลินเยวียนหยิบยืมความสามารถของหยางจงหมิงมาดัดแปลงบทเพลงเปียโนที่มีอยู่
เพื่อที่จะดัดแปลงเพลง วันนี้หลินเยวียนอุตส่าห์ไม่ให้เฟิงซั่วมาเรียน
เขาจะใช้เวลาของการ์ดตัวละครในวันนี้ มาจัดการเรื่องสำคัญนี้
กลับมานั่งประจำตำแหน่งอีกครั้ง
หลินเยวียนเริ่มการดัดแปลงของตน
ก่อนหน้านี้หลินเยวียนลองดัดแปลงเพลงวิวาห์ในฝันด้วยตนเองแล้ว ผลลัพธ์นั้นสุดแสนจะธรรมดา แต่วินาทีที่เขาเปิดใช้งานการ์ดตัวละครหยางจงหมิง สารบบความคิดของหลินเยวียนก็ชัดเจนขึ้นมา เมื่อปลายนิ้วร่ายรำลงบนคีย์เปียโน มือข้างซ้ายของเขาก็ยกขึ้นกะทันหัน ท่อนไคลแม็กซ์ปรับเปลี่ยนจังหวะบ้างเป็นครั้งคราว การแบ่งวลีดนตรีปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เสียงเพิ่มความหนักขึ้น ทำให้เพลงวิวาห์ในฝันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลายมากขึ้น
“นี่มัน…”
น้าโจวฟังเสียงเพลงซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ก็พลันรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
ถ้าหากบอกว่าวิวาห์ในฝันเวอร์ชันต้นฉบับเป็นความหวานระคนความเศร้า เช่นนั้นเพลงวิวาห์ในฝันหลังจากผ่านการดัดแปลงอย่างไม่หยุดหย่อนโดยหลินเยวียน นั้นได้ถูกเติมอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปอีกนับไม่ถ้วน
ผลลัพธ์ของทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าเวอร์ชันต้นฉบับเลย!
ถึงขั้นที่การดัดแปลงอย่างต่อเนื่องจนฟังดูประหนึ่งการด้นสดนี้ ยังเพิ่มอรรถรสให้กับบทเพลงอีกมากด้วย!
ผู้เชี่ยวชาญย่อมมองปราดเดียวก็รู้
คนทั่วไปฟังสิ่งที่หลินเยวียนดัดแปลงย่อมรู้สึกงุนงง แต่น้าโจวฟังสิ่งที่หลินเยวียนดัดแปลงกลับรู้สึกประหลาดใจขึ้นเรื่อยๆ!
จัดการได้สมบูรณ์แบบเหลือเกิน!
เด็กหนุ่มอายุพอๆ กับกู้ซี มีฝีมือในการสร้างสรรค์บทเพลงเปียโนที่…
น่าสะพรึงกลัวกว่าที่น้าโจวจินตนาการไว้มาก!
…………………………………………