สวีลิ่งควนเดินเข้ามา โค้งคำนับสืออีเหนียงด้วยความเคารพ “ก็แค่คุยกับพี่สี่สองสามประโยคเท่านั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา จากนั้นก็ยิ้มแล้วขอตัวออกไป “พี่สี่ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า มองสวีลิ่งควนเดินออกไป จากนั้นก็หันกลับเข้าไปในห้องกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงรับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ไทเฮายังไม่หายประชวร ข้าให้น้องห้าไปบอกน้องสะใภ้ห้า” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “บอกให้น้องสะใภ้ห้าไปเยี่ยมนางที่พระราชวัง เกรงว่านางยังจะคุ้นเคยกับเรื่องในพระราชวังมากกว่าไท่ฮูหยินเสียอีก”
สืออีเหนียงนึกถึงท่าทีตอนที่ไท่ฮูหยินพูดถึงอาการป่วยของไทเฮา นางพูดเบาๆ “ท่านโหวก็สงสัยว่าไทเฮาแกล้งป่วยหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เงียบ ถือว่าเขาไม่ปฏิเสธ
ถึงแม้ว่าจะแกล้งป่วย นอกจากจะสร้างความไม่สงบราบรื่นให้กับงานฉลองขององค์หญิงใหญ่ ทำให้ฮ่องเต้ไม่สบายพระทัยแล้ว มันยังส่งผลกระทบอะไรได้อีก
สืออีเหนียงคิดไม่ออก
“ฤดูใบไม้ผลิก็จะคัดเลือกพระสนมแล้ว” สวีลิ่งอี๋เตือนนางเบาๆ “ครั้งนี้คือการเพิ่มสตรีวังหลังให้กับฮ่องเต้”
สืออีเหนียงตกใจ
ไทเฮาอยากให้สกุลหยางเข้ามาในพระราชวังตั้งหลายครั้ง แต่กลับถูกฮ่องเต้ปฏิเสธอ้อมๆ มาตลอด
“ท่านกลัวว่าไทเฮาจะแกล้งป่วยเพื่อแสดงความอ่อนแอให้ฮ่องเต้เห็นหรือเจ้าคะ” นางครุ่นคิด “หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เกรงว่าไทเฮาคงจะมีวิธีรับมืออยู่แล้วกระมัง ฮูหยินห้าเองก็เป็นผู้น้อย ข้าคิดว่า ไม่สู้ให้ไท่ฮูหยินไปเยี่ยมยังจะดีกว่า”
ระหว่างพวกนางและไทเฮานั้นมีสถานะที่แตกต่างกันเกินไป ไทเฮาสามารถตัดสินใจว่าจะเจอหรือไม่เจอก็ได้ จะให้นั่งพูดคุยกันอยู่ข้างๆ หรือจะตอบคำถามเพียงสองสามประโยคผ่านม่านก็ได้ ด้วยคุณสมบัติของฮูหยินห้า ไทเฮาอาจจะไม่สนใจนาง ถึงแม้ว่านางจะคุ้นเคยหรือเข้าใจสถานการณ์ในพระราชวังมากแค่ไหน แต่หากไม่ได้เจอกับไทเฮา ก็คงทำอะไรไม่ได้
สวีลิ่งอี๋รู้ว่านางยังพูดไม่จบ เขาก็พูดเบาๆ “ข้ารู้จักคนของพระตำหนักฉือหนิงสองสามคน แต่ว่าช่วงนี้ไทเฮาไม่สบาย อารมณ์ไม่ค่อยดี ทุกคนจึงไม่กล้าเดินไปมาตามอำเภอใจ หากให้น้องสะใภ้ห้าไป ก็จะได้ไปถามอาการของไทเฮา ถึงตอนนั้นคงมีคนให้คำตอบ”
เจตนาที่แท้จริงก็คือส่งคนไปสืบข่าวออกมา!
หากเป็นเช่นนี้ จะได้เจอกับไทเฮาหรือไม่ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
นางพยักหน้า จากนั้นก็พักผ่อนไปกับสวีลิ่งอี๋
เช้าวันต่อมา ฮูหยินห้าก็เดินทางไปยังพระราชวัง หลังจากกลับมาจากพระราชวังในตอนเที่ยงก็ตรงมาที่เรือนของสืออีเหนียงทันที
สืออีเหนียงบอกให้คนไปเชิญสวีลิ่งอี๋ที่ลานข้างนอกเข้ามา แล้วก็ต้อนรับนางเข้ามานั่งในห้องข้างใน
ฮูหยินห้าเห็นท่าทีของสืออีเหนียง ก็รู้ได้ว่าสืออีเหนียงรู้จุดประสงค์ที่ตนเข้าไปในพระราชวัง จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสืออีเหนียง
แต่หางตากลับเหลือบไปมองขอบหน้าต่างตรงเตียงเตา
มีดอกพุุดตานสีแดงสดอยู่ในแจกันดอกไม้หยกสีม่วงที่สูงประมาณหนึ่งนิ้ว สวยงามราวกับดอกไม้ในเดือนสี่ และในโถปลากระจกที่มีขนาดเท่ากับกะละมังข้างๆ แจกันดอกไม้ก็มีปลาทองที่หายากสี่ห้าตัว พวกมันกำลังแกว่งหางว่ายน้ำไปมาอย่างมีความสุขราวกับสวมกระโปรงพลิ้วไหว
นางอดไม่ได้ที่จะตกใจ
สองสิ่งนี้ มีมูลค่าหลายพันตำลึงเงิน
โดยเฉพาะแจกันดอกไม้หยกสีม่วงนั้น นางเคยเห็นแค่แจกันดอกไม้สีเหลืองที่มีขนาดเท่ากันกับของฮองเฮาคนก่อนที่พระราชวังหลัง
นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปรอบๆ
โต๊ะบนเตียงเตา ตู้สูง เก้าอี้ไท่ซือ พรมปูพื้นล้วนแต่เป็นสีดำ ผ้าม่าน เตียงเตาและเบาะรองนั่งบนเก้าอี้ล้วนแล้วแต่เป็นผ้าไหมผืนใหม่สีเหลือง ในห้องไม่มีกระถางธูปหรือจุดธูปหอมเหมือนสกุลร่ำรวยทั่วไป แต่มีกระถางดอกบ๊วยเดือนสิบสองที่สูงประมาณตัวคนวางอยู่ที่มุมห้อง กลีบดอกสีเหลืองที่สดใสราวกับลูกแก้ว กิ่งก้านสีน้ำตาลเข้มพันกันเป็นเกลียว ให้กลิ่นอายของป่า ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว พลอยทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นและสบายใจจนอยากจะเอนตัวนอนแล้วหลับไปบนหมอนอิงใบใหญ่บนเตียงเตา
ต้นดอกบ๊วยเดือนสิบสองในห้องของสืออีเหนียงเป็นต้นที่นางมอบให้สะใภ้จี้ถิงเป็นคนดูแล นางเห็นฮูหยินห้ามองไปที่ดอกบ๊วยเดือนสิบสองอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดเรื่องนี้กับฮูหยินห้าขึ้นมา “ฤดูหนาว จึงต้องปิดประตูหน้าต่างแน่น เช่นนั้นกลิ่นธูปก็จะฉุนไปหน่อย จึงย้ายต้นดอกบ๊วยเดือนสิบสองเข้ามาในห้อง”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
ตั้งแต่มีแม่หมอคนนั้น อาการป่วยของซินเจี่ยเอ๋อร์ก็ดีขึ้นมาก ดังนั้นตอนที่แม่หมอคนนั้นบอกว่าเรือนลี่จิ่งเซวียนล้อมรอบด้วยดอกไม้ต้นไม้ ไม่ดีสำหรับซินเจี่ยเอ๋อร์ นางจึงเลือกกลับไปสกุลเดิมในวันที่สืออีเหนียงย้ายเรือน จึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ สวีลิ่งควนรู้แล้วก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่เห็นซินเจี่ยเอ๋อร์ดีขึ้นทุกวัน เขาจึงแสร้งทำเป็นคนหูหนวกตาบอดไม่พูดถึงเรื่องนี้ สองสามวันก่อนซินเจี่ยเอ๋อร์ป่วยอีกแล้ว แม่หมอคนนั้นบอกว่ากลิ่นธูปในห้องแรงเกินไป…
“กลิ่นดอกบ๊วยเดือนสิบสองช่างเหมาะเสียจริง” นางยิ้มแล้วนั่งลงบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง “แต่แม่หมอคนนั้นบอกว่าซินเจี่ยเอ๋อร์ของเราไม่ถูกกับกลิ่นดอกไม้ ข้าคงต้องไปถามก่อน”
สืออีเหนียงจึงเข้าใจแล้วว่าเดิมทีฮูหยินห้าสัญญาไว้เป็นอย่างดี แต่เหตุใดถึงหนีกลับไปสกุลเดิมตอนที่นางย้ายเรือน…
นี่ถือเป็นคำอธิบายภายหลังใช่หรือไม่
สืออีเหนียงยิ้มแล้วคล้อยตามคำพูดของนาง “เช่นนั้นต้องถามดีๆ สุขภาพของซินเจี่ยเอ๋อร์สำคัญที่สุด” จากนั้นก็เรียกสาวใช้ให้ยกชาและของว่างเข้ามา
ฮูหยินห้ายกถ้วยชาขึ้นมา สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
นางรีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยเรียก “พี่สี่”
สืออีเหนียงจึงออกไปข้างนอก
พวกเขาสองคนพูดคุยกันในห้องประมาณหนึ่งถ้วยชา จากนั้นฮูหยินห้าก็ลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วไปส่งฮูหยินห้าที่หน้าประตูลานแล้วก็กลับเข้ามาในห้อง
สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างด้วยใบหน้าที่ครุ่นคิด
สืออีเหนียงเก็บถ้วยชาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็รินชาให้สวีลิ่งอี๋ใหม่
สวีลิ่งอี๋ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไทเฮาทรงพระประชวรจริงๆ” เขาพูดด้วยความผิดหวัง
สืออีเหนียงนั่งลงตรงข้ามเขา พูดขึ้นด้วยความลังเล “เช่นนั้น ท่านจะทำอย่างไรเจ้าคะ!”
บางครั้งคนเราสามารถไม่คุกเข่าให้ความน่าเกรงขามได้ แต่กลับมีไม่กี่คนที่จะไม่เสียใจเมื่อต้องเผชิญกับความยากลำบาก ดังนั้นตอนที่ไท่ฮูหยินคิดว่าไทเฮาแกล้งป่วยนางไม่พอใจได้ แต่เมื่อสวีลิ่งอี๋รู้ว่าไทเฮาป่วยจริงๆ เขากลับต้องทำสีหน้าเป็นกังวล
“หากถึงตอนนั้นจริงๆ ก็ต้องตอบตกลงอย่างมีแผนรับมือ!” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเยือกเย็นและแน่วแน่
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่นางควรถาม
สืออีเหนียงรินชาให้สวีลิ่งอี๋เงียบๆ
*****
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บางครั้งสวีลิ่งอี๋จะออกไปเยี่ยมสหาย และหลังจากที่สืออีเหนียงยุ่งกับเรื่องร้านมงคลสมรสเสร็จแล้ว สวีซื่ออวี้ก็กลับมาพอดี
หน้าตาของสวีซื่ออวี้ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่กลับสูงขึ้นกว่าตอนที่จากไปไม่น้อย
เห็นฉินอี๋เหนียงที่ยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ท่ามกลางผู้คนจับจ้องไปที่เขา สวีซื่ออวี้ก็หันหน้ามา ก้มหน้าลงแล้วโค้งคำนับสืออีเหนียง
สวีซื่อจุนหยุดตั้งแต่วันที่เจ็ดเดือนสิบสองแล้ว แต่เขากลับไม่ค่อยว่าง อาจารย์จ้าวที่ยังคงเขียนหนังสือให้การบ้านเขามากมาย เขายังไปถามฮูหยินสองถึงเรื่องนี้ด้วย ฮูหยินสองไม่ได้ให้คำตอบเขา แต่กลับชี้ไปที่ห้องหนังสือบอกให้เขาไปหาเอาเอง เขาใช้เวลากว่าสามสี่วันในการหาหนังสือเล่มนั้นจนเจอ จากนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก บอกให้ฉาหมิง บ่าวรับใช้คนใหม่ที่มาทำงานในเรือนของเขาแอบไปซื้อหัวหมูของโปรดของอาจารย์จ้าวที่ตลาดกลับมา แล้วยังอ้างว่าจะบอกให้สวีซื่อเจี้ยวาดรูปแล้วเรียกสวีซื่อเจี้ยมา แต่ใครจะรู้ว่าสวีซื่อเจี้ยกลับมาฟ้องสืออีเหนียง
สืออีเหนียงคิดว่ามันเป็นความลับของพวกเด็กๆ จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ สุดท้ายสวีซื่อเจี้ยทานหัวหมูแล้วกระโดดโลดเต้น แต่สวีซื่อจุนกลับท้องเสียไปสองวัน ฉาหมิงจึงถูกไท่ฮูหยินสั่งเฆี่ยนเพราะเรื่องนี้ หากไม่ใช่เพราะว่าสวีซื่อจุนออกหน้าขอร้องให้เขา แล้วฉาหมิงก็ยังเป็นคนที่พ่อบ้านไป๋แนะนำมา เกรงว่าเขาคงจะถูกไล่ออกไปแล้ว
เมื่อรู้ว่าสวีซื่ออวี้จะกลับมาบ่ายวันนี้ เขาก็ไปที่เรือนของสืออีเหนียงตั้งแต่เช้า หยิบป้ายตัวหนังสือออกมาสอนสวีซื่อเจี้ย แล้วยังอยู่ทานข้าวเที่ยงที่เรือนของสืออีเหนียง
หลังจากเห็นสวีซื่ออวี้โค้งคำนับสืออีเหนียง เขาก็ลากสวีซื่อเจี้ยเดินไปโค้งคำนับพี่ชายตัวเอง
สวีซื่อเจี้ยเดินอยู่ข้างหลังสวีซื่อจุน ทำท่าทางเลียนแบบเขา
“ซื่อจื่อสูงขึ้นแล้ว!” สวีซื่ออวี้ประกบมือคำนับสวีซื่อจุนอย่างมีมารยาท
คำเรียกที่ไม่คุ้นเคย อีกทั้งน้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคย ทำให้สวีซื่อจุนตกใจ
แต่สวีซื่ออวี้กลับไปลูบหัวของสวีซื่อเจี้ยเบาๆ “น้องห้า!”
เขายิ้มแล้วทักทายสวีซื่อเจี้ย
นั่นคือท่าทางที่สืออีเหนียงชอบทำ ในจวนสกุลสวี ก็มีแค่สืออีเหนียงที่ทำเช่นนี้ กล้าลูบหัวเขา
สวีซื่อเจี้ยตัวน้อยไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายที่อยู่ตรงหน้าที่หน้าตาดูคุ้นเคยแต่กลับแปลกหน้ามากกว่าคนนี้ ต้องลูบหัวตัวเองเหมือนท่านแม่ เขาจึงหันหน้าหนีสวีซื่ออวี้ตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็จับมือสวีซื่อจุนแน่น ดวงตาที่เหมือนกับสวีซื่ออวี้ มองดูเขาด้วยความหวาดระแวง
สวีซื่ออวี้หยุดมือกลางอากาศอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขามองไปที่มือของสวีซื่อเจี้ยที่จับมือสวีซื่อจุนแน่น ความขมขื่นที่โผล่ขึ้นมาในสายตาพลันหายไปอย่างรวดเร็ว
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ลอบถอนหายใจในใจ
เมื่อก่อนสวีซื่ออวี้สนิทกับสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยน แต่กลับไม่ค่อยสนิทกับสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย ต่อมานางให้สวีซื่อเจี้ยไปอยู่ที่เรือนลี่จิ่งเซวียน ก็เพื่อที่จะให้เขาได้ใกล้ชิดกับสวีซื่อเจี้ยบ้าง แต่ว่าสวีซื่ออวี้อยู่ที่ลานข้างหน้า สวีซื่อเจี้ยอยู่ที่ลานข้างหลัง เขาไม่ค่อยเข้าไปลานข้างหลัง ก็ไม่แปลกที่สวีซื่อเจี้ยจะไม่สนิทสนมกับเขา
นางกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อกอบกู้สถานการณ์ให้สวีซื่ออวี้ แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับยิ้มแล้วเดินเข้าไปคำนับสวีซื่ออวี้ “พี่สองเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงเห็นสวีซื่ออวี้ดึงมือกลับมา ยิ้มอย่างจริงใจสีหน้ามีความสุข
“เจินเจี่ยเอ๋อร์!” เขาเรียกน้องสาวของตัวเองอย่างสนิทสนม ใบหน้าพลันสดใสขึ้น
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มตอบ
สีหน้าของสวีซื่ออวี้ผ่อนคลายลงไม่น้อย
เขาเอ่ยทักทายฉินอี๋เหนียง เหวินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝังอย่างมีมารยาท
“คุณชายน้อยสอง!” ฉินอี๋เหนียงปากสั่น ท่าทีตื่นเต้น แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
แต่เหวินอี๋เหนียงกลับปิดปากยิ้มอย่างมีความสุข “ไม่ได้เจอคุณชายน้อยสองตั้งนาน คุณชายน้อยสองดูสุขุมมากกว่าแต่ก่อนอีกนะเจ้าคะ เหมือนคำที่ว่า ’อ่านหนังสือพันเล่มไม่สู้เดินทางเป็นพันลี้’ ต้องออกไปเปิดโลกกว้างจริงๆ…” นางยังคงพูดมากเหมือนเดิม ส่วนสวีซื่ออวี้เพียงก้มหน้ายิ้มฟังอยู่อย่างเดียว
แต่ปฏิกิริยาของเฉียวเหลียนฝังกลับตรงไปตรงมา
นางพยักหน้าให้สวีซื่ออวี้เบาๆ จากนั้นก็เดินออกไปอยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วทักทายสวีซื่ออวี้ “เราไปหาท่านย่ากันเถิด! ท่านพูดถึงเจ้าตั้งแต่เช้าแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋ตอบรับ “ขอรับ” ด้วยความนอบน้อม จากนั้นก็มีสาวใช้ บ่าวรับใช้และท่านป้าล้อมรอบไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ยและเจินเจี่ยเอ๋อร์
ฉินอี๋เหนียงยืนมองแผ่นหลังของสวีซื่ออวี้แล้วเช็ดน้ำตาไม่หยุด “คุณชายน้อยสองผอมลงไปมาก!”
นางหน้าแดง แต่กลับดูมีชีวิตชีวา
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็ไม่สนใจแล้วเบะปากอย่างเยาะเย้ย จากนั้นก็พาสาวใช้กลับไปที่เรือนของตัวเอง
เหวินอี๋เหนียงก็ยังเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่น “คุณชายน้องสองกลับมาเป็นเรื่องน่ายินดี พี่หญิงอย่าร้องไห้ไปเลย ตอนนี้ฮูหยินพาคุณชายน้อยสองไปหาไท่ฮูหยินแล้ว ประเดี๋ยวเขาก็คงจะมาหาพี่หญิง เล่ออานอยู่ไกลขนาดนั้น ขนบธรรมเนียมไม่เหมือนเรา ข้าคิดว่าพี่หญิงไม่สู้กลับไปบอกให้คนทำอาหารโปรดที่คุณชายน้อยสองชอบทานเตรียมไว้ดีกว่า เมื่อคุณชายน้อยสองมาหาพี่หญิง พี่หญิงก็จะได้ช่วยบรรเทาความหิวของคุณชายน้อยสองอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“ข้าสะเพร่าเอง ข้าสะเพร่าเอง” ฉินอี๋เหนียงรีบเช็ดน้ำตา ย่อเข่าให้เหวินอี๋เหนียงด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็รีบพาสาวใช้ออกไป
เหวินอี๋เหนียงมองดูลานกว้างขวางที่เมื่อครู่ยังคึกคักแต่ตอนนี้กลับเงียบสงัด นางยิ้มแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเองกับชิวหง
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่านกแก้วที่ท่านเขยใหญ่ส่งมาให้คุณหนูผิดปกติ ผิดปกติอย่างไรหรือ”