มือของผู้อาวุโสเฮยแข็งค้างไปทั้งที่ยังถือถ้วยชาอยู่ เขารู้สึกไม่สบายใจแต่ก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น ”แม่หนู ตลอดหลายปีมานี้เจ้าคงทนทุกข์มามากแล้ว”
“ดาบที่ดีย่อมใช้เวลาลับคมนับสิบปี” เฮ่อเหลียนเวยเวยจิบชา แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”บางครั้งคนเราจะตาสว่างก็ต่อเมื่อหลังจากผ่านพ้นความทรมานมาแล้วเท่านั้น”
ชีวิตนี้นางถูกตบหน้ามานับครั้งไม่ถ้วน
สมัยอยู่ในยุคปัจจุบันนั้น ความรังเกียจของผู้เป็นแม่เลี้ยงก็มักจะจบลงด้วยการตบตีนางอย่างไร้เหตุผลเสมอ
ไม่เคยมีใครคิดที่จะส่งพุทราแดงให้นางกิน…
ยิ่งไม่เคยมีใครคิดที่จะฟังนางปรับทุกข์
ในตอนนั้นนางชอบเข้าไปซ่อนตัวในตู้และหลับไปทั้งอย่างนั้น เพราะนางรู้สึกว่ามันเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด
นางรู้ดีกว่าใครในโลกนี้ว่าการสร้างอาณาจักรของตัวเองนั้น คนที่นางสามารถพึ่งพาได้ก็มีเพียงแค่ตัวนางเอง
แม้กระทั่งตอนนี้มันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
นางจะแก้แค้นทุกคนที่นางเกลียดชัง
นางจะไม่ตำหนิบรรดาคนที่ไม่ให้ความช่วยเหลือนาง
เพราะอย่างไรก็ไม่ได้มีกฎหมายใดที่บัญญัติไว้ว่าใครต้องมาช่วยนางอยู่แล้ว
ผู้อาวุโสเฮยมองเข้าไปในดวงตาราวกับน้ำแข็งของนาง แล้วจึงตัดสินใจทันที ”ข้าจะพาเจ้าไปที่ค่ายทหารเดี๋ยวนี้”
เขาอาจจะยังไม่ยอมรับเฮ่อเหลียนเวยเวยในทันทีตอนที่นางคร่ำครวญถึงความทุกข์ทรมานอันแสนยาวนานนั้น แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่านางสร้างผลงานเอาไว้นับไม่ถ้วนก็ตาม
แต่เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสเฮยคนนี้กลับไม่ได้รีบร้อนหรือกระวนกระวาย นางกลับยังเป็นกันเองและสุขุมรอบคอบ ยิ่งกว่านั้น นางยังมีความดื้อรั้นอันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย
เด็กคนนี้ทำให้เขารู้สึกสงสารจริงๆ
อย่างไรเสีย หลายปีมานี้เขาเองก็เคยได้ยินข่าวลือและเสียงซุบซิบนินทาในเมืองหลวงมาเหมือนกัน
ตอนที่เขาได้ยินว่าเจ้าหลานชายอกตัญญูของเขาสนิทสนมกับนาง เขาทั้งดีใจและเป็นกังวลในเวลาเดียวกัน
เขาคิดว่าทุกคนคงคาดว่าเขาเกลียดกิริยาท่าทางของเฮ่อเหลียนเวยเวย
จริงอยู่ที่เขาไม่ชอบใจในการกระทำของนาง แต่ความรู้สึกนั้นก็งอกเงยมาจากความปรารถนาจากใจจริงที่อยากให้นางได้พัฒนาตัวเอง และกลายเป็นคนที่ดีขึ้น แต่นางกลับไม่คิดที่จะปรับปรุงตัว
เขาเองก็เคยมีความคิดที่จะให้เจ้าหลานชายอกตัญญูแต่งงานกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็สามารถคุ้มครองนางได้หากนางแต่งเข้ามาในตระกูลเฮย
แต่ผู้เป็นตาของนางเคยบอกเอาไว้ก่อนสิ้นใจว่าเขาอยากเห็นหลานสาวคนเดียวของเขาเติบโตขึ้นเป็นคนเอาการเอางาน
ดังนั้นแม้เขาจะแอบช่วยเหลือนางอย่างลับๆ อยู่หลายครั้งแต่เขาก็ไม่ควรประคบประหงมนางจนเกินไป
ตอนนี้สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นล้วนแต่คุ้มค่ายิ่งนัก
พูดจบ ผู้อาวุโสเฮยก็พาเฮ่อเหลียนเวยเวยไปที่ด้านหลังของภูเขาแห่งหนึ่ง
ทั้งสองเดินทางผ่านหมอกหนาทึบยามค่ำคืน นางเดาไม่ออกเลยว่าผู้อาวุโสเฮยนำทางพวกนางไปที่นั่นถูกได้อย่างไร
และแล้วหุบเขาที่ซ่อนตัวอยู่ก็พลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย
สัตว์ทุกตัวที่เผลอเดินผ่านเข้าไปในทางเข้าของหุบเขาแห่งนี้ล้วนแต่รีบเผ่นหนีอย่างรวดเร็วราวกับตื่นตระหนกต่อจิตสังหารอันเย็นชาที่อยู่ภายใน
แต่ในเวลานี้กลับมีเสียงฝึกทหารดังแว่วมาจากด้านในของหุบเขาแห่งนี้
ที่แห่งนี้คือฐานลับของกองกำลังที่ตระกูลเฮ่อเหลียนซุกซ่อนเอาไว้
“ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนหากองกำลังลับไม่เจอ จริงๆ แล้วพวกเขามาซ่อนตัวอยู่ที่นี่นี่เอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองทางเข้าหุบเขาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความพอใจ นี่เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ
แต่คาดไม่ถึงว่าทันทีที่นางพูดจบ เสียงดังเคร้งราวกับเหล็กครูดกันนั้นก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงๆ หนึ่งที่ประกาศว่า ”หยุดเดี๋ยวนี้ ฐานของเราห้ามคนภายนอกเข้า! คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องควรรีบออกไปโดยเร็ว มิฉะนั้นระวังจะเอาชีวิตมาทิ้งได้”
“ข้าเอง ข้าพาหลานของอดีตแม่ทัพเฮ่อเหลียนมาด้วย” ผู้อาวุโสเฮยยืนมือไพล่หลัง สีหน้าของเขาเย็นชาไร้อารมณ์ แต่เสียงที่ดังออกมานั้นกลับหนักแน่น และเต็มไปด้วยอำนาจสั่งการ
ทหารที่ประจำการอยู่หน้าทางเข้าหุบเขารีบเผยตัวออกมา และคุกเข่าลงกับพื้นทันทีที่ได้ยินเสียงของผู้อาวุโสเฮย
“ลุกขึ้น” ผู้อาวุโสเฮยเดินไปข้างหน้าพร้อมกับนำนางเข้าไปด้านใน
ทหารคนนั้นขานว่า ”ขอรับ”
เขาเดินตามหลังผู้อาวุโสเฮยเข้าไปด้วยความเคารพ แต่ดวงตาของเขากลับเจือไปด้วยสายตาดูถูกในตอนที่เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจสายตาของทหารนายนั้น แล้วเดินหน้าเข้าไปในหุบเขาต่อ
“แม่นาง ทหารนายนั้นเกลียดขี้หน้าเจ้าแน่ะ” เสียงของหยวนหมิงยังคงชั่วร้ายเหมือนเช่นเคย
เฮ่อเหลียนเวยเวยคลี่ยิ้ม ริมฝีปากได้รูปของนางเปื้อนไปด้วยความชั่วร้าย
มันช่างเป็นภาพที่ชุลมุนวุ่นวายนัก ตอนที่พวกนางเดินเข้ามาในหุบเขา ทุกคนกำลังฝึกฝนกันอยู่ กองกำลังชายฉกรรจ์แต่งกายอย่างมิดชิดในชุดเครื่องแบบเรียบๆ กำลังฝึกการหวดอาวุธอยู่ บ้างก็ฝึกเพียงลำพัง บ้างก็ฝึกกันเป็นคู่ หรือเป็นกลุ่ม
ผู้อาวุโสเฮยสั่งการบางอย่างกับนายพลหนุ่มคนหนึ่ง
นายพลหนุ่มคนนั้นอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารตรงตามระเบียบและไร้ซึ่งรอยยับ เขามีผมสีดำและใบหน้าหล่อเหลา แต่กลับเย็นชาไร้อารมณ์ อีกทั้งผิวของเขาก็ยังเป็นสีทองแดงดูเย้ายวน ริมฝีปากงดงามได้รูป ปลายจมูกแหลมคม ดวงตาดำขลับของเขานั้นดูเหมือนกับผลึกแก้วอันสุกใสและเป็นประกาย
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้อาวุโสเฮยกล่าว เขาก็ดูเหมือนจะชำเลืองมองมาทางเฮ่อเหลียนเวยเวยแวบหนึ่ง
แต่สายตาพินิจพิเคราะห์นั้นทั้งงดงามและชวนให้ประหลาดใจ
“ใครจะไปคิดว่าจะมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ซ่อนอยู่ในบรรดาทหารผู้ป่าเถื่อนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการต่อสู้ด้วย” หยวนหมิงพูดขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยกอดอก แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ทำไม เจ้าชอบเขาหรือ”
“บิดานี่น่ะหรือชอบผู้ชาย!” หยวนหมิงตวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำ ”ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับ”
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน ข้าพูดผิดไป” เขาลนลานและพยายามอธิบาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดการสื่อสารทางกระแสจิตระหว่างพวกนางไป
หยวนหมิงทำได้เพียงแค่ข่วนผนังอยู่ภายในมิติสวรรค์เท่านั้น
เสี่ยวไป๋ชำเลืองมองเขาด้วยสายตาเยาะเย้ย
ร่างสองร่างกำลังสนทนากันอยู่ไกลๆ
อันที่จริงแล้วจะเรียกว่าการสนทนาก็คงไม่ถูกนัก เพราะส่วนมากนั้นเป็นผู้อาวุโสเฮยที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว
นายพลหนุ่มแทบจะไม่พูดอะไรออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่ได้มองมาที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่าสถานการณ์เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เพราะนางเคยเป็นสายลับมาก่อน
ประการแรกคือ เขาไม่ชอบนาง
ประการที่สอง เขาเป็นกุญแจสำคัญที่จะตัดสินใจว่านางจะมีสิทธิ์ในการครอบครองกองกำลังลับนี้หรือไม่
ประการที่สาม ผู้ชายคนนี้เป็นโรคคลั่งความสะอาดเหมือนองค์ชาย เครื่องแบบทหารไร้คราบสกปรกนั่นเป็นหลักฐานที่ชัดเจนทีเดียว
ประการที่สี่ เขาเป็นคนที่เข้าถึงยากเอาการ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจ นั่นคือทำไมเขาถึงมองนางด้วยสายตาเช่นนั้น สายตาของเขาดูเหมือนจะเอ่อล้นไปด้วยอารมณ์ต่างๆ ที่ผสมปนเปกัน
พวกเขารู้จักกันมาก่อนหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ทันแก้ปริศนาคาใจนี้ได้เลยด้วยซ้ำตอนที่นางได้ยินคำพูดเสียดสีว่า ”ขยะอย่างเจ้าไม่มีคุณสมบัติมาอยู่ที่นี่ รีบออกไปหาคนมาแต่งงานด้วยซะเถอะ จากนั้นก็ส่งลูกที่เจ้าคลอดออกมาให้พวกข้าเลี้ยงดูเสีย มีแต่วิธีการนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเราสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีของตระกูลเฮ่อเหลียนกลับคืนมาได้อีกครั้ง”
คนที่พูดยืนอยู่ข้างนายพลหนุ่มคนนั้น เขาสูงเกือบสองเมตร และยังมีร่างกายที่บึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ร่างของเขาแผ่บรรยากาศกดดันอันรุนแรงออกมา เห็นได้ชัดว่าใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมนั้นกำลังเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“หัวหน้าต้าสงพูดถูก แทนที่เจ้าจะมาที่นี่ สู้ส่งลูกของเจ้ามาให้พวกข้าเสียยังดีกว่า!”
“เจ้ามันก็รู้แค่ว่าต้องอยู่รอบๆ มู่หรงซื่อจื่อเท่านั้น เจ้าเคยรู้บ้างหรือเปล่าว่าพี่น้องของพวกข้าตายไปกี่คนแล้ว เจ้าไม่ใช่คนที่คู่ควรให้พวกข้าสละชีวิตให้ด้วยซ้ำ!”
“ออกไปจากที่นี่ซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า!”
เสียงเอะอะโวยวายจากการขับไล่และคำปรามาสอันเต็มไปด้วยความไม่พอใจเริ่มดังไปทั่ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนขึ้น แล้วมองไปที่ต้าสงที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง จากนั้นจึงหันมองสายตาของทหารคนอื่นๆ แต่นางไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองแต่อย่างใด
นางเข้าใจดีว่าคนพวกนี้ต้องรู้สึกผิดหวังมากเพียงใด พวกเขาทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก เพียงเพื่อต้องมาพบว่าผู้นำในอนาคตของตนนั้นเป็นเพียงแค่คนโง่เขลาเบาปัญญาที่รู้แต่วิธีเดินตามผู้ชายคนหนึ่งเป็นเงาตามตัวเท่านั้น
แต่… ”เราคงต้องสู้กันสักตั้ง จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วข้าเป็นแค่ขยะ หรือเป็นคนที่คู่ควรกับชีวิตของพวกเจ้ากันแน่”