ตอนที่ 370 ว่าจ้างช่างวิศวกร
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จในยามเช้า หลินม่ายก็ไปที่โรงงานใหม่
นำพิมพ์เขียวที่ผู้อำนวยการหลิวให้มานั้นมาให้นายช่างจางดู แล้วถามว่าพวกเขากล้าสร้างสะพานลอยต่างระดับหรือไม่
ช่างอิฐช่างกระเบื้องในสังกัดของนายช่างจางทั้งหมดต่างรุมล้อมเข้ามา พวกเขาต่างพากันส่ายหน้า แสดงออกว่าสร้างไม่ไหว ไม่รู้ว่าจะสามารถได้หรือไม่
นายช่างจางพูดขึ้น “ถึงแม้ผมจะเคยร่วมสร้างสะพานลอยต่างระดับมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ใหญ่เท่าโครงการนี้ นอกจากนี้ตอนนั้นขณะการก่อสร้างก็มีวิศวกรคอยให้คำแนะนำอยู่ในไซต์งาน”
“การดำเนินการสร้างสะพานลอยต่างระดับนั้นมีมาตรฐานและเทคนิคแตกต่างจากการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนราวฟ้ากับดิน หากไม่มีวิศวกร งานนี้พวกเราก็ไม่กล้าทำหรอกครับ”
หลินม่ายอึ้งไปเล็กน้อย แล้วถาม “คุณลุงช่วยแนะนำวิศวกรให้ฉันสักคนได้ไหมคะ?”
นายช่างจางยิ้มอย่างลำบากใจ “วิศวกรจะติดต่อกับหัวหน้าคนงานเท่านั้น เพื่อบอกเขาว่าควรจะดำเนินการก่อสร้างยังไง แล้วหัวหน้าคนงานก็จะมาบอกพวกเราอีกที”
“ช่างอิฐช่างกระเบื้องชั้นล่างสุดอย่างพวกเรา จะมีโอกาสได้คุยกับวิศวกรที่ไหนกัน? แล้วจะไปรู้จักวิศวกรได้ยังไงกันล่ะครับ?”
“เพราะฉะนั้นผมคงช่วยคุณเรื่องนี้ไม่ได้หรอก”
“อีกอย่างวิศวกรพวกนั้นต่างก็มีการจัดทำแผนงาน เงินเดือนสูงลิบลิ่ว การว่าจ้างพวกเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะจ้างมาได้”
ขณะหลินม่ายกำลังครุ่นคิดว่าควรจะว่าจ้างวิศวกรที่มีประสบการณ์มาจากที่ไหนดี ก็ได้ยินนายช่างจางบอกกับเธอ ว่าโรงงานหัตถกรรมทำเครื่องประดับผมตั้งแต่หน้าร้านจนถึงห้องปฏิบัติงานตามที่เธอต้องการนั้น ไม่เพียงปรับปรุงใหม่เสร็จแล้ว ยังตกแต่งให้เรียบร้อยแล้วด้วย
หลินม่ายจึงลองไปดู ไม่เพียงแค่ทำตามที่เธอร้องขอเท่านั้น ยังเติมลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น(1) ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านหรือว่าห้องปฏิบัติงาน ต่างก็สร้างชั้นลอยขึ้นมาอีกด้วย
นายช่างจางพูดอธิบายอยู่ข้างๆ “ผมเห็นว่าสองห้องนี้มีพื้นที่ว่างถึงเพดานสูงมาก จึงเพิ่มชั้นลอยเข้าไป จะได้สะดวกต่อการเก็บสิ่งของ ไม่ต้องสิ้นเปลืองพื้นที่ภายในห้อง”
หลินม่ายพยักหน้า “เยี่ยมเลยค่ะ”
โรงหัตถกรรมเครื่องประดับผมก็ปรับปรุงเสร็จแล้ว เหยาเยี่ยนกับหงซิ่วเหมยเองก็อบรบพนักงานผู้พิการเสร็จเรียบร้อยแล้ว โรงหัตถกรรมก็สามารถเปิดกิจการได้แล้ว
หลินม่ายไปที่โรงงานเสื้อผ้ายูนีค ให้เถาจืออวิ่นจัดเตรียมคนไปซื้อโต๊ะเก้าอี้ ให้เป็นโต๊ะทำงานของพนักงานผู้พิการ และยังต้องจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ สำหรับทำหมวกเช่น เข็มด้ายและกรรไกร ให้พวกเขาด้วย
นอกเหนือจากนี้ ยังต้องสั่งทำป้ายหน้าร้าน และซื้อพวกหนังยางมัดผมกิ๊บติดผมและที่คาดผมด้วย
สิ่งของสองสามอย่างนี้จำเป็นต้องสั่งทำ จึงต้องไปติดต่อกับโรงงาน
ต่อไปงานที่เธอไม่จำเป็นต้องไปทำด้วยตัวเองพวกนี้ เธอจะมอบหมายให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาทำทั้งหมด
เธออยากจะแบ่งเวลามาทบทวนบทเรียนชั้นมัธยมปลายปี1ให้มากที่สุด พยายามเพื่อที่จะข้ามชั้นไปเรียนปี2 ทันทีในเดือนกันยายน
ทว่าเมื่อออกมาจากห้องทำงานของเถาจืออวิ๋น หลินม่ายก็ไม่ได้รีบกลับบ้าน แต่ไปที่สถาบันออกแบบจงหนาน
สถาบันออกแบบจงหนานเป็นสถาบันออกแบบเลื่องชื่อที่สุดในเมืองเจียงหนาน ภายในนั้นมีสถาปนิกแนวหน้าและวิศวกรสร้างสะพานไม่น้อย การว่าจ้างวิศวกรสร้างสะพานที่ปลดเกษียณมาสักคนก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อมาถึงสถาบันออกแบบ หลินม่ายก็มาหาหัวหน้าฝ่ายบุคคลทันที
เมื่อหัวหน้าฝ่ายบุคคลนั้นเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้าทั้งยังเด็ก แถมบนใบหน้าก็ยังประดับรอยยิ้มประจบเอาใจ จึงรู้ว่าเธอต้องการขอให้เขาช่วยทำอะไรบางอย่าง ด้วยเหตุนี้จึงวางอำนาจอย่างเต็มที่
หล่อนจีบปากจีบคอถาม “สหายน้อยท่านนี้มาหาฉันมีธุระอะไรเหรอคะ?”
หลินม่ายเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐเป็นอย่างดี เธอจึงยัดซองแดงจำนวน 100 หยวนซองหนึ่งให้กับหัวหน้าฝ่ายบุคคล
แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพนอบน้อม “ฉันอยากให้คุณช่วยแนะนำวิศวกรสร้างสะพานปลดเกษียณที่สุขภาพร่างกายยังดี และมีประสบการณ์มากมายให้กับฉันสักสองสามคนค่ะ คุณคิดว่าพอจะหาได้ไหมคะ?”
วิศวกรปลดเกษียณที่มีประสบการณ์มาก แต่สุขภาพร่างกายไม่ไหว เธอก็ไม่กล้าเอามาหรอก ถึงจะให้ควักค่ารักษาพยาบาลให้เขาแทบทุกวันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การก่อสร้างสะพานลอยต่างระดับที่ต้องล่าช้าไปต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่
ครั้งนี้หากไม่สามารถดำเนินการสร้างสะพานต่างระดับให้เสร็จสมบูรณ์อย่างสวยงามได้ คราวต่อไปผู้อำนวยการหลิวคงจะไม่มอบโครงการพัฒนาเมืองให้เธออีก
ถ้ามีเงินจะปลุกผีขึ้นมาโม่แป้งก็ยังได้ เมื่อหัวหน้าฝ่ายบุคคลได้รับซองแดงไปแล้วก็กระตือรือร้นขึ้นมาในฉับพลัน พูดอย่างรวดเร็ว “เรื่องเล็กน้อย จะไม่ได้ได้ยังไงกันคะ”
หล่อนแนะนำวิศวกรแนวหน้าที่ปลดเกษียณแล้วและสุขภาพไม่เลวให้หลินม่ายสิบคน
หลินม่ายถือใบรายชื่อ อีกทั้งที่อยู่ของครอบครัววิศวกรแต่ละคนที่หัวหน้าฝ่ายบุคคลให้มา แล้วจึงไปยังเขตพื้นที่บ้านพักอาศัยของสถาบันออกแบบ
อันดับแรกเธอไปที่บ้านเก่าของเจิ้งเอินตงรายชื่ออันดับหนึ่ง ผู้เข้าตาหัวหน้าฝ่ายบุคคลก่อน
ในยุคนี้ อย่าว่าแต่เมืองเจียงเฉิงเลย แม้แต่อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติก็ยังไม่เกินขึ้นเลย โครงการพัฒนาเมืองอย่างเป็นทางการก็มีไม่มากนัก
ถึงแม้จะมี วิศวกรที่กำลังปฏิบัติงานเหล่านั้นก็ยังแบ่งกันทำไม่พอ ไม่มีทางตกมาถึงวิศวกรปลดเกษียณได้เลย
เพราะฉะนั้นโดยพื้นฐานแล้ววิศวกรปลดเกษียณจึงไม่มีโอกาสได้รับการว่าจ้างได้เลย
ตอนที่หลินม่ายมาถึงบ้านตระกูลเจิ้ง แล้วบอกถึงจุดประสงค์ในการมา จึงทำไมผู้อาวุโสเจิ้งดีใจอย่างมาก พลันตกปากรับคำในทันที
ความรู้ความสามารถทั้งหมดของเขา ตั้งแต่เกษียณมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อีกเลย ในใจจึงรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
เมื่อหลินม่ายว่าจ้างพวกเขา เขาก็ราวกับได้สมปรารถนาโดยไม่คาดฝัน พลันตะโกนให้ภรรยารีบไปซื้อปลาซื้อเนื้อกลับมา ต้อนรับแขกคนสำคัญกินอาหารเที่ยง
หลินม่ายม่ายรีบยั้งเอาไว้ บอกว่าตอนเที่ยงเธอต้องกลับไปทำอาหารให้ครอบครัว ไม่สามารถกินมื้อเที่ยงกับพวกเขาได้ ขอให้คุณยายอย่ารีบร้อน
แล้วจึงหยิบพิมพ์เขียวออกมาให้ผู้อาวุโสเจิ้งดู ถามเขาว่าเขากล้ารับงานสะพานลอยต่างระดับบนพิมพ์เขียวหรือไม่
ผู้อาวุโสเจิ้งหัวเราะ “สะพายลอยต่างระดับที่ซับซ้อนกว่านี้เมื่อก่อนฉันก็สร้างมาแล้ว แค่นี้น่ะเด็กๆ !”
เมื่อนั้นหลินม่ายถึงวางใจ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “คุณตอบตกลงโดยที่ไม่ถามแม้แต่ว่าฉันจะให้ค่าแรงเท่าไหร่เลย ไม่กลัวฉันกดค่าแรงคุณต่ำเกินไปเหรอคะ?”
ผู้อาวุโสเจิ้งหัวเราะฮ่าๆ สามสี่ครั้ง “เงินจะมากจะน้อยก็ช่างมันเถอะ มีงานให้ทำก็พอแล้ว ให้ว่างต่อไปแบบนี้ ฉันก็คงจะขึ้นรา ตามร่างกายต้องมีเห็ดดอกเล็กๆ งอดขึ้นมาแน่”
ภรรยาของผู้อาวุโสเจิ้งยิ้มพลางพูดขึ้นข้างๆ “ต่อให้จะน้อยแค่ไหน ยังน้อยหนูก็ต้องให้ค่าแรง 30 หยวนอยู่แล้วนี่นา”
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าฉันให้เงินเดือนผู้อาวุโสเจิ้งน้อยขนาดนั้น น่ากลัวว่าถูกฟ้าผ่าเอาน่ะสิคะ ยังไงก็ต้องให้เงินเดือน 100 หยวน ไม่นับรวมโบนัสค่ะ”
ผู้อาวุโสตระกูลเจิ้งทั้งสองได้ยินก็พลันดีอกดีใจขึ้นมา ค่าแรงขนาดนี้ให้ไม่น้อยเลย
หลังจากเซ็นสัญญาจ้างกับผู้อาวุโสเจิ้งแล้ว หลินม่ายก็ไปที่ตลาดสดฝูตัวตัว
ส่วนวิศวกรคนอื่นๆ นั้นเธอไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมเยือนแล้ว
คนเหล่านั้นล้วนเป็นบุคลากรสำรอง ถ้าหากเจรจากับผู้อาวุโสเจิ้งไม่ลงตัว ถึงจะไปเยี่ยมเยือนพวกเขา
ตอนนี้ในเมื่อเซ็นสัญญากับผู้อาวุโสเจิ้งแล้ว หากไปหาพวกเขาต่อแล้วไม่ได้ว่าจ้าง ก็จะเป็นการผิดคุณธรรมเกินไป
ทว่าเมื่อธุรกิจก่อสร้างของเธอเติบโตขึ้นแล้ว ก็อาจจะพิจารณาว่าจ้างใครบางคนในบรรดาบุคลากรสำรองเหล่านี้อีกครั้ง
เฉินเฟิงเอนตัวอย่างไม่มีอะไรทำอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน เมื่อเห็นหลินม่ายมา เขาถึงได้ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงและถาม “เธอมาได้ยังไงน่ะ? มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า?”
“แน่นอนว่ามีธุระกับนายน่ะสิ” หลินม่ายเหลือบมองเหลียนเฉียวที่อยู่อีกด้าน ก่อนจงใจพูดอย่างมีเลศนัย “ไม่มีธุระอะไรฉันคงไม่กล้ามาหานายหรอก จะได้ไม่มีคนมาหาว่าฉันให้ความหวังนาย!”
เหลียนเฉียวโดนเธอแขวะจนหน้าแดงเถือก แต่กลับไม่สามารถตอบโต้ได้ ทำได้เพียงถลึงตาใส่เท่านั้น
หลินม่ายไม่สนใจสีหน้าที่โกรธจนแดงเป็นตับหมูของเธอ แล้วหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้นมา โทรไปยังสำนักงานของผู้อำนวยการหลิว
บอกกับเขาว่า เธอได้ว่าจ้างวิศวกรสร้างสะพานที่มากประสบการณ์มาคนหนึ่งแล้ว เธอกล้ารับทำโครงการก่อสร้างสะพานลอยต่างระดับนั้น
ผู้อำนวยการหลิวบอกในสายว่าให้เธอมาเซ็นสัญญาที่ห้องทำงานของเขาตอนบ่าย
หลินม่ายจึงถือโอกาสบอกเขาไปด้วย ว่าคนที่จะไปเซ็นสัญญากับเขานั้นไม่ใช่เธอ แต่เป็นเฉินเฟิงคู่หูของเธอ
พร้อมกับอธิบายเหตุผลที่ส่งเฉินเฟิงไปเซ็นสัญญา
แม้ว่าผู้อำนวยการหลิวจะเป็นผู้อำนวยการงานพัฒนาเมือง จะมอบโครงการก่อสร้างให้ใครทำแค่เขาพูดก็ถือเป็นอันจบ
ขอแค่ผู้รับเหมารับประกันคุณภาพปริมาณและเวลาที่ทำงานเสร็จสมบูรณ์ก็พอแล้ว
แต่หลินม่ายนั้นไตร่ตรองแทนเขาอย่างละเอียดรอบคอบ และยังทำให้เขารู้สึกค่อนข้างซาบซึ้งอีกด้วย
หลังจากวางสาย หลินม่ายหันมองไปยังเฉินเฟิง “รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันอยากให้นายทำอะไร”
เฉินเฟิงพยักหน้า “รู้แล้ว”
หลินม่ายไม่มีคำพูดอะไรเพิ่มเติมแม้แต่คำเดียว แล้วกำลังจะเดินออกไป
เฉินเฟิงพลันเรียกเธอเอาไว้ก่อน “งานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์จะจัดเมื่อไหร่เหรอ?”
ช่วงนี้นอกจากหลินม่ายจะยุ่งเรื่องธุรกิจแล้ว ก็หมกมุ่นอยู่กับการเรียน จนลืมเรื่องนี้ไปจากสมองนานแล้ว
พอเฉินเฟิงพูดขึ้นมา เธอถึงนึกขึ้นได้
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูด “อีกไม่กี่วันหรอก หลายวันมานี้ยุ่งๆ น่ะ”
พลันถามอีกครั้ง “นายอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ของฉันด้วยเหรอ?”
เฉินเฟิงถามกลั้วหัวเราะ “ฉันมีคุณสมบัติไม่พอเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” หลินม่ายอธิบาย “เดิมทีฉันแค่วางแผนว่าจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณครูง่ายๆ สักโต๊ะ เชิญคุณปู่คุณย่าฟางมากินข้าวกันสักมื้อเท่านั้นเอง
ในเมื่อนายอยากร่วมด้วย งั้นฉันจะนับรวมพวกอาจารย์กับพวกพี่เถาด้วย จัดงานเลี้ยงสักสองโต๊ะ ตอนนั้นฉันจะเรียกนายมาด้วยนะ”
เฉินเฟิงเอ่ยตอบรับ ก่อนแอบแตะกล่องเรียวยาวในกระเป๋ากางเกงของตนที่ใส่ปากกาปาร์คเกอร์(2)เอาไว้
ในที่สุดของขวัญชิ้นนี้ก็มีโอกาสได้ให้ไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย
————————————————————————————————
(1)เติมลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น หมายถึงการพยายามเสริม เติมแต่งลงในสิ่งที่เดิมก็สวยอยู่แล้วให้งดงามยิ่งขึ้น
(2)ปากกาปาร์คเกอร์ (PARKER PEN) เป็นหนึ่งในแบรนด์ปากกาชั้นนำที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงระดับโลก