เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าผู้อาวุโสเฮยมองมาที่นางด้วยใบหน้าเคร่งเครียด นางจึงเริ่มพูดต่อ ”คืนหนึ่งตอนที่ข้ากำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ทันใดนั้นข้าก็ฝันถึงเซียนท่านหนึ่ง เซียนท่านนั้นบอกกับข้าว่าข้ามีร่างกายที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก และยังมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้นในอนาคตข้าย่อมได้เป็นใหญ่เหนือผู้ใดอย่างแน่นอน จึงแบ่งปันวิธีการสร้างปืนพวกนี้ให้กับข้า และขอให้ข้าสัญญาว่าจะไม่นำเรื่องนี้ไปบอกใคร มิฉะนั้นข้าจะถูกลงโทษ!”
พอพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยิบถ้วยชาของตัวเองขึ้นมาจิบเล็กน้อย
หลังจากนั้นผู้อาวุโสเฮยจึงถอนหายใจ ”นับว่าเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์จริงๆ”
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มแทนคำตอบเหมือนเช่นเคย
ชื่อเหยียนเพียงส่งเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา ตอนที่เขาขยับตัวเข้ามาเพื่อคืนปืนให้กับนาง เขาก็กระซิบกับนางว่า ”ไม่ได้พบเจ้าเพียงแค่ไม่กี่ปี เจ้าโกหกเก่งขึ้นมากทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นมองดวงตาเรียวรีที่กำลังจ้องมองนางอยู่อย่างเย็นชา แล้วพูดติดหัวเราะว่า ”เจ้าก็หล่อขึ้นมากเหมือนกัน”
ทันใดนั้นชื่อเหยียนก็หยุดเคลื่อนไหว ดวงตาเจ้าเล่ห์ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิดเมื่อเขาเห็นต้นคอเรียวของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าชื่อเหยียนคิดอะไรอยู่ นางเอ่ยต่อ ”ปืนสั้นแบบเดียวกันกับที่พวกข้ามีอยู่ในเวลานี้สามารถยิงกระสุนได้เพียงครั้งละหนึ่งนัดเท่านั้น แต่หลังจากนี้ข้าจะให้คนนำพิมพ์เขียวของปืนที่สามารถยิงกระสุนได้ต่อเนื่องหลายนัดมาให้ท่าน แต่เนื่องจากว่าการออกแบบและการผลิตปืนจำพวกนั้นค่อนข้างยากลำบากพอสมควร ดังนั้นพวกข้าจึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเฮย”
ผู้อาวุโสเฮยประหลาดใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แค่การสร้างปืนนั้นก็นับว่าน่าตกตะลึงมากพอแล้ว แต่นางกลับสามารถออกแบบปืนที่ยิงกระสุนต่อเนื่องกันหลายนัดได้อีกด้วย ช่างเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งยิ่งนัก!
นางเคยเป็นลูกหลานของตระกูลเฮ่อเหลียนที่เขาไม่ชอบหน้าแท้ๆ
แต่เขามีความรู้สึกว่าในอีกสิบปี… ไม่สิ! อีกร้อยปี!
หลังจากนี้แม้จะผ่านไปร้อยปี แต่เรื่องนี้ก็จะยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของทุกคนในตอนที่พวกเขาเอ่ยถึงกองกำลังลับขึ้นมาอีกครั้ง!
นี่มันสุดยอดจริงๆ!
ผู้อาวุโสเฮยตั้งสติ นิ้วของเขากำรอบหัวไม้เท้ารูปมังกรของตน ”เวยเวย ท่านตาของเจ้าที่อยู่อีกโลกหนึ่งจะต้องรู้สึกภูมิใจยิ่งนักหากเขาได้เห็นความสำเร็จของเจ้า ไม่ต้องเป็นห่วง หากข้าได้พิมพ์เขียวมาเมื่อใด ข้าจะสั่งให้พวกเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อสร้างพวกมัน!”
จากนั้นทั้งสามก็พูดคุยเรื่องธุรกิจต่างๆ ร่วมกันต่ออีกครู่ใหญ่
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ลืมข้อตกลงของตนกับเจ้าสำนัก ดังนั้นนางจึงต้องกลับไปก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
ตอนที่นางกำลังจะกลับไป จู่ๆ ชื่อเหยียนก็ยื่นมือออกมาจับคอเสื้อของนาง ก่อนจะดึงมันขึ้นเล็กน้อย
แม้มันจะเป็นเพียงแค่การสัมผัสเพียงเล็กน้อย แต่การกระทำของเขานั้นก็ยังคงดูคลุมเครือและแปลกยิ่งนัก โดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าทุกคน
เฮ่อเหลียนเวยเวยกะพริบตา ระหว่างทางกลับบ้าน นางอดถามผู้อาวุโสเฮยขึ้นมาไม่ได้ว่า ”คุณชายใหญ่ชื่อคนนั้นไม่ได้แอบชอบข้าจริงหรือ”
“แค่กๆ!” ผู้อาวุโสเฮยสำลักอีกครั้ง เขาไม่อยากบั่นทอนความมั่นใจของเด็ก แต่บางสิ่งนั้นก็ควรจะพูดออกมาให้ชัดเจน ”เวยเวย เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว เขา เขาก็แค่ชอบคนที่มีผิวพรรณงดงามเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบว่า ”โอ้ อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นรสนิยมของเขาก็จัดว่าเลวร้ายทีเดียว”
ผู้อาวุโสเฮย : …
ทั้งสองพูดคุยกันมาตลอดทางจนกระทั่งถึงจวนตระกูลเฮย
คุณชายรองเฮยผู้แสนเอาแต่ใจเพิ่งทุ่มเทแรงกายทั้งหมดไปกับการหนีออกมาจากห้องของตัวเอง แต่ทันทีที่เขากระโดดออกมา เขาก็ร่วงลงมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสเฮยพอดิบพอดี อีกฝ่ายจ้องมองเขาด้วยสายตาลึกล้ำอันหาที่เปรียบมิได้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเพื่อนที่โง่เขลาของนางที่กำลังตกอยู่ในอารารตกใจสุดขีด และพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้อย่างเต็มที่
เฮยเจ๋อเป็นคนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่นมาตั้งแต่เขายังเด็ก เขาจึงทำเพียงหัวเราะขึ้น ”ท่านตา ตอนนี้ท่านอาจจะขังข้าเอาไว้ได้ แต่ท่านไม่มีทางขังข้าไว้ในนั้นได้ตลอดไปหรอก แทนที่จะฝืนใจบังคับให้ข้าแต่งงานตอนนี้ ทำไมไม่ให้ข้าไปหาเงินแทนล่ะ อย่างไร้เสียเจ้าพวกนี้ก็ไม่มีทางรั้งข้าเอาไว้ได้อยู่แล้ว”
ขณะที่พูด เขาก็แกว่งแขนไปมา โซ่เหล็กจำนวนหลายเส้นร่วงกราวลงกับพื้นจนเกิดเป็นเสียงดังเคร้ง
เฮยเจ๋อปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุมของตน สีหน้าเจ้าชู้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ผู้อาวุโสเฮยมองเขาพร้อมกับนวดขมับราวกับกำลังรู้สึกปวดหัว ”พอเถอะ หลายวันมานี้ข้ายังไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยสักวัน เจ้ากลับไปที่สำนักและคอยดูแลเวยเวยก็แล้วกัน”
“เวยเวยหรือ” เฮยเจ๋อเลิกคิ้ว ท่านตาของเขาเป็นกันเองถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หึๆ มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
ผู้อาวุโสเฮยทำเพียงโบกมือให้กับเขา ”ไปเถอะ”
“ข้าขอตัว” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้อยู่นานเกินความจำเป็น เพราะอย่างไรนางก็มีนัดอยู่
ทันทีที่พวกนางเข้ามานั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน และตะเกียงถูกจุดขึ้น เฮยเจ๋อจึงย่อมสังเกตเห็นบางสิ่งที่คนอื่นไม่ทันสังเกตได้โดยง่าย เขาถามว่า ”เกิดอะไรขึ้นกับคอเจ้า”
คอหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นจับคอตัวเอง พร้อมกับหันข้างมองเงาสะท้อนในกระจกสัมฤทธิ์
ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เห่อร้อนไปทั้งหน้า
นางนึกถึงสายตาติดจะเย็นชาของชื่อเหยียนตอนอยู่ในค่ายทหารขึ้นมา
นางตระหนักได้ในเวลานั้นนั่นเองว่าทุกอย่างล้วนแต่เป็นความผิดขององค์ชายที่ทิ้งร่องรอยของตัวเองเอาไว้!
“รอยนี่ดูไม่เหมือนรอยยุงกัดนะ” เฮยเจ๋อแสดงความคิดเห็นด้วยดวงตาล้อเลียน แต่เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
เขารู้ดีว่าองค์ชายสามแห่งราชวงศ์นั้นเป็นคนเช่นใด เขาดูเย็นชาห่างเหินทั้งภายนอกและภายใน แม้เขาจะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างสุภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่เคยให้ความสนิทสนมกับผู้ใด
เขายังมีหลักการเป็นของตัวเอง และจะไม่ต่อปากต่อคำกับใครทั้งสิ้น แต่เราก็สามารถสัมผัสถึงความไม่พอใจ และความกดดันที่เขาเผลอปล่อยออกมากดเราอย่างไม่ตั้งใจได้… ดังนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้จึงทำให้แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังไม่กล้าที่จะยั่วโมโหเขาเลยด้วยซ้ำ
ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะอภิเษกสมรสกับองค์ชายสาม เฮยเจ๋อกลัวว่านางจะกลายเป็นหมากของเขา เพราะนางไม่มีตระกูลที่มีอำนาจคอยสนับสนุน
เขาคิดว่าองค์ชายสามอภิเษกสมรสกับนางเพราะแรงกดดันจากอดีตฮ่องเต้
แต่พฤติกรรมขององค์ชายสามที่มีให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นก็ถึงกับทำให้เขาต้องอ้าปากค้าง องค์ชายสามเป็นโรคคลั่งความสะอาดอย่างรุนแรง และแน่นอนว่าย่อมเกลียดการสัมผัสทางร่างกายกับคนอื่น แต่เฮยเจ๋อจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาจะกล้าทิ้งรอยจูบเอาไว้บนคอของคนอื่นอย่างใจกล้าเช่นนี้… มันเป็นการกระทำที่ใจกล้ายิ่งนัก เขาทำราวกับว่านางคือทรัพย์สินส่วนตัวของเขา
มีหลายคนบอกว่าองค์ชายสามยอมเดินเข้าห้องหอในคืนแต่งงานเพียงเพราะต้องการรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีของเฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่องค์ชายรู้จักเอาความคิดของคนอื่นมาใส่ใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ในสถานการณ์ส่วนใหญ่นั้น เขาก็มักจะทำตัวตามอำเภอใจอยู่แล้ว!
องค์ชายสามเป็นฝ่ายเริ่มเพราะเขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วหรือ
จากนั้นเฮยเจ๋อก็มองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความเห็นใจ การถูกผู้ชายอย่างองค์ชายสามเลือกนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ทรมานยิ่งกว่าการตกเป็นหมากของเขาเสียอีก มิหนำซ้ำยังถูก ’ตีตรา’ ก่อนออกจากห้องเสียด้วย...
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นสายตาของเฮยเจ๋อ และรู้ได้ทันทีว่าเขาเดาเรื่องทุกอย่างได้แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คิดที่จะปิดบังอีก นางเลิกคิ้วขึันเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า ”จากประสบการณ์ของเจ้า ต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่ารอยนี้จะหายไปหรือ” นางคงเที่ยวเดินไปเดินมาอยู่ในสำนักทั้งที่มีรอยจูบอยู่บนคอไม่ได้
“ถ้าดูจากแรงที่เขาใช้ อย่างน้อยน่าจะใช้เวลาสักสองสามวัน” เฮยเจ๋อเหยียดยิ้ม
เฮ่อเหลียนเวยเวยตวัดสายตามองเขา ”ดูเหมือนว่าข้าคงต้องซื้อเสื้อคลุมที่คอเสื้อสูงๆ มาใส่เสียแล้ว”
“พาองค์ชายสามไปกับเจ้าด้วย ให้เขาเป็นคนจ่าย” เฮยเจ๋อว่า เฮ่อเหลียนเวยเวยพอใจกับคำพูดของเขาทีเดียว
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงจุดที่พวกเขาต้องแยกทางกัน
คาดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกระโดดลงจากรถม้า นางจะบังเอิญพบกับอวิ๋นปี้ลั่วและคนอื่นๆ ที่เพิ่งกลับมาถึงสำนักเข้าพอดี