ค่ำคืนมาเยือน ภายในค่ายทหารยังคงสว่างเหมือนกลางวัน ทุกหนแห่งล้วนควบคุมอย่างเข้มงวด ทุกบริเวณล้วนมีกองกำลังทหารและม้าเดินขวักไขว่ นอกจากกองกำลังทหารและม้าแล้ว ยังมีขุนนางบุ๋นจำนวนไม่น้อยเดินทางมา
องค์รัชทายาทเสด็จมาอย่างรีบร้อนภายใต้การอารักขาของขบวนองครักษ์หลวงและขันที
เมื่อเห็นองค์รัชทายาทเสด็จมา ขุนนางบุ๋นและบู๊ภายในค่ายทหารต่างออกมาต้อนรับ องค์ชายสามอยู่ด้านหน้าสุด
องค์รัชทายาทกระโดดลงจากหลังม้า ถามขึ้นทันที “เกิดอันใดขึ้น ไต้ฟูหายาดีได้แล้วไม่ใช่หรือ”
องค์ชายสามพูดเสียงเบา “เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน พวกเราเพิ่งเดินทางมาถึงค่ายทหาร ยังไม่ได้พบท่านแม่ทัพ ก็…”
ส่วนที่เหลือเขาไม่ได้พูดออกมา
องค์รัชทายาทคิดในใจ แม่ทัพหน้ากากเหล็กจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน มีองค์ชายสามอยู่ในเหตุการณ์ ย่อมต้องทนรับความโกรธของฮ่องเต้ จากนั้นมองสีหน้าซีดเผือดขององค์ชายสาม ทั้งเข้าใจทั้งดีใจ เขาไม่ถามมาก เพียงแค่ตบไหล่ขององค์ชายสามเป็นการปลอบ
องค์ชายสามพาเขาเดินเข้าไปข้างใน พลางถาม “เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง” ก่อนจะอดมองออกไปด้านนอกค่ายทหารไม่ได้ ค่ำมืดแล้ว แสงคบเพลิงสว่างไสวจากทิศทางของค่ายทหารไปยังเมืองหลวง ราวกับปูเป็นทางช้างเผือก
ราชรถของฮ่องเต้ยังไม่เสด็จมาเสียที
ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าท่านแม่ทัพป่วย ฮ่องเต้รีบเสด็จมาพักในค่ายทหารทันที เวลานี้ได้ยินข่าวร้าย คงจะเสียใจเกินกว่าที่จะเสด็จมา
องค์รัชทายาทถอนหายใจเสียงเบา “ก่อนโจวเสวียนมาถึง มีคนในค่ายทหารมาทูลรายงานก่อนแล้ว ฝ่าบาททรงขังตัวเองไว้ในตำหนักบรรทม แม้แต่โจวเสวียนมายังไม่อาจเข้าไปได้ มีเพียงดาบทองเล่มหนึ่งถูกส่งออกมา”
องค์ชายสามเดินตามองค์รัชทายาทมาถึงหน้ากระโจมของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ก่อนจะหยุดลง
“ท่านเข้าไปดูท่านแม่ทัพเถิด” เขาพูดเสียงเบา “ภายในใจข้าไม่อาจทนรับได้ คงไม่เข้าไปแล้ว”
องค์รัชทายาทมองกระโจมแม่ทัพหน้ากากเหล็ก มีโจวเสวียนถือดาบยืนอยู่ เขาจึงไม่ได้บังคับอีกฝ่าย
โจวเสวียนเห็นองค์รัชทายาทจึงเดินเข้าไปโน้มตัวคำนับ
องค์รัชทายาทถามเสียงแผ่ว “เกิดอันใดขึ้น” โจวเสวียนเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง “เจ้าไม่ได้ทำเรื่องโง่เขลาใช่หรือไม่”
สายตาขององค์รัชทายาททั้งกังวลทั้งสับสน แต่ก็มีความแน่วแน่ แม้จะเป็นเขาก็อย่าได้กลัว ถึงแม้จะเจ็บปวดใจและตกตะลึงเพียงใด เขาก็ยังจะปกป้องอีกฝ่าย…
โจวเสวียนพูดเสียงเบา “ข้ายังไม่มีโอกาส ท่านแม่ทัพอดทนต่อไม่ไหวเอง”
องค์รัชทายาทตบไหล่เขา น่าเสียดาย มีจุดอ่อนอยู่ในมือควบคุมได้ง่ายกว่าไม่มี
“องค์รัชทายาทเข้าไปดูเถิด” โจวเสวียนกล่าว ตนเองเดินนำหน้าไปหนึ่งก้าว ไม่ได้บอกว่าไม่เข้าไปเหมือนองค์ชายสาม
มองท่าทางโจวเสวียนถือดาบคุ้มกันเขา ภายในดวงตาขององค์รัชทายาทฉายแววซาบซึ้งและพอใจ แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่มีทางเคารพเขาเช่นนี้ เด็กหนุ่มยังคงดีกว่า
องค์รัชทายาทบอกให้ขันทีและองครักษ์หลวงรออยู่ด้านนอกกระโจม ตนเองเดินตามโจวเสวียน เมื่อเห็นม่านกระโจมที่ถูกฉีกขาด จึงถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า “ถึงแม้ทุกคนกำลังโกลาหลและโศกเศร้า แต่ท่านแม่ทัพย่อมไม่อยากเห็นเหตุการณ์เช่นนี้” เขาสั่งทหารที่อยู่ด้านนอกประตู “เปลี่ยนม่านให้ดี เมื่อฝ่าบาทเสด็จมาเห็นจะได้ไม่ทรงโกรธ”
เหล่าทหารตอบรับ
องค์รัชทายาทลูบไล้ม่านที่ฉีกขาดแผ่วเบา ก่อนจะเดินเข้าไป ทันทีที่เดินเข้ากระโจม เขาก็เห็นว่านอกจากโจวเสวียนแล้ว ยังมีอีกคนอยู่ด้านใน หญิงสาว…
เฉินตันจู
เฉินตันจูนั่งคุกเข่าไม่ขยับ ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าผู้ใดเข้ามา องค์รัชทายาทคิดภายในใจ แม้จะเป็นฮ่องเต้เสด็จมา นางก็คงมีท่าทีเช่นนี้…เฉินตันจูกำเริบเสิบสานเพียงนี้ก็เพราะชายชราที่นอนอยู่บนเตียงผู้นั้น
องค์รัชทายาทไม่มองเฉินตันจูอีก สายตาของเขาจับจ้องไปบนเตียง เขาเดินไปเปิดหน้ากากของท่านแม่ทัพขึ้น
“นับแต่การจากลาอย่างรีบร้อนคราก่อน กลับกลายเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบท่านแม่ทัพ” เขาพึมพำ มองเฉินตันจูที่นั่งอยู่ราวกับท่อนไม้อยู่ด้านข้าง น้ำเสียงเย็นชา “คุณหนูตันจูโปรดระงับความเสียใจ คุณหนูสี่ตระกูลเหยาที่เดินทางร่วมกับท่านตายไปแล้ว แต่ท่านยังมีชีวิตกลับมาพบร่างของท่านแม่ทัพ ถือว่าโชคดีแล้ว”
อาจเป็นเพราะภายในกระโจมมีคนตายหนึ่งคน คนเป็นสองคนสำหรับองค์รัชทายาทล้วนไม่มีภัยคุกคามใด เขาไม่แสดงความโศกเศร้าออกมาแม้แต่น้อย
เฉินตันจูหันไปมองเขา พูดพร้อมยิ้มอย่างมีนัย “หม่อมฉันยังดี เดิมทีหม่อมฉันก็เป็นคนที่โชคร้ายอยู่แล้วเพคะ มีท่านแม่ทัพหรือไม่ล้วนเหมือนกัน หากแต่องค์รัชทายาทถึงต้องระงับความเศร้า เมื่อไม่มีท่านแม่ทัพแล้ว องค์รัชทายาทคง…” นางส่ายหัว สายตาเสียดสี “น่าสงสาร”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว โจวเสวียนพูดเสียงต่ำอยู่ด้านข้าง “เฉินตันจู ใต้เท้าหลี่ยังรอพาท่านไปคุกหลวงอยู่ด้านนอก”
เฉินตันจูมองเขาด้วยรอยยิ้มเสียดสี “ท่านโหวโจวปกป้ององค์รัชทายาทเสียจริง”
นางกำลังเสียดสีที่โจวเสวียนเป็นคนของตนเองหรือ องค์รัชทายาทพูดเสียงเรียบ “คุณหนูตันจูพูดผิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นท่านแม่ทัพหรือผู้อื่น พวกเขาล้วนปกป้องต้าเซี่ยด้วยหัวใจ”
ส่วนเขาก็คือต้าเซี่ย
หญิงสาวผู้นี้คิดว่ามีแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นที่พึ่งจะสามารถมองไม่เห็นนายแห่งตำหนักบูรพาอย่างเขาได้จริงหรือ นางเป็นศัตรูกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พระราชโองการออกมาแล้วยังกล้าฆ่าคน เวลานี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายแล้ว สู้ให้นางตามอีกฝ่ายไป…
ภายในดวงตาขององค์รัชทายาทฉายแววอาฆาต
“องค์รัชทายาท” โจวเสวียนพูด “ฝ่าบาทยังไม่เสด็จมา เหล่าทหารภายในค่ายจิตใจว้าวุ่น ข้าว่าท่านไปปลอบประโลมพวกเขาเสียก่อนเถิด”
ถึงเวลาต้องเรียกคืนหัวใจของกองกำลังแล้ว องค์รัชทายาทย่อมรู้ เขาเหลือบมองเฉินตันจู เมื่อไม่มีแม่ทัพหน้ากากเหล็กแทรกแซง การบีบนางให้ตายก็เป็นเรื่องง่าย…อาทิฉวยโอกาสที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กลาโลก ฮ่องเต้สั่นคลอน หาโอกาสเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทลงโทษเฉินตันจู
องค์รัชทายาทไม่สนใจที่จะมองคนใกล้ตายผู้นี้อีก เขาหันหลังเดินออกไป โจวเสวียนก็ไม่ได้มองเฉินตันจูอีก เขาเดินตามอีกฝ่ายออกไป
เฉินตันจูก็ไม่ได้มองพวกเขา นางฟังเสียงเกราะที่กระทบกันจากฝูงชนที่อยู่นอกกระโจม เหล่าทหารแม่ทัพคำนับองค์รัชทายาท จากนั้นเป็นเสียงสะอื้นขององค์รัชทายาท จากนั้นทุกคนต่างโศกเศร้า
เฉินตันจูไม่สนใจเสียงเอะอะเหล่านั้น นางมองร่างของชายชราที่ราวกับกำลังนอนหลับอย่างสงบบนเตียง หน้ากากบนใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย…ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาทเปิดหน้ากากดู ตอนวางลงไม่ได้วางให้ดี
นางคุกเข่าเดินขึ้นหน้าไป ยื่นมือจัดวางหน้ากากให้ตรง พินิจมองชายชราผู้นี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไร้ชีวิตหรือไม่ ชายราที่สวมชุดเกราะดูมีบางอย่างผิดปกติ
สายตาของเฉินตันจูจ้องมองไปยังภายใต้หมวกของเขา ผมสีขาวของเขาหลุดออกมาเล็กน้อย นางยื่นมือออกไปดึงผมเส้นหนึ่งออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เส้นผมบางสีขาวแทบจะมองไม่เห็นภายใต้แสงไฟที่สว่างจ้า แตกต่างจากเส้นผมสีขาวที่นางถือไว้ในมือหลังจากฟื้นขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อนถึงแม้จะเป็นผมขาวที่ผ่านกาลเวลา แต่เส้นผมยังคงมีพลังชีวิตอันแก่กล้า…
เสียงคร่ำครวญดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงภายนอกกระโจม ขัดขวางการเหม่อลอยของเฉินตันจู นางรีบวางเส้นผมในมือกลับไปยังข้างหมอนของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
นางกำลังคิดอันใดอยู่ นางดึงเส้นผมของท่านแม่ทัพได้อย่างไร อีกทั้งยังเปรียบเทียบกับเส้นผมนั้นในมือของตนเอง หรือว่านางกำลังสงสัยว่าผู้ที่แบกนางออกจากโรงเตี๊ยมในวันนั้นคือแม่ทัพหน้ากากเหล็กหรือ
ไม่ควรจะเป็นจู๋หลินหรือ
อาจเป็นเพราะฝันหลังจากที่นางคุกเข่าจนเป็นลมก่อนหน้านี้ คนที่แบกนางในฝันนั้น คนที่นางคว้าเอาไว้ในทะเลสาบมีผมสีขาว
เป็นเพียงจินตนาการหรือ
แต่ก็ไม่ถือเป็นจินตนาการ เฉินตันจูถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะนั่งลงไป แม้จู๋หลินจะเป็นคนช่วยนาง แต่เขาก็ได้รับคำสั่งจากแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ถึงแม้ก่อนนางออกเดินทางจะจงใจหลีกเลี่ยงการพบกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กฉลาดเพียงนั้น เขาย่อมต้องมองออกถึงจุดประสงค์ของนาง ดังนั้นจึงให้หวังเจียนและจู๋หลินตามไปช่วยนาง
ต่อจากนี้ ไม่มีแม่ทัพหน้ากากเหล็กอีกแล้ว
หากรู้ว่าเขาจะตาย ตอนนางออกเดินทางควรจะไปพบเขาสักครั้ง กล่าวขอบคุณด้วยตนเอง
ขอบคุณที่เขาดูแลนางในหลายปีนี้ ขอบคุณเขาที่ยอมรับข้อเสนอของนางในตอนนั้น ทำให้นางได้พลิกผันโชคชะตา
โจวเสวียนพูดถูก หากพูดกันตามจริงแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นศัตรูของนาง หากไม่มีแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เวลานี้นางคงจะเป็นคุณหนูชนชั้นสูงที่ไร้ความกังวลอยู่
นางไม่ควรเสียใจกับการจากไปของศัตรู
เฉินตันจูก้มหน้า น้ำตาไหลลงมา
ด้านนอกกระโจม องค์รัชทายาทและเหล่าทหารต่างเศร้าโศก เขาถูกทุกคนเกลี้ยกล่อม
“งานหลังจากนี้ของท่านแม่ทัพ คงจะฝังในเมืองนี้” องค์รัชทายาทเก็บความเศร้าโศก พูดกับเหล่าทหารชรา “ไม่กลับซีจิง”
เหล่าทหารชราต่างพยักหน้า ถึงแม้ต้นตระกูลของท่านแม่ทัพจะอยู่ซีจิง แต่เนื่องจากท่านแม่ทัพแทบจะไม่มีการติดต่อกับตระกูล ฮ่องเต้เองย่อมต้องให้สุสานของท่านแม่ทัพอยู่ข้างกาย
“ท่านแม่ทัพเคียงข้างฝ่าบาทมานาน เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากเข็นที่สุด”
“ฝ่าบาทไม่รู้จะเสียพระทัยเพียงใด ท่านแม่ทัพฝังอยู่ในเมืองนี้ ฝ่าบาทย่อมมาพบได้บ่อย”
แต่จะว่าไป เหตุใดฝ่าบาทยังไม่เสด็จมา
หรือเป็นเพราะว่าท่านแม่ทัพลาโลกแล้ว ฝ่าบาทจึงไม่จำเป็นต้องเสด็จมาอีกแล้ว
ถึงแม้องค์รัชทายาทอยู่ตรงนี้ แต่สายตาของเหล่าทหารยังคงมองไปยังทิศทางของพระราชวังเสมอ
ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้มีไฟเพียงดวงเดียวท่ามกลางความมืด ขันทีจิ้นจงเฝ้าอยู่บริเวณประตู นอกจากเขา รอบด้านตำหนักบรรทมไม่มีผู้อื่น
แต่ท่ามกลางความมืดมิดนั้น ยังมีร่างที่มืดกว่ากลางคืนล้อมรอบอย่างแน่นหนาอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่า
ขันทีจิ้นจงเงยหน้ามองหน้าต่าง เห็นร่างที่สะท้อนอยู่บนนั้นยืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับกำลังก้มหน้ามองเท้า
ฮ่องเต้มองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ผมของเขาสีขาว แต่ร่างกายของเขาไม่แห้งเหี่ยวเหมือนต้นไม้แก่แล้ว แผ่นหลังของเขายืดตรง ชุดสีดำก็มิอาจปิดบังความสง่างามของชายหนุ่มเอาไว้ได้
“ฉู่อวี๋หยง” ฮ่องเต้พูด “ในสายตาของเจ้าไร้จักรพรรดิและไร้บิดาเสียจริง”