หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1064 มาตามข้าทำไมเล่า!

บทที่ 1064 มาตามข้าทำไมเล่า!

“ไปตายเสีย!!” หลังจากเสียงคลุ้มคลั่งนี้ดังขึ้น กระแสดวงจิตเทพคลั่งแล่นออกจากกำลังภายในของหวังเป่าเล่อ ครั้นเมื่อดวงจิตเทพนี้ระเบิดออก มันก็แผ่กระจายไปทั่วจตุรทิศ!

“เจ้า” ชายฉกรรจ์ที่ถือขวานยักษ์สีขาวไว้ในมือซึ่งกำลังพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อพลันหน้าเปลี่ยนสี แม้จะรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของตน อีกทั้งยังมีสวี่อินหลินคอยเฝ้ามอง สติของเขาจึงกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ว่าในพริบตานั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังซึ่งไม่อาจพรรณนาได้ มันนำพาความรู้สึกคุกคามรุนแรงพุ่งตรงมายังตน

ราวกับว่า ผู้ที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่นี้ได้กลายเป็นขุมพลังแค้นที่ไม่อาจคาดฝันได้ในชั่วพริบตา ความแค้นอันลึกซึ้ง เข้มข้นเป็นที่สุด ภายในนั้นยังแฝงด้วยความบ้าคลั่งถึงขีดสูงสุดและเจือความโหดร้าย จากนั้นทุกสิ่งรอบด้านก็กลายเป็นสีโลหิต คล้ายกับว่าหมอกโดยรอบนั้น ถูกอาบย้อมไปด้วยสีเลือดเช่นกัน

นั่นย่อมรวมไปถึง…ขวานศึกของเขาเล่มนี้ด้วย!

ขวานศึกสีขาวนี้ ในพริบตาก็ถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน เวลาเดียวกันกลิ่นอายแห่งความแค้นและบ้าคลั่งก็หมุนวน สีแดงกระจายเต็มไปหมด ทำให้ชายฉกรรจ์ซึ่งอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ผู้นี้ ร่างสะท้านไหวรุนแรง สูญเสียกำลังควบคุม แม้เขาจะอยู่กลางอากาศ แต่เลือดก็เริ่มไหลออกทั้งเจ็ดทวาร

สติถูกรุกราน จิตวิญญาณถูกกัดกร่อน ทุกสิ่งของเขากำลังจมดิ่ง ภาพโลกสีโลหิตนั้นปรากฏต่อสายตาของเขา ในเวลาอันสั้นนี้ เขาได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตของเฉินหยาง เห็นได้ชัดว่าชายฉกรรจ์ไร้กำลังยืนหยัดเท่าอีกฝ่าย หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ…บนโลกใบนี้มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายได้เช่นเฉินหยาง!

หลังจากภาพนี้ปรากฏ ในหัวของเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่ง

เสียงนั้นสั่งให้เขา…ไปตาย!

อย่างเนิบช้า เสียงนั้นกลายเป็นทุกสิ่งของเขา บีบให้เขาต้องยกมือซึ่งถือดาบขนาดยักษ์อยู่ขึ้น ก่อนจะเค้นพลังปราณให้ขยายถึงขีดสุด แล้วตวัดมันลงมาที่คอ…ของตนเอง!

พริบตานั้น…เลือดสดสาดกระจาย ศีรษะชายฉกรรจ์หลุดลอย ร่างกายของเขาพลันเอนหล่น เลือดสาดกระจายไปทั่ว ส่วนวิญญาณเทพของเขานั้นก็ถูกตนเองตัดขาดจนดับสูญเช่นกัน!

พวกที่ตายเหมือนกับชายผู้นี้…ก็คือเหล่าผู้ฝึกตนที่ถูกสวี่อินหลินควบคุมแต่ยังไม่ทันได้ระเบิดตัวเอง บริเวณรอบด้าน ทุกคนล้วนร่วงหล่นสู่โลกสีโลหิต หลังผ่านความเจ็บปวดไร้ที่สิ้นสุดและการทรมานทั้งหลาย พวกเขาก็ตัวสั่นสะท้านพลางยกมือขึ้นเช่นกัน แม้พวกเขาจะไม่เหลือสติ แม้สัมปชัญญะส่วนสุดท้ายจะหลุดลอยไปแล้ว แต่การตื่นขึ้นมาของหวังเป่าเล่อในพริบตานั้นพลันปล่อยแรงแค้นของชาติก่อน สิ่งนี้มากพอจะทำให้พวกเขาเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด บีบคั้นให้พวกเขาใช้มือของตนยกขึ้นกระแทกหน้าผากตนเองจนตาย!

พริบตานั้น…จำนวนผู้ฝึกตนหลายสิบคนที่ยังรอดอยู่ กะโหลกศีรษะเริ่มแตกร้าว ค่อยๆ ทรุดลงทีละร่าง เลือดแดงฉานไหลออกจากร่างพวกเขาเต็มพื้นที่ ฉากนี้ดูน่าพิศวงอย่างยิ่ง ส่วนพลังปราณแห่งแรงแค้นที่สำแดงเดชนี้ก็ยังขยายอาณาเขตต่อเนื่องทำให้ตรงพื้นที่นอกสายหมอกนั้น แม้เหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มที่สองซึ่งสวี่อินหลินจัดเตรียมเอาไว้ยังไม่ทันพุ่งเข้ามาข้างในหมอก แต่ผลกระทบจากการกวาดล้างของแรงแค้นนี้ เหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มที่สองต่างค่อยๆ ยกมือขึ้นอย่างสั่นสะท้านแล้วฆ่าตัวตาย!

ไม่เพียงแค่เท่านี้ พริบตานั้นผู้สมคบคิดหลักทั้งสี่ล้วนแต่สีหน้าตกตะลึงถึงขีดสุด ผู้ฝึกตนลำดับที่เจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดตัวสั่นสะท้านก่อนจะกระอักเลือดออกมา เขาอาศัยพลังวัตถุปกปักษ์ชีพที่สำนักให้มาถึงค่อยฝืนประคองสติตนเองไว้ได้ ดวงตาฉายแววหวาดผวา พลันถอยร่างหนีไปรวดเร็ว

“นี่มันตัวประหลาดอะไรกัน!!”

นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าก็กระอักเลือดและถอยห่างอย่างรวดเร็วเช่นกัน ใบหน้าของเขาตอนนี้ซีดขาว ดวงตานั้นมีความหวาดกลัวฉายชัด พร้อมกับร้องเสียงหลง

“จู่ๆ มันก็แข็งแกร่งขึ้น!!”

“สมควรตายนัก!!” ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณยามนี้เช็ดเลือดของตนออก แววตาของเขาเผยความเสียใจขึ้นเป็นคราแรก เพราะรู้สึกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาของตนราบรื่นมากกระมัง… ยามนี้เลยรนหาที่ตาย เข้ามาหาเรื่องชาวบ้านแล้วกลับกลายเป็นว่าสู้ไม่ได้ พาตนมาอยู่ในสถานการณ์ลำบากที่อาจถูกไล่ฆ่าอย่างอเนจอนาถ ตอนนี้เขาอาจถูกหวังเป่าเล่อทำลายสภาวะตัวตนจนทำให้พลังฝึกปรือของตนสูญหายไปแล้วก็ได้ ซึ่งนี่อาจส่งผลกระทบต่อการยกระดับของตนในภายหลังด้วย ในฐานะผู้เฒ่าซึ่งกลับชาติมาเกิดใหม่กำลังจะถูกหวังเป่าเล่อไล่ฆ่าอย่างไร้ศักดิ์ศรี ตนที่อยู่ที่ตรงนี้ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น… ก็อาจโดนหวังเป่าเล่อสังหาร

เรื่องเหล่านี้สิถึงเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนเรื่องเล็กน้อยเบื้องหน้าตนมีค่าอะไรเล่า…เรื่องพวกนี้มันจะมีค่าอะไร ตนในเมื่อยังไม่ตาย เหตุใดต้องหาเรื่องมาลุยน้ำขุ่นตรงนี้ด้วย อีกทั้งยังเลือกไปแหย่เจ้าคนวิปริตผู้นี้ได้

แท้จริงแล้ว…การระเบิดพลังของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้ทำให้เขาตื่นตกใจอย่างยิ่ง ปราณแค้นแฝงไปด้วยพลังคลั่ง ฉับพลันสามารถสั่นสะเทือนผู้ฝึกปรือระดับดาวพระเคราะห์ และทำให้เหล่าดาวพระเคราะห์ฆ่าตัวตายได้ เรื่องนี้ใครได้ยินก็ต้องตกตะลึงกันทั้งสิ้น

ในเวลาที่พวกเขาทั้งสามคนถอยหนีนั้น สวี่อินหลันกลับเผ่นไปไวที่สุด ใบหน้าของนางซีดขาว ความสับสนมากมายผุดขึ้นในจิตใจ ยามนี้ในหัวของนางคิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือรีบหนีให้เร็วที่สุด! แม้กฎของที่นี่จะห้ามมิให้มีการสังหารเกิดขึ้น ทว่าก็ยังมีวิธีมากมายในการหลบเลี่ยง!

นางเองไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องจะออกมาเป็นเช่นนี้ได้ ครานี้พาเหล่าผู้ฝึกปรือดาวพระเคราะห์นับร้อยมา และยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์อีกสามคน หมายมาดไว้แล้วว่าแผนจะสำเร็จ แต่เพียงประโยคเดียวที่อีกฝ่ายเอ่ยตอนตื่นขึ้น…กลับทำลายแผนการทั้งหมดในทันที!!

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!!”

พริบตาที่พวกเขาทั้งสี่ล่าถอย นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็กลายเป็นสีแดงฉาน ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว พลังของมันทั้งหมดถูกกฎแห่งโลหิตของดาวเคราะห์บรรพกาลของตัวเขาหลอมรวมเข้าไป พลังดังกล่าวผลักดันกฎนี้ในเวลานั้น มันเข้ากันได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนทีเดียว

ส่วนพลังฝึกปรือของเขายกระดับขึ้นมาอีกหนึ่งระดับด้วย ยามนี้เขาฝ่าระดับท้าย..ของระดับดาวพระเคราะห์สำเร็จแล้ว!.Aileen-novel.

พลังฝึกปรือยกระดับ กฎเองก็หลอมเข้าได้ดี ทั้งหมดนี้มิใช่เพราะหวังเป่าเล่อจงใจเอ่ยคำพูดที่ทำให้คนนับร้อยกระทำอัตวินิบาตกรรม แท้จริงแล้ว…เป็นเพราะโชคร้ายของพวกสวี่อินหลินเองที่ดันเลือกมาจังหวะพอดีกับที่หวังเป่าเล่อตื่นขึ้น

หากว่าคนพวกนี้มาภายหลังจากที่เขาตื่นแล้ว บางทีพวกเขาก็อาจจะทำร้ายหวังเป่าเล่อได้บ้าง แต่ในพริบตาที่เขาตื่นขึ้นมานั้น ดวงตาเผยประกายความแค้นซึ่งเขาระลึกได้จากชาติก่อน นั่นเป็นความแค้นที่มุ่งตรงไปยังทั้งโลกหล้า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือสีแดงชาดที่ซ่อนลึกในแววตาของเขากลับแฝงไปด้วยเงาร่างของเฉินหยาง!

หากมิใช่เขานำพลังกลับมาไม่ได้มาก…อย่าว่าแต่ดาวพระเคราะห์หลายคนนี้เลย ต่อให้เป็นระดับดารานิรันดร์ หรือผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ ก็ล้วนจะได้รับผลกระทบทางจิตจากเขาอย่างรุนแรง!

อาจกล่าวได้ว่าในพริบตานั้นที่เหล่าดาวพระเคราะห์จำนวนมากมายปลิดชีพตนเอง หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นคนบงการ แต่เป็นเงาสะท้อนจากชาติที่แล้วของเขานั่นก็คือ…เฉินหยาง!

เขายังไม่สามารถควบรวมพลังจากก่อนหน้าได้ จนกระทั่งตอนนี้…หลังจากสติของหวังเป่าเล่อฟื้นกลับมาหมดและตื่นเต็มตาหลังเรื่องของชาติที่แล้วจางหาย ประกายตาของหวังเป่าเล่อจึงค่อยกลับมาชัดเจน กลับคืนสู่ตำแหน่ง

“พวกเจ้า…” หลังจากตื่นขึ้นแล้ว นัยน์ตาหวังเป่าเล่อทอประกายเย็นเยียบ เขาพลันรู้สึกได้ว่าการระลึกถึงชาติที่แล้วในครานี้ ส่งผลกระทบต่อตนเองใหญ่หลวงนักและสิ่งที่กระทบมากที่สุดก็คือแรงกดดันทางจิตวิญญาณ!

แม้หลังจากตื่นแล้ว เรื่องราวในชาติก่อนของเขาก็ถือว่าไม่มีอยู่อีก แต่ความเดือดดาลภายในใจกลับถูกกระตุ้นให้ระเบิดออกเพราะมีคนลอบโจมตี

“ไปตายเสีย!!” หวังเป่าเล่อตะคอกเสียงต่ำ รอบด้านนั้นร่างแยกที่บาดเจ็บอยู่รีบกลับมาประจำทั้งแปดทิศ หลังจากร่างเหล่านี้เหาะมารวมกันด้วยความรวดเร็ว หวังเป่าเล่อก็ระเบิดพลังปราณอาฆาตขุมหนึ่ง พลังราวกับสายน้ำเชี่ยวไม่ปาน หลังจากลุกขึ้นยืน หวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวออกไป พลังรุนแรงสั่นสะเทือนทั้งแปดทิศ พาให้ทั้งสี่คนที่กำลังวิ่งหนีอยู่ด้านหน้านั้น สีหน้าเปลี่ยนแปลงในทันที!

พวกเขาทั้งสี่แยกตัวออกจากกันไปคนละทิศทางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่ละคนล้วนใช้วิชาเร้นลับส่วนบุคคล พาให้ตัวเองเพิ่มระดับความเร็วนับสิบเท่าในชั่วยามนี้ เพื่อตะบึงหนีบ้าคลั่ง

ที่พวกเขาทั้งสี่ไม่อยู่ร่วมมือกันอีก มิใช่เพราะพวกเขาไม่อยากทำ ทว่า…พวกเขาทั้งสี่ล้วนไม่เชื่อใจกันและกัน ยามนี้ เทียบกับโอกาสที่พวกเขาจะร่วมมือกันมีน้อยอย่างยิ่ง คะเนแล้วสำหรับพวกเขาโอกาสที่จะเกิดขึ้นมากกว่าก็คือ…ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจฉวยจังหวะคิดบัญชีกับตน

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่สู้แยกกันหนีจะดีกว่า อีกอย่างแต่ละคนก็มองออกว่าเหล่าร่างแยกของหวังเป่าเล่อนั้นบาดเจ็บอยู่ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่อาจส่งร่างแยกมาไล่ตามพวกเขาทันเวลา โอกาสที่จะเป็นไปได้มากที่สุด…ก็คือในบรรดาทั้งสี่นี้ จะมีคนหนึ่งดวงซวย!

ส่วนจะเป็นใครนั้น…ทุกคนล้วนรู้สึกว่าอาจเป็นตนเองก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนที่ความเร็วช้าที่สุด ผู้นั้นก็มีโอกาสมากสุดนั่นแหละ!

เรื่องก็เป็นเช่นนี้..ยามนี้ทั้งสี่จึงเร่งความเร็วไม่คิดชีวิต ในพริบตาก็ทิ้งระยะห่างออกไปแสนไกลจากตำแหน่งเก่า

หวังเป่าเล่อตอนนี้ เป็นเพราะร่างแยกบาดเจ็บ เขาจึงไม่เลือกส่งพวกมันไป ตัวเขาผู้ไล่ตามด้วยตนเอง…แต่เขาไล่ตามได้เพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น หลังลองส่งสัมผัสดูแล้วหวังเป่าเล่อก็มองเห็นสวี่อินหลินก่อน หลังจากนั้นก็เป็นผู้ฝึกตนลำดับที่สิบเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ และนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า สุดท้ายนั้นจึงเห็นเป็นภาพศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ

ในพริบตาที่มองเห็นศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ หวังเป่าเล่อก็คิดถึงภัยก่อนหน้าที่ทำให้คนเหล่านี้คิดหนี ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ เขาพลันเปลี่ยนทิศทางวิ่งกวดตามศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ!

“ย๊ากกก ทำไมมาตามข้านี่ ทำไมต้องมาตามข้าด้วย!!” ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณหนาวสะท้าน พลันรู้สึกว่าฉากนี้ช่างน่าสะพรึงสะท้านขวัญ คิดแล้วอยากร้องไห้โหยหวนเสียจริงๆ

……………………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท