ภายในคุกเงียบสงัด
จนกระทั่งเสียงเก้าอี้อันแผ่วเบาถูกฮ่องเต้ดึงมาไว้ที่ริมเตียง เขานั่งลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ดูท่าทางเจ้าจะรู้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นอยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพ คำที่ข้าบอกเจ้าว่าเพียงสวมหน้ากากนี้ นับแต่นี้ไม่มีบิดาและบุตร มีเพียงขุนนางและจักรพรรดินั้นหมายความว่าอย่างไร”
เรื่องเมื่อหลายปีก่อน ฉู่อวี๋หยงยังคงจำได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเขายังจำสถานการณ์ที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กโรคกำเริบได้
ภายในกระโจมโกลาหล ปิดกระโจมท่านแม่ทัพ ข้างกายของแม่ทัพหน้ากากเหล็กมีเพียงเขา หวังเจียนและรองแม่ทัพของท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กสามคน
แต่ตอนนั้นกะทันหันและตื่นตระหนกเกินไป พวกเขายังคงไม่สามารถปิดการรั่วไหลของข่าวได้ บรรยากาศภายในค่ายทหารไม่มั่นคง อีกทั้งข่าวก็ถูกรายงานไปยังพระราชวังแล้ว หวังเจียนบอกว่าปิดบังไม่อยู่ ท่านแม่ทัพบอกว่าไม่อาจปิดบังได้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กเริ่มไม่ได้สติแล้ว เมื่อได้ยินการโต้เถียงของพวกเขา เขาจับมือของตนเองไม่ปล่อย พึมพำซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่อาจสูญเปล่าได้”
เขาเข้าใจความหมายของท่านแม่ทัพ เวลานี้ท่านแม่ทัพไม่อาจล้มได้ มิฉะนั้นน้ำพักน้ำแรงที่ราชสำนักสะสมมาเป็นเวลาสิบปีคงสูญเปล่า
ควรทำอย่างไรดี
จากนั้นได้ยินว่าฮ่องเต้จะเสด็จมา เขารู้ว่ามันเป็นโอกาสที่จะทำให้ข่าวสงบลงอย่างสมบูรณ์ เขาให้หวังเจียนย้อมผมของตนเองเป็นสีขาว สวมชุดเก่าของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก พูดต่อท่านแม่ทัพ “ท่านแม่ทัพไม่มีวันจากไป” จากนั้นถอดหน้ากากบนใบหน้าของแม่ทัพหน้ากากเหล็กลงมาสวมใส่ไว้บนใบหน้าของตนเอง
นับตั้งแต่วินาทีที่เขาสวมหน้ากาก มือที่จับกันแน่นบริเวณหน้าอกของแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ปล่อยออก ดวงตาที่ถลึงโตก็หลับลงอย่างช้าๆ บนใบหน้าที่มีบาดแผลเหวอะหวะนั้นปรากฏรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย
ตอนนี้ระลึกถึงช่วงเวลานั้น ฉู่อวี๋หยงเงยหน้าขึ้น มุมปากปรากฎรอยยิ้ม ทำให้ภายในคุกสว่างขึ้นมาไม่น้อย
“เสด็จพ่อ เวลานั้นดูเหมือนกระหม่อมตัดสินใจกระทำอย่างไม่มีทางเลือกภายใต้สถานการณ์วุ่นวาย” เขาพูด “แต่อันที่จริงไม่ใช่ สามารถบอกได้ว่ากระหม่อมตัดสินใจตั้งแต่อยู่ข้างกายท่านแม่ทัพแล้ว อีกทั้งกระหม่อมก็รู้ ผู้ที่ไม่ใช่องค์รัชทายาทถือครองอำนาจทางการทหารหมายความว่าอย่างไร…”
ขุนนางบู๊ผู้ใดถือกองกำลังไว้ในมือล้วนจะถูกฮ่องเต้เชื่อใจและระแวง
แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ไม่ยกเว้น
โอรสของฮ่องเต้ก็ไม่ยกเว้น โดยเฉพาะยังเป็นโอรสคนเล็ก
เมื่อเขาทำเรื่องนี้ ความคิดแรกของฮ่องเต้ไม่ใช่ภาคภูมิใจหากแต่เป็นระแวง องค์ชายเช่นนี้จะเป็นภัยต่อองค์รัชทายาทหรือไม่
พี่น้อง พ่อลูก มีเรื่องมากมายที่ไม่อาจฉีกหน้ากันตรงๆ เพราะสายเลือด แต่หากเป็นขุนนางกับจักรพรรดิ ขุนนางเป็นภัยคุกคามต่อจักรพรรดิ หรือไม่ต้องถึงขั้นเป็นภัยคุกคาม เพียงแค่จักรพรรดิเกิดความไม่พอใจก็สามารถกำจัดขุนนางได้ จักรพรรดิต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่ตายไม่ได้
ดังนั้นหลังจากฮ่องเต้เข้าไปในกระโจม เห็นว่าเกิดอันใดขึ้นแล้ว เขาจึงนั่งลงตรงหน้าศพของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ถามคำถามนี้ในประโยคแรก
“ข้าให้เจ้าเลือก” ฮ่องเต้พูด “เจ้าเลือกเอง ภายหน้าอย่าเสียใจ”
ภายหน้าอย่าโทษข้า หรือจักรพรรดิองค์ต่อไปเลือดเย็น
ฉู่อวี๋หยงพูด “กระหม่อมไม่เคยเสียใจ กระหม่อมรู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใด ต้องการสิ่งใด ในขณะเดียวกัน กระหม่อมรู้ว่าสิ่งใดทำไม่ได้ สิ่งใดต้องการไม่ได้ ดังนั้นเวลานี้เรื่องของเหล่าท่านอ๋องจบสิ้นลงแล้ว แผ่นดินสงบสุข องค์รัชทายาทใกล้จะสามสิบแล้ว กระหม่อมเองก็ใกล้จะหมดวัยหนุ่ม กระหม่อมเป็นท่านแม่ทัพมานาน คิดว่าตนเองเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กจริงๆ ไปเสียแล้ว แต่อันที่จริงกระหม่อมไม่มีความดีความชอบอันใด หลายปีนี้ที่กระหม่อมเป็นที่เคารพของทุกคนก็เพราะคุณงามความดีที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กสะสมมาหลายสิบปี กระหม่อมเพียงแค่ยืนอยู่บนไหล่ของเขา จึงกลายเป็นผู้มีบารมี ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีบารมีด้วยตนเอง”
ฮ่องเต้ฟังเขาพูดด้วยความสงบ สายตาจับจ้องไปบนเปลวไฟที่พลิ้วไหวอยู่ด้านข้าง
“เสด็จพ่อ หากเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่อยู่ต่อหน้าพระองค์และองค์รัชทายาท ไม่ว่าเขาจะไร้มารยาทอย่างไร พระองค์ย่อมไม่โกรธ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้ แต่กระหม่อมไม่สามารถ” ฉู่อวี๋หยงพูด “เมื่อคราก่อนที่กระหม่อมตำหนิองค์รัชทายาทต่อหน้าฝ่าบาท กระหม่อมเองก็ตกใจกับตนเอง ภายในสายตาของกระหม่อมไม่เคารพองค์รัชทายาท ไม่เคารพองค์รัชทายาทแล้ว”
เขาเป็นคนเดียวที่กล้าพูดประโยคนี้ออกมา ฮ่องเต้มองไปที่ตะเกียงพลันยิ้ม “เจ้าซื่อสัตย์อย่างมาก”
ฉู่อวี๋หยงก็ยิ้มเช่นกัน “คนยังคงต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง มิฉะนั้น คงจะตาบอดจิตใจสับสนมองไม่เห็นทาง หลายปีนี้กระหม่อมเดินทัพออกรบเพราะความเปิดเผย จึงไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของท่านแม่ทัพถูกเหยียดหยาม”
ฮ่องเต้ไม่พูดอันใดอีก ราวกับจะเปิดโอกาสให้เขาได้พูดอย่างเพียงพอ
ฉู่อวี๋หยงจึงกล่าวต่อไปด้วยแววตาสดใสและซื่อตรง “ดังนั้นกระหม่อมจึงรู้ว่าถึงเวลาต้องยุติแล้ว มิฉะนั้นกระหม่อมเป็นบุตรไม่ได้ เป็นขุนนางก็ไม่ได้ กระหม่อมยังไม่อยากตาย อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขบ้าง”
ฮ่องเต้มองเขา “เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดสิ่งเหล่านี้ก่อนหน้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนไร้เหตุผลหรือ”
ฉู่อวี๋หยงส่ายหัว “เนื่องจากเสด็จพ่อเป็นคนที่มีเหตุผล กระหม่อมจึงไม่บังอาจรังแกเสด็จพ่อ เรื่องนี้เดิมทีเป็นความผิดของกระหม่อม กลายเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นความคิดของกระหม่อม ไม่เป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็เป็นความคิดของกระหม่อม ตั้งแต่ต้นจนจบเสด็จพ่อล้วนถูกกระทำอย่างไม่มีทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือเป็นบุตร ฝ่าบาทก็สมควรจะลงโทษ ความโกรธอัดอั้นอยู่ภายในใจ ฝ่าบาทช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถ่มน้ำลาย ยื่นมือออกไปจิ้มหัวเขา “พ่อเจ้าไม่ต้องการให้เจ้ามาสงสาร!”
ฮ่องเต้โกรธจัดจนพูดไม่ระวัง แม้แต่ภาษาชาวบ้านอย่างคำว่าพ่อเจ้ายังพูดออกมาได้
ฉู่อวี๋หยงคำนับด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ลูกควรถูกโบย”
ฮ่องเต้มองดูชายหนุ่มผมขาวแซมผมดำ เนื่องจากโน้มตัว แผ่นหลังเปลือยเปล่าปรากฏต่อหน้าต่อตา บาดแผลจากการถูกโบยคาดเกี่ยวกันไปมา
“ฉู่อวี๋หยง” ฮ่องเต้เอ่ย “ข้าจำได้ว่าเคยถามเจ้า หลังจากเรื่องนี้จบสิ้น เจ้าต้องการสิ่งใด เจ้าบอกว่าจะออกจากเมืองหลวง เดินทางอย่างอิสระในแผ่นดิน เวลานี้เจ้ายังต้องการสิ่งนี้หรือ”
ฉู่อวี๋หยงคิดอย่างจริงจัง “ตอนนั้นกระหม่อมติดเล่น สิ่งที่คิดคือหากเบื่อสงครามในค่ายทหารแล้ว จะไปสถานที่ที่ไกลกว่าเดิมเพื่อค้นหาสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้น แต่เวลานี้กระหม่อมรู้สึกว่าความสนุกอยู่ภายในใจ เพียงแค่ภายในใจสนุก แม้จะอยู่ในคุกแห่งนี้ ก็สามารถสนุกได้”
ฮ่องเต้เหลือบมองห้องขัง ภายในห้องขังถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจเลย
ดังนั้นเขาวางแผนที่จะไม่จากไปแล้วหรือ?
“ใช่ กระหม่อมไม่อยากจากไปแล้ว กระหม่อมอยากอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ” ฉู่อวี๋หยงพูด
ก็ดีเหมือนกัน คนเป็นบุตรอยู่ข้างกายบิดาเดิมทีก็เป็นเรื่องที่สมควร ฮ่องเต้พยักหน้า แต่ว่าสิ่งที่ขอเปลี่ยนแปลงไป ย่อมต้องให้รางวัลอย่างอื่น เขาไม่ใช่บิดาที่เข้มงวดกับบุตร
ฮ่องเต้มองลงมาที่เขา “เจ้าต้องการรางวัลอันใด”
ฉู่อวี๋หยงไม่ปฏิเสธ เขาเงยหน้าขึ้น “กระหม่อมต้องการให้เสด็จพ่อยกโทษให้คุณหนูตันจูพ่ะย่ะค่ะ”
…
ด้านนอกห้องขังไม่ได้ยินเสียงสนทนาภายในห้อง แต่เมื่อโต๊ะเก้าอี้ถูกผลักล้ม ยังคงมีเสียงดังเล็ดรอดออกมา
หวังเจียนที่ชะเง้อมองเข้าไปข้างในรีบเรียกขันทีจิ้นจงทันที “ตีกันแล้ว ตีกันแล้ว”
ขันทีจิ้นจงพูดอย่างระอา “หวังไต้ฟู ท่านไม่หนีเวลานี้ หากฝ่าบาทออกมา ท่านคงหนีไม่ได้แล้ว”
หวังเจียนต้องการพูดบางอย่าง แต่หูของเขาได้ยินเสียงฝีเท้าตึงตังจากด้านใน เขาหันหลังวิ่งหนีไปทันที
ขันทีจิ้นจงอ้าปาก ทั้งโมโหทั้งขบขัน จากนั้นจึงเก็บสีหน้าและก้มหน้าลง ฮ่องเต้ก้าวออกมาจากห้องขังที่มืดมิด ลมกลุ่มหนึ่งพัดผ่านด้านหน้าของเขา ขันทีจิ้นจงรีบเดินตาม
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท” เขาเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “อย่าโกรธพ่ะย่ะค่ะ อย่าโกรธพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หยุดลง เขาชี้ไปยังห้องขังด้านหลังด้วยใบหน้าโกรธเคือง “เจ้าเด็กคนนี้…ข้าให้กำเนิดโอรสเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร”
ขันทีจิ้นจงพูด “มังกรมีเก้าบุตรต่างมีความแตกต่าง ไม่ใช่ความผิดของฝ่าบาท…องค์ชายหกเป็นอันใดอีก โบยไปแล้ว ไม่ปรับปรุงแม้แต่น้อย”
ฮ่องเต้เย้ยหยัน “ปรับปรุง? เขายังได้คืบจะเอาศอก เรียกร้องจากข้า”
ขันทีจิ้นจงถามด้วยความอยากรู้ “องค์ชายหกต้องการอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” ทำให้ฮ่องเต้โกรธเพียงนี้
ฮ่องเต้ไม่เพียงโกรธ ตอนนั้นเขากังวลมากจึงฟังเป็น “เสด็จพ่อ กระหม่อมต้องการคุณหนูตันจูพ่ะย่ะค่ะ”
โอยๆ จริงๆ เลย ฮ่องเต้ยื่นมือกุมหน้าอกเอาไว้ ตกใจแทบแย่!