แม้จะดูเหมือนอีอูยอนทำตามที่อยากทำ แต่ก็เป็นคนที่มีเส้นแบ่งของตัวเองที่ชัดเจน
แม้จะอยู่ในช่วงที่ยุ่งกับงานแสดง เขาก็ยังออกกำลังกายตามกิจวัตรและดูแลตัวเองพร้อมกับดูแลบ้านให้อยู่ในสภาพที่สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอด้วย
เขาเกลียดสิ่งที่น่ารำคาญและเกะกะ ถึงขนาดที่แม้กระทั่งตอนนอนก็นอนเปลือยเพราะไม่ชอบให้มีอะไรมาโดนตัวให้รู้สึกรุ่มร่าม แม้จะซื้อชุดนอนมาทิ้งไว้ตอนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับอินซอบ แต่เวลาที่เขาใส่แค่กางเกงหรือถอดมันออกด้วยกลับมีเยอะกว่า
เขาจะไม่ทำเรื่องที่ประสิทธิภาพต่ำ นั่นก็เพราะว่าเขาไม่เข้าใจ อินซอบเองพยายามจะรักษาเส้นแบ่งของอีอูยอน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
นิสัยของเขาที่เป็นแบบนั้นขึ้นชื่อในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ด้วย ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ติดต่อไปก่อน และถึงจะถูกติดต่อมาก็จะไม่ตอบ ในที่สุดนอกจากอินซอบแล้วอีอูยอนก็ไม่ติดต่อกับใครเลย เพราะการติดต่อที่เกี่ยวกับงานนั้นทำผ่านบริษัททั้งหมด
มีข้อความจากกรรมการผู้จัดการคิมส่งมาหาเมื่อไม่กี่วันก่อน
[ว่างไหม ถึงไม่ว่างก็ว่างให้หน่อย พาอินซอบมากินข้าวกันสักมื้อเถอะ]
แม้อีอูยอนจะอ่านข้อความแล้ว แต่ก็ไม่ตอบ พอเขาทำแบบนั้น กรรมการผู้จัดการคิมก็ส่งข้อความหาอินซอบ
[อินซอบ มีเวลาว่างสักนิดไหม มากินข้าวกับหัวหน้าทีมชาสักมื้อไหม มากับอีอูยอนด้วย]
อินซอบเอาข้อความให้อีอูยอนดูทันที อีอูยอนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตอบด้วยสีหน้าที่บอกว่าไม่สนใจว่า “แล้วยังไงเหรอครับ”
“…ว่างไหมครับ”
อีอูยอนปิดหนังสือทันที จากนั้นก็ถอดเสื้อไหมพรมที่ใส่อยู่ออก พอเขาไม่หยุดอยู่แค่นั้น และกำลังจะปลดกระดุมกางเกง อินซอบก็ตกใจและเอ่ยถามว่า “จะทำอะไรครับ”
“เมื่อกี้คุณยั่วผมไม่ใช่เหรอครับ”
“ครับ?”
“การถามว่าว่างหรือเปล่าในเย็นวันศุกร์มีความหมายอื่นด้วยเหรอ”
อีอูยอนถามกลับด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าไม่เข้าใจจริงๆ
“ไม่ได้ยั่วนะครับ กรรมการผู้จัดการส่งข้อความมา…”
อินซอบยื่นข้อความที่กรรมการผู้จัดการคิมส่งมาไปตรงหน้าอีอูยอนอีกครั้ง
“โอ้”
แล้วเสียงเรียบๆ ก็พูดต่อ
“เพราะเมื่อกี้ใครบางคนยั่วผม ผมเลยไม่มีเวลาจะไปที่นั่นไง”
อีอูยอนยื่นแขนออกมากอดเอวอินซอบ
“อย่าแกล้งสิครับ”
แม้อินซอบจะแกะมือของอีอูยอนออก แต่เขาก็ไม่ขยับเลยสักนิด อย่าว่าแต่จะเอาออกเลย เขากลับเกร็งแขนและกอดอินซอบไว้แน่นด้วยซ้ำ
“คุณอูยอน”
“ว่าไง”
อีอูยอนถูไถสันจมูกที่ได้รูปกับเอวของอินซอบพลางเอ่ยตอบ
“งั้นให้ส่งข้อความไปบอกว่าไม่ว่างไหมครับ”
อีอูยอนเงยหน้าขึ้นมา และสบตากับดวงตาที่กลมโตและอ่อนโยนของอินซอบ
“มันกวนใจคุณเหรอ”
อินซอบลังเลก่อนจะตอบว่า “ครับ” อีอูยอนถอนหายใจเบาๆ อินซอบที่ให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาทจนน่าอึดอัดไม่มีทางสบายใจหลังจากปฏิเสธนัดหมายที่ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายเสนอก่อน อีกฝ่ายต้องกลุ้มใจอยู่คนเดียวอย่างแน่นอน และอีอูยอนก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนั้น
“เข้าใจแล้วครับ ไปกินข้าวกันสักมื้อเถอะครับ”
ใบหน้าของอินซอบกลับมาสดใสทันที อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ ราวกับจะบอกว่าไม่น่าเชื่อ
“ถ้าใครมาเห็นคงคิดว่าผมขังคุณไว้และไม่ยอมให้ไปเจอใคร”
“…”
…ผมไม่ได้ออกไปไหนมาหนึ่งอาทิตย์แล้วนี่ครับ
อีอูยอนเก็บตัวอยู่บ้านและไม่ออกไปไหนเลยตลอดช่วงวันหยุดยาว ไม่มีแม้กระทั่งการออกไปจ่ายตลาด เพราะเขาสั่งวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งหมดมาส่งที่บ้าน แถมยังไม่ไปฟิตเนสและออกกำลังที่บ้านแทนด้วย ปัญหาก็คืออินซอบไม่สามารถขยับตัวไปจากข้างตัวของอีอูยอนที่เป็นแบบนั้นได้เลย
ถ้าอินซอบจะออกไปร้านสะดวกซื้อ อีอูยอนก็จะอ้อนว่าจะทิ้งตัวเองไปที่ไหนเหรอ และยังถามว่าจะออกไปเพราะไม่ชอบเห็นตัวเขาที่ไม่มีงานและเอาแต่อยู่บ้านใช่ไหมพร้อมกับทำตัวผิดปกติจนน่าด่าด้วยดวงตาที่เศร้าสร้อยที่สุดในโลก
สุดท้ายอินซอบออกไปนอกประตูบ้านไม่สำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว การออกไปข้างนอกที่ยาวนานที่สุดคือการออกไปทิ้งขยะ แต่แม้กระทั่งสิ่งนั้นก็เกือบจะเป็นหน้าที่ของอีอูยอน
“งั้นผมจะนัดสุดสัปดาห์นี้นะครับ”
อินซอบยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าให้กับคำพูดของอีอูยอน อีอูยอนที่มองภาพนั้นนิ่งปลดกระดุมกางเกงออก
“ปลดทำไม…”
“ถึงตาที่ผมต้องให้เวลาคุณแล้วไงครับ”
“ไม่ ไม่ครับ ไม่เป็น…”
“คนเราต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ลำเอียงสิครับ”
แม้จะไม่รู้ว่าต้องหาความยุติธรรมจากส่วนไหนกันแน่ แต่อีอูยอนก็วิ่งเข้าไปพรมจูบอินซอบ เขาให้เวลาอย่างยุติธรรมกับทั่วทั้งตัวของอินซอบทั้งคืน
และการนัดหมายก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นสองวัน
***
“ใช่ที่นี่เหรอครับ”
อินซอบเดินขึ้นบันไดพลางเอ่ยถาม
“ครับ ใช่ครับ”
“…ไม่มีป้ายเลย”
อินซอบหันไปมองรอบๆ อย่างเป็นกังวลตั้งแต่ตรงทางเข้าตึกและพึมพำ
“เดิมทีก็ไม่มีครับ เพราะว่าตึกนี้เป็นของพ่อของกรรมการผู้จัดการเลยรับแค่ลูกค้าที่เป็นสมาชิกเท่านั้นครับ”
อีอูยอนเปิดประตูร้านอย่างมั่นใจเพราะเคยมาหลายครั้งแล้ว อินซอบเดินตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างระมัดระวัง พนักงานนำทางพวกเขาทั้งคู่ไปโดยไม่ถามชื่อของกลุ่มที่มาด้วยด้วยซ้ำ พอเข้ามาในห้องส่วนตัว หัวหน้าทีมชากับกรรมการผู้จัดการคิมที่มาถึงก่อนก็ทักทายอย่างดีใจ
“อ้อ มาแล้วเหรอ”
“รีบมานั่งสิ”
อินซอบค้อมหัวทักทายอย่างมีมารยาท
“สวัสดีครับ ขอโทษนะครับที่มาสาย ผมรีบออกเดินทางแล้วแต่รถติดมากเลยครับ”
“โอ๊ย ในเวลานี้แถวนี้ก็คือที่จอดรถดีๆ นี่แหละ”
หัวหน้าทีมชาหัวเราะพลางทำมือสั่งให้อินซอบรีบนั่งข้างๆ ตัวเอง พออีอูยอนนั่งตรงนั้น หัวหน้าทีมชาก็ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ อินซอบยิ้มเจื่อนพลางนั่งลงข้างอีอูยอน
“ฉันสั่งอาหารไว้แล้ว ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ”
อินซอบตั้งใจพยักหน้าให้กับคำถามของกรรมการผู้จัดการคิม
“ไม่เป็นไรอะไรล่ะ อาหารที่นี่ได้ชื่อว่าเผ็ดมาก เดี๋ยวนี้คุณอินซอบกินเผ็ดเก่งแล้วเหรอครับ”
ดวงตากลมโตของอินซอบสั่นไหวอย่างกังวลใจเพราะคำถามของอีอูยอน
“ไม่เผ็ดหรอก ไม่ต้องกังวล อาหารไม่เผ็ดเลยสักนิดเดียว ทำไมต้องแกล้งเขาด้วยล่ะ”
หัวหน้าทีมชาจ้องอีอูยอนเขม็ง อีอูยอนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพลางเอนไหล่ไปด้านหลัง อินซอบเตรียมรับมือกับเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นและลากกระบอกน้ำมาวางไว้ใกล้ๆ ตัว
พอพนักงานเอาอาหารเรียกน้ำย่อยมาวางไว้และปิดประตู อีอูยอนก็เอ่ยถาม
“ทำไมจู่ๆ ถึงชวนมาเจอล่ะครับ”
“ทำไมน่ะเหรอ ก็เรียกมาเพราะอยากเห็นหน้าเฉยๆ น่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมโกหกอย่างหน้าไม่อายและยิ้มกว้าง หัวหน้าทีมชาที่ถูกบังคับให้ออกมาที่นี่อย่างแน่นอนขมวดคิ้วพร้อมกับเอาอาหารที่อยู่ในจานเล็กๆ เข้าปากโดยไม่พูดอะไร
“ไม่มีคนที่เรียกมาเพราะแค่อยากเจอหน้าโดยไม่มีแผนการลับในใจหรอก”
อีอูยอนหยิบส้อมขึ้นมาพลางพูด
“ฉันอยากเจอหน้าสักครั้งจริงๆ ถึงชวนมากินข้าว! นายโดนหลอกบ่อยเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมตะโกนอย่างฉุนเฉียว อีอูยอนเอ่ยตอบด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “ใช่ครับ” เขากินอาหารเรียกน้ำย่อยด้วยท่าทางที่งดงามก่อนจะพูดต่อ
“งั้นก็มองหน้าที่อยากเจอให้เต็มที่และกินข้าวเถอะครับ อย่าพูดอะไรที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์นะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมมองหัวหน้าทีมชาด้วยสีหน้าที่บอกว่าพลาดแล้วล่ะ
ฮยอนคยู ช่วยด้วย
ราวกับได้ยินการคร่ำครวญที่ปรากฏในสายตาที่มีริ้วรอยที่หู หัวหน้าทีมชาแกล้งทำเป็นไม่รู้และยัดอาหารใส่ปาก
“ทั้งสองคนสบายดีไหมครับ”
อินซอบเป็นฝ่ายพูดอย่างมีน้ำใจก่อน
“แน่อยู่แล้ว พวกเราสบายดี”
เชือกป่านที่เรียบเนียนและอ่อนนุ่มที่ถูกส่งลงมาจากสวรรค์ทำให้กรรมการผู้จัดการคิมดีใจมากก่อนจะเอ่ยตอบ
“แล้วอินซอบล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“เพราะเป็นวันหยุดยาวผมเลยพักผ่อนอยู่ที่บ้านครับ”
“งั้นเหรอ งั้นก็มีเวลาว่างมากเลยสินะ”
“ยุ่งครับ”
อีอูยอนรีบแทรกก่อนที่อินซอบจะทันได้ตอบ
“ทำอะไรอยู่ล่ะถึงยุ่ง”
กรรมการผู้จัดการคิมจ้องเขม็งและเอ่ยถาม อีอูยอนก็เอาอาหารเรียกน้ำย่อยที่เหลือในจานใส่ปาก
อีอูยอนมีมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ดี ถึงขนาดที่กรรมการผู้จัดการคิมที่เคยรู้สึกเสียใจอยู่ชั่วขณะว่าตัวเองทำสัญญากับคนที่เพิ่งลงมาจากเขาหรือเปล่ายังวางใจที่จะลองกินข้าวด้วยกันสักครั้ง
ทั้งวิธีใช้ชุดรับประทานอาหาร วิธีการจับส้อมและมีด กิริยาที่เอาอาหารใส่ปาก และวิธีที่เคี้ยวอาหาร กรรมการผู้จัดการคิมที่เติบโตมาในฐานะลูกชายคนเล็กของบ้านเศรษฐีรับรู้ถึงความสง่างามที่เป็นนิสัยติดตัวได้ในทันที
หลังจากกลืนอาหารลงไปแล้ว อีอูยอนก็ยิ้มไปจนถึงดวงตา กรรมการผู้จัดการคิมรีบลูบแขนที่ขนลุกซู่อยู่ใต้โต๊ะ
“ถามเพราะอยากรู้จริงๆ เหรอครับ”
คนบ้าที่อาจจะพูดว่าถ้าอยากรู้จริงๆ ผมจะบอกให้รู้อย่างละเอียดพร้อมกับทำอะไรบางอย่างก็ได้ยิ้มอย่างงดงามพลางเอ่ยถาม กรรมการผู้จัดการคิมรีบส่ายหน้า
“มะ ไม่แล้ว พอแล้ว แค่ยุ่งเฉยๆ สินะ โอเค เข้าใจแล้ว อีอูยอน การถ่ายแบบที่ถ่ายคราวโน้นน่ะ”
“เอ่อ ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นนะ…”
แม้อินซอบจะเอ่ยแทรกทีหลัง แต่หัวข้อของบทสนทนาก็ลื่นไหลไปเป็นแบบนั้นแล้ว
“การถ่ายแบบอะไรเหรอครับ”
“การถ่ายแบบชุดฮันบกที่ถ่ายที่บริษัทนิตยสารไง”
อาหารทยอยเข้ามาทีละอย่าง พวกเขาจึงรับประทานอาหารสลับกับพูดคุยเป็นครั้งคราว
“ทำไมเหรอครับ”
“รู้ไหมว่ากระแสตอบรับไม่ใช่เล่นๆ เลย คำชมที่บอกว่าเท่มากแพร่หลายอย่างรวดเร็วเลยล่ะ”
เมื่อไม่นานมานี้เขาถ่ายแบบด้วยคอนเซ็ปต์ชุดฮันบกกับดอกไม้ที่สำนักพิมพ์นิตยสาร ภาพสองสามภาพถูกเผยแพร่ก่อนจะตีพิมพ์ และวันนั้นโลกอินเทอร์เน็ตก็โกลาหล
มีตั้งแต่คำถามว่าสถานีโทรทัศน์มัวทำอะไรอยู่ถึงไม่ผลิตละครอิงประวัติศาสตร์ที่ให้อีอูยอนใส่ชุดฮันบก คำพูดว่าคนที่แม้จะสวมชุดฮันบกที่แทบจะไม่เผยผิวเลยแล้วยังมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศได้ขนาดนั้นคงมีแค่อีอูยอนเท่านั้น และคำพูดว่าประเทศต้องออกกฎหมายที่ทำให้อีอูยอนสามารถใช้ชุดฮันบกได้ครึ่งปีแล้ว เป็นต้น ข้อความที่เต็มไปด้วยความน่าอายและติดตลกถูกโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ต นิตยสารที่มีอีอูยอนขึ้นปกเดี่ยวถูกร้านหนังสือหลักโอ้อวดว่าเป็นสินค้าที่ขายหมด และสร้างสถิติว่าเป็นนิตยสารไม่กี่เล่มที่ได้ตีพิมพ์ซ้ำ
“อย่างนั้นเหรอครับ รสชาติถูกปากไหมครับ”
อีอูยอนตอบอย่างไม่ยินดียินร้ายราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเองก่อนจะมองอินซอบพลางเอ่ยถาม อินซอบรีบกลืนอาหารและพยักหน้า
“อร่อยครับ ไม่เผ็ด…”
“โล่งอกไปที กินเยอะๆ นะครับ”
หัวหน้าทีมชาปลอบประโลมความหมั่นไส้พลางจัดการจานให้ว่างเปล่า
“ใช่ กินเยอะๆ นะอินซอบ”
“ขอบคุณครับ กรรมการผู้จัดการ”
“อื้อ ว่าแต่อินซอบ นายได้ดูรูปถ่ายแล้วใช่ไหม”
อินซอบตอบว่า “ครับ” ราวกับรอคอยคำถามของกรรมการผู้จัดการคิมอยู่แล้ว
“เป็นการถ่ายแบบที่เท่จริงๆ อย่างที่กรรมการผู้จัดการพูดเลยครับ ผมเพิ่งจะเข้าใจที่อีดิทเตอร์พูดว่าเลือกปกหลังได้ลำบากตอนหลังนี่เองครับ”
“ใช่ไหม ถึงปกหลังจะเป็นแบบนั้น แต่รูปถ่ายที่อยู่ด้านในก็ไม่ใช่เล่นๆ เลยใช่ไหม ฉันว่ารูปที่สามที่ใส่ชุดคลุมลายมังกรสีแดงกับกวานประดับศีรษะน่ะเท่ที่สุดเลย”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ แต่รูปในหน้าถัดไปก็เท่เหมือนกันนะครับ”
“โอ้ แฟนคลับตัวจริงมาแล้ว”
แม้หัวหน้าทีมชาจะขมวดคิ้วและตำหนิ แต่ทั้งสองคนก็ไม่หยุดสรรเสริญ
“อีอูยอนเข้ากับชุดฮันบกจริงๆ นี่นา”
“ครับ จริงครับ”
“ใช่แล้ว! อินซอบ นายเองก็คิดแบบนั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้น อีอูยอน นายไม่คิดจะใส่ฮันบกที่เหมาะมากขนาดนั้นอีกครั้งเหรอ”
ตอนนั้นเองกรรมการผู้จัดการคิมก็เปิดเผยความคิดในจิตใจอันดำมืดที่สร้างการนัดหมายในวันนี้ขึ้นมาและแอบยิ้ม
“ครับ ไม่คิดครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างสดใสและเตะจุดประสงค์นั้นทิ้งไป กรรมการผู้จัดการคิมสบถและถลึงตา
“ผมไม่ได้เหมาะกับชุดฮันบกแค่อย่างเดียว แต่เหมาะกับชุดอื่นด้วยนี่ครับ”