คงเป็นเพราะความเย็นชา และบรรยากาศอันห่างเหินที่ทำให้เขาดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพนี้
บนแผ่นดินนี้หาผู้ชายอย่างเขาได้ยากยิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะเผลอใจไปกับรูปร่างหน้าตานั้นเสมอ และเมื่อได้ปรายตามองไปครั้งหนึ่ง นางก็รู้สึกราวกับว่ายังไม่พอ ดังนั้นนางจึงมองเขาอีกครั้ง
หืม...
ถ้าเขาไปเป็นนักแสดงในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดละก็ ด้วยรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ คงจะมีคนติดตามเป็นโขยงแน่นอน
แม้ว่านางจะเคยพบดาราดังมามากมาย แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังคงคิดว่าองค์ชายพระองค์นี้มีกลิ่นอายอันหาได้ยากยิ่งของชนชั้นสูงที่ยึดติดกับความหรูหราอยู่ในตัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มหลังจากสังเกตเห็นสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย และรอยยิ้มเช่นนั้นก็มีแต่จะยิ่งทำให้เขาดูหล่อเหลายิ่งขึ้น
ภาพนี้ดึงดูดให้เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องมองเขาต่ออยู่อีกครู่ใหญ่ แต่นางก็สบตากับเขาเข้าโดยบังเอิญ สายตาของเขาดูราวกับกำลังพยายามที่จะจับนางให้ได้คาหนังคาเขา
ในเวลานั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกราวกับตัวเองสามารถได้ยินเสียงวินาทีที่อากาศค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าลงได้เลยทีเดียว…
“เจ้าจ้องข้าทำไมหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่านางกับเขากำลังมองหน้ากันอยู่ แต่ทำไมเขาถึงได้พูดเหมือนกับว่านางกำลังแอบมองเขาอยู่ล่ะ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองสีหน้าของนาง แล้วอารมณ์หงุดหงิดเมื่อครู่นี้ก็ดีขึ้นโดยพลัน เขาคลี่ยิ้ม แล้วเผยเสน่ห์ออกมาทั่วทั้งร่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่เสมอว่าผู้ชายคนนี้พยายามที่จะใช้ความงดงามของตัวเองมาล่อลวงนาง โชคดีที่นางมีความอดทนสูงไม่ใช่เล่น ถ้าไม่อย่างนั้น นางก็คงจับเขากดไปแล้ว…
เดี๋ยวนะ ทำไมนางถึงคิดเรื่องที่อยากจะจับเขากดขึ้นมาล่ะ
“แม่นาง เลิกอดทนอดกลั้นต่อสัญชาตญาณของตัวเองเถอะ” น้ำเสียงชั่วร้ายของหยวนหมิงดังขึ้น “เจ้าเหลือเวลาอีกไม่ถึงห้าวันแล้ว ยิ่งใกล้ถึงวันนั้นมากขึ้นเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งต้องการเสพสังวาส และไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น ทำไมต้องทนทุกข์เช่นนั้นด้วยเล่า ถ้าเจ้าอยากทำก็ทำเสียสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจหยวนหมิง นางผลักเขากลับเข้าไปในมิติสวรรค์ นางมองดวงตาเรียวยาวอันมืดมิดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ไม้เล็กน้อยพร้อมกับจิบชาไปด้วย และจึงเอ่ยว่า “ข้าอยากไปซื้อของ”
“ซื้อของหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำหน้าเหมือนนึกไม่ถึงกับคำตอบนี้ มือที่กำลังเช็ดผมของตัวเองอยู่ถึงกับชะงักไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงส่งเสียงตอบรับเบาๆ พลางคิดกับตัวเองว่าสาเหตุที่นางต้องไปซื้อเสื้อคลุมคอสูงมาใส่ในฤดูร้อนนี้นั้นล้วนแต่เป็นความผิดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทั้งสิ้น
“เจ้าควรซื้อชุดเพิ่มจริงๆ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอีกครั้ง สายตาของเขาราบเรียบ สายตานั้นให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นประธานจอมเผด็จการที่กำลังกดสายตาลงมองคนไร้บ้านไม่มีผิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง สายตาแบบนั้นมันอะไรกัน นางก็รวยไม่แพ้เขาหรอก
“เอาล่ะ พวกเราออกไปซื้อของกัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวม การเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลราวกับสายน้ำของเขาทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเกือบตั้งตัวไม่ทัน…
“เงาทมิฬ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเรียกองครักษ์ที่ติดตามเขาออกมา “ไปเตรียมการให้พร้อม”
เงาทมิฬหันหน้ามาหาเขา แล้วขานรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
“อันที่จริงข้าไปเองก็ได้ ท่านดูจะยุ่งมากทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางยังคงฉลาดเหมือนเคย การจับจ่ายซื้อของนั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อยิ่งนัก ดังนั้นคนอย่างองค์ชายสามย่อมไม่ชอบอย่างแน่นอน
แต่นึกไม่ถึงว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะพูดกับนางเพียงสองคำว่า “ไม่ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับพูดไม่ออก บัดซบ! ทำไมไม่ได้ล่ะ
“ข้าไม่เห็นด้วยกับรสนิยมการแต่งตัวของเจ้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินนำออกไปเป็นคนแรก
เอาอีกแล้ว สายตาอันเย็นชาที่มองว่าทุกคนอยู่ต่ำกว่าตัวเองเช่นนั้น
ทำให้คนรู้สึกอยากตีเขาจริงๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องเตือนตัวเองให้อดทนเข้าไว้ เพราะต่อหน้าองค์ชายบางพระองค์แล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงแค่เหยื่อที่ยืนสองขาได้เท่านั้น
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนตัวกลับมา เขาก็เห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังขมวดคิ้วแน่นเหมือนกำลังทำตัวไม่ถูกอยู่ ทันใดนั้นริมฝีปากบางของเขาก็กระตุกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้ม
เฮ่อเหลียนเวยเวยอดที่จะบ่นเงียบๆ ไม่ได้ว่า… แน่นอนว่าคนปกติแบบนางไม่มีทางเข้าใจรสนิยมอันแปลกประหลาดขององค์ชายได้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ดูจากเสื้อผ้าของเขาแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะต้องเป็นคนที่มีรสนิยมด้านการแต่งตัวดีแน่นอน ดังนั้นการออกไปซื้อของกับผู้ชายแบบเขาก็คงไม่เลวเหมือนกัน
“กินอะไรกันก่อนแล้วค่อยออกไปดีกว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบท้องตัวเอง ตอนนี้นางหิวแล้ว และสิ่งเดียวที่นางต้องการก็คือข้าวสวยร้อนๆ หอมกรุ่น และถ้ามีเนื้อวัวปรุงรสกินคู่ไปด้วยก็คงจะดียิ่งนัก
คราวนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้มองนางด้วยสายตา ’เหยียดหยาม’ อีก แต่เพียงแค่ออกคำสั่งให้ข้ารับใช้ไปเตรียมอาหารมาเท่านั้น
ทั้งสองคนไม่ได้กินข้าวกันในห้อง แต่ออกไปกินกันที่ศาลากลางสวนแทน อาหารทุกจานที่อยู่ตรงหน้าพวกนางนั้นล้วนแต่ส่งกลิ่นหอมชวนหิวยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยกินอาหารเสียจนพุงกาง องค์ชายสามไม่อยากกิน ดังนั้นนางจึงจัดการอาหารทุกอย่างที่เขาส่งมาให้นางโดยไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย
การเคลื่อนไหวของทั้งสองนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า แสดงให้เห็นว่าได้รับการอบรมเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารมาดีเพียงใด
เพียงแต่ว่าหนึ่งในพวกเขากลับดูเหมือนกำลังตั้งท่าถ่ายโฆษณาตอนกินอาหารอยู่ ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นกลับดูเป็นธรรมชาติและไม่จู้จี้จุกจิกนัก แต่ทั้งสองกลับช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
มีหญิงสาวน้อยคนนักที่จะกินเก่งเท่าเฮ่อเหลียนเวยเวย อีกทั้งยังไม่จุกจิกเรื่องการกิน ไม่ว่าจะป้อนอะไรให้ นางก็กินทั้งนั้น
เรื่องนี้ทำให้รอยยิ้มของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุ่มลึกขึ้นกว่าเดิม เขารู้สึกสบายใจกับนิสัยการกินของนาง
หลังจากที่ทั้งสองคนกินอิ่มก็ใกล้จะถึงเวลาที่ควรออกไปแล้ว ดังนั้นจึงเดินไปที่ประตูสำนักพร้อมกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มสังเกตเห็นว่าจำนวนขององครักษ์เงาที่ตามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมานั้นแทบจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ แม้พวกเขาจะซ่อนตัวไว้อย่างดี แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังสัมผัสได้ถึงความแตกต่างนั้น
ในเวลาที่อำนาจภายในราชสำนักยังไม่มั่นคงอยู่เช่นนี้ การที่องค์ชายเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเองที่สำนักไท่ไป๋ย่อมทำให้เกิดปัญหามากมายตามมาอย่างแน่นอน
มิหนำซ้ำเมื่อวานนี้เขาก็เพิ่งจะจับกุมตัวมู่หรงหงตู๋ไปอีกด้วย ดังนั้นมู่หรงฮองเฮาจะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่
พอนางมาลองคิดดูอีกทีแล้ว บางทีศัตรูขององค์ชายสามอาจจะมีจำนวนไม่น้อยไปกว่าศัตรูของนางเลยก็เป็นได้
ในขณะที่ผู้หญิงมีมารยาและกลอุบายเป็นอาวุธ สิ่งที่ผู้ชายมีก็คืออำนาจทางการทหาร
อีกไม่นานจวนอ๋องมู่หรงน่าจะมีการเคลื่อนไหว… เกรงว่าจะเป็นภายในสองสามวันนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดเรื่องนี้ นางหยุดเดินแล้วเอ่ยว่า “เรื่องอาวุธที่ท่านเคยคุยกับข้าเอาไว้ ตอนนี้ข้ากำลังจัดการอยู่ มันน่าจะพร้อมใช้ได้ในอีกสองสามวัน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงตอบรับอย่างเย็นชา สายตาที่เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง มันทำให้หนังศีรษะของนางถึงกับชาวาบ “เจ้าดูเหมือนจะเก่งเรื่องนี้มากทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับชะงัก
โชคดีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาดูเยือกเย็น “ชื่ออะไรล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำหน้าตาเคร่งเครียด “ข้ากำลังคิดอยู่” ปัญหาหลักก็คือชื่อแบบไหนที่เขาต้องการต่างหาก… องค์ชายสามรู้บ้างหรือเปล่าว่าเขาเอาใจยากเพียงใด
แน่นอนว่าองค์ชายที่ใช้ชีวิตอยู่เหนือก้อนเมฆมาโดยตลอดย่อมไม่รู้อยู่แล้ว เพราะฝ่ายที่ต้องเป็นคนคาดเดาความคิดของเขาอยู่เสมอนั้นก็คือบรรดาข้ารับใช้นั่นเอง พวกเขาต่างต้องทำงานหนัก เพียงเพื่อรับใช้องค์ชายผู้นี้กันทั้งนั้น พวกเขาไม่แม้แต่จะกล้าตำหนิเขาเลยด้วยซ้ำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็มีข้อดีกับเขาเหมือนกัน และนั่นก็คือการที่เขาเป็นคนมีมารยาทดี แม้มันจะเป็นเพียงแค่เปลือกนอก แต่มันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี “หลังจากนี้เจ้าตั้งใจจะไปซื้อของที่ไหน”
“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ใส่ใจมากนัก “ร้านขายเสื้อผ้าร้านไหนก็ได้” นางต้องการเพียงแค่เสื้อคอสูงที่สามารถปิดบังรอยบนคอของตัวเองได้เท่านั้น…