ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามอีกครั้ง “เจ้าอยากได้เงินเท่าใด”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคำนวณเงินตามหน่วยเงินในสมัยโบราณ ตอนนี้เป็นฤดูร้อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องซื้อเสื้อคลุมขนสัตว์ เสื้อคลุมที่ตัดเย็บมาจากเนื้อผ้าธรรมดาน่าจะต้องใช้เงินราวสิบตำลึง หรืออย่างแพงที่สุดก็คงราคาไม่เกินห้าสิบตำลึง เมื่อคิดว่าเงินประมาณเจ็ดสิบตำลึงก็คงพอ นางจึงเอ่ยขึ้น “ประมาณเจ็ดสิบตำลึง ถึงจะราคาสูงกว่านั้นข้าก็ไม่มีปัญหา” นางตั้งใจเน้นเสียงที่ประโยคสุดท้ายเพื่อแสดงให้เห็นว่านางเองก็รวยเหมือนกัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว แล้วกล่าวว่า “เจ็บสิบตำลึงยังซื้อเสื้อไม่ได้สักตัวเลยด้วยซ้ำ”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับกระตุก “เอ่อ… ข้าหมายถึงชุดทั้งชุดต่างหาก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง และขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าไม่ยักรู้เลยว่าเจ้ายากจนถึงเพียงนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: … นั่นมันเป็นชุดที่ราคาแพงที่สุดเชียวนะ!
บรรดาคุณหนูส่วนใหญ่จากตระกูลขุนนางต่างก็ซื้อชุดเก่งของตัวเองในราคาราวห้าสิบตำลึงกันทั้งนั้น
ทำไมนางอยู่ต่อหน้าองค์ชายสามทีไร นางถึงได้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนหลังเขาที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างอยู่เรื่อยเลยนะ
ใครก็ได้รีบบอกทีว่านางแค่คิดไปเองเท่านั้น!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง “ต่อไปถ้าเจ้าต้องการเงินเพิ่ม ก็ไปเอาที่เงาทมิฬ หลังจากนี้ข้าจะเลือกชุดให้ เจ้าลองสวมดูก็แล้วกัน”
เขารังเกียจชุดที่นางสวมอยู่ตอนนี้หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะแก้ตัว
แต่สายตาที่เขามองนางนั้นไม่ต่างอะไรไปจากสายตาที่มองแมวจรจัดตัวหนึ่ง และมันทำให้นางไม่สามารถที่จะแก้ตัวได้เลย
นางถึงกับนึกสงสัยขึ้นมาด้วยซ้ำว่านางเป็นคนยากจนจริงๆ หรือเปล่า…
โชคดีที่ยังพอจะมีคนปกติอยู่บ้าง
เงาทมิฬที่ยืนอยู่ข้างนางกล่าวเบาๆ ว่า “องค์ชายคุ้นชินกับการใช้ของดีมาตั้งแต่เด็กพ่ะย่ะค่ะ”
ของที่เขาใช้นั้นยิ่งกว่าดีเสียอีก พวกมันน่าจะเป็นของที่ดีที่สุดในแผ่นดินเลยด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้อยู่แล้วว่าผู้ชายคนนี้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ดังนั้นนางจึงไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก
เงาทมิฬเตรียมรถม้าที่ดีที่สุดเอาไว้ให้ เขาเดินไปที่ด้านหน้าของรถม้า วางนิ้วลงบนแขนซ้ายของตน แล้วโค้งคำนับเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความเคารพ
ตั้งแต่ที่องค์ชายท่านหนึ่งประกาศฐานะของตัวเอง ใบลาก็ดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
อาจารย์พวกนั้นแทบจะมาตั้งแถวรอส่งเขากันด้วยซ้ำ
เดิมทีนั้นเขาก็เป็นลูกศิษย์ที่บรรดาอาจารย์ต่างก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าด้วยอยู่แล้ว มาตอนนี้เมื่อเขาเปิดเผยฐานะของตนออกมา อาจารย์ทุกคนจึงยิ่งรู้สึกปวดหัวมากขึ้นไปอีก เพราะพวกเขาไม่กล้าพอที่จะควบคุมลูกศิษย์เช่นเขานั่นเอง
ถึงแม้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไม่ได้เปิดเผยฐานะองค์ชายของตนออกมา แต่แค่เขาปรายตามองเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้อาจารย์ยอมอนุมัติใบลาให้เขาแล้ว
แม้กระทั่งขันทีซุนก็รีบบึ่งมาจากวังหลวงทันทีที่ได้ยินว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะพาเฮ่อเหลียนเวยเวยออกไปซื้อของ เขามาสมทบกับพวกนางที่ตีนเขา
เขามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอตลอดการเดินทางนั้น พลางคิดว่าในที่สุดฝ่าบาทก็พาเด็กสาวสักคนไปจับจ่ายซื้อของได้เสียที หากเป็นเมื่อก่อน ขันทีซุนก็คงไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคุณหนูใหญ่ ไม่สิ ตอนนี้เขาควรเรียกนางว่าพระชายาได้แล้ว
สมกับเป็นพระชายา!
ดังนั้นในตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวลงมาจากรถม้า ขันทีซุนจึงส่งเงินให้กับนางปึกใหญ่ แล้วเอ่ยว่า “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเงินจำนวนนี้ไม่พอ กระหม่อมยังมีอยู่อีก กระหม่อมจะรอพวกท่านอยู่ข้างนอก ขอเชิญท่านใช้เวลาจับจ่ายซื้อของร่วมกับฝ่าบาทได้ตามอัธยาศัยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเงินในมือตัวเอง ตั๋วเงินทุกใบในนั้นล้วนแต่มีค่าหนึ่งร้อยตำลึง อีกทั้งยังมีอยู่เกือบเจ็ดสิบหรือแปดสิบใบเลยทีเดียว… ถ้าดูจากเงินปริมาณขนาดนี้แล้ว นางก็คงจะยังรวยไม่พอจริงๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูจะคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดี สำหรับเขานั้นตั๋วเงินก็เหมือนกับกระดาษเปล่า สองสิ่งนั้นไม่มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงจุดนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังคงประทับใจในตัวองค์ชายบางพระองค์ยิ่งนักที่สามารถมองเงินเป็นเพียงของไร้ค่าได้
นางไม่มีทางทำได้แน่ สีของเงินคือสีที่นางชอบที่สุด
สีหน้าตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเป่าเงินในมือนั้นค่อนข้างดูเหมือนอันธพาลทีเดียว เมื่อถึงเวลา นางจะต้องตอบแทนแน่
แม้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะชอบเงิน แต่นางก็จะไม่เอาเปรียบใคร
แต่แน่นอนว่าเรื่องเงินย่อมไม่ควรที่จะเป็นปัญหาหลักในเวลานี้ นางควรจะสนใจว่าเสื้อผ้าชุดนั้นสวมใส่สบายและสวยหรือเปล่ามากกว่า…
“ไปกันเถอะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปัดเสื้อคลุมของตนออก น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบเช่นเคย มือข้างหนึ่งของเขาดึงนางเข้ามาใกล้ตัวแล้วพานางไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยเล่นตามน้ำ นางยังไม่ลืมว่าขันทีซุนกำลังจับตามองพวกนางอยู่จากทางด้านหลัง และหลังจากนี้เขาต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบอย่างแน่นอน ดังนั้นในบางครั้ง การแสดงความรักระหว่างคู่สามีภรรยาก็นับว่าเป็นสิ่งจำเป็น
ระหว่างที่นางคิดถึงเรื่องนี้อยู่ นางก็หันหน้ากลับไปหาเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นขันทีซุนยกมือทั้งสองข้างขึ้นราวกับเป็นสัญญาณบอกว่า ’สู้ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ’ นางแทบอยากจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผากแล้วถอนหายใจออกมา
แต่ร้านที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพานางมานั้นค่อนข้างดูดีจนน่าประหลาดใจทีเดียว นางสามารถเดาได้ดูจากการตกแต่งที่โถงรับรอง อีกทั้งทันทีที่พวกนางก้าวเข้าไปในร้าน ต้นไผ่สีเขียวต่างก็ส่ายไหวไปมา มันยิ่งช่วยเพิ่มบรรยากาศอันเงียบสงบได้เป็นอย่างดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้ามอง และเห็นป้ายที่มีตัวหนังสือสีทองเขียนเอาไว้ว่า “ฉลองพระองค์สำหรับราชวงศ์”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพานางเข้าไปด้านใน หญิงที่เป็นเจ้าของร้านดูจะรู้จักเขา หลังจากที่เห็นเขา ดวงตาของนางก็เป็นประกาย “บ่าวประหลาดใจทีเดียวตอนที่เงาทมิฬพูดถึง บ่าวคาดไม่ถึงเลยเจ้าค่ะว่านายท่านจะมาจริงๆ”
ไม่ใช่องค์ชาย แต่เป็นนายท่านหรือ
ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วร้านขายเสื้อร้านนี้จะเป็นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ไม่แปลกใจเลยที่คนทั้งจักรวรรดิจ้านหลงพูดอยู่เสมอว่าองค์ชายสามเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด และทรัพย์สินที่เขามีนั้นก็มีมากกว่าประเทศสักประเทศเสียอีก
ร้านขายเสื้อร้านนี้ดูประณีตและงดงามยิ่งกว่าร้านอื่นๆ แม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เจ้าของร้านสวมใส่อยู่ก็ล้วนตัดเย็บมาจากผ้าไหมชั้นดี
ใช่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะอยู่หลังเขาจริงๆ แน่นอนว่านางย่อมรู้ว่าของคุณภาพดีนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
“คนผู้นี้คงจะเป็นพระชายา” เจ้าของร้านมองนางครั้งหนึ่ง ตอนแรกนางตั้งใจจะบอกว่านางช่างงดงามราวกับบุปผา แต่หลังจากได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย นางก็ทำได้เพียงแค่ต้องพูดอย่างอื่นออกมา “ยินดีต้อนรับพระชายาเจ้าค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยโบกมือ “ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรกันที่นี่หรอก ข้าอยากเลือกเสื้อคลุมดูเสียหน่อย เจ้ามีตัวไหนจะแนะนำหรือเปล่า”
เจ้าของร้านมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง และกล่าวว่า “พระชายามีรูปร่างงดงามยิ่งนัก ย่อมไม่มีชุดไหนทำให้ท่านหมดสง่าราศีได้เจ้าค่ะ”
เจ้าของร้านพูดตามความจริง หากไม่นับใบหน้าของพระชายาแล้วละก็ รูปร่างของนางนั้นจัดว่าได้ว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ในตอนแรกที่นางมาถึงโลกนี้ นางรู้สึกว่าเจ้าของร่างคนก่อนคงคิดว่านางยังเด็กเกินกว่าจะมีสัดส่วนราวกับผู้ใหญ่เช่นนี้ ดังนั้นนางจึงเดินหลังค่อมเล็กน้อย เพื่อไม่ให้หน้าอกของตนยื่นออกไปแทน
นางแก้ไขนิสัยการเดินเช่นนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะนางยังเป็นแค่เด็กสาวอยู่ ดังนั้นการดื่มนมให้มากๆ ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายแต่อย่างใด
ขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เลือกชุดนอนเสร็จไปแล้วตัวหนึ่ง มันตัดเย็บมาจากผ้าไหมสีขาว และแขนเสื้อก็ยังกว้างเป็นอย่างมาก ชุดนั้นทั้งนุ่มนวลและงดงาม ในเวลาเดียวกันก็ยังแสดงให้เห็นถึงอิสรเสรีและบรรยากาศอันสง่างาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็คิดว่ามันดูดีทีเดียว เพียงแต่ว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อซื้อเสื้อคลุม…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขามองนางอย่างเงียบๆ ดวงตาสีดำสนิทที่ทิ่มแทงนั้นแฝงไปด้วยคำเตือน
นางเกือบลืมไปเสียแล้วว่าในเวลานี้นางเป็นแค่คนไร้รสนิยมคนหนึ่ง และต้องยอมรับในทุกสิ่งที่องค์ชายเลือกมาให้!
“ข้าจะลองสวมดู” นางค่อนข้างชอบชุดแบบนี้ และเสื้อคลุมก็ดูจะเข้าทีเหมือนกัน ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหยิบชุดนอนตัวนั้นขึ้น แล้วเดินตามเจ้าของร้านเข้าไปด้านใน…