สองสัปดาห์ให้หลัง หลานเหลียนมาถึงบริษัท
ในฐานะราชาเพลงคนหนึ่งของสตาร์ไลท์ หลานเหยียนจึงมีห้องพักเดี่ยวของตนเอง เช่นเดียวกับห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูง
ในห้องมีพื้นที่กว้างขวาง สามารถวางลู่วิ่งได้ตั้งหนึ่งเครื่อง
ในขณะนั้น หลานเหยียนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง ทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่กลับยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
หลานเหยียนเชื่อว่านักร้องที่มีร่างกายแข็งแรงถึงจะได้เปรียบ ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายมาโดยตลอด
ผู้จัดการของหลานเหยียนอยู่ด้านข้าง หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายภาพให้เขา
ภาพเหล่านี้ประเดี๋ยวจะนำไปโพสต์ลงปู้ลั่ว นับว่าเป็นการปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับแล้ว
ในตอนนั้นเอง
จู่ๆ ผู้จัดการก็รับโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปเป็นพิลึกกึกกือ
เขาลุกขึ้นเดินไปยังลู่วิ่ง เอ่ยว่า “ผู้ช่วยของเซี่ยนอวี๋ติดต่อมา บอกว่าอาจารย์เซี่ยนอวี๋เขียนเพลงให้คุณ”
“พรึ่บ”
หลานเหยียนรีบกดปุ่มหยุดลู่วิ่งทันที ลดความเร็วลงก่อนจะวิ่งเหยาะๆ จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูซึ่งพาดอยู่บนคนลำคอเช็ดเหงื่อ
“อาจารย์เซี่ยนอวี๋?”
พ่อเพลงตัวน้อยของบริษัท หลานเหยียนย่อมคุ้นเคยดี เขายังเคยคิดถึงโอกาสร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋สักครั้ง
ในบริษัท
ต่อให้เป็นถึงราชาราชินีเพลง ก็ใช่ว่าจะสามารถเชิญพ่อเพลงมาร่วมงานด้วยได้ทุกครั้ง
ดังนั้นนักประพันธ์เพลงระดับเซี่ยนอวี๋ ย่อมควรค่าที่ราชาราชินีเพลงจะให้ความสนใจ
“ใช่แล้วครับ เพื่องานครบรอบ”
ในใจของผู้จัดการรู้สึกสับสนอยู่บ้าง “บริษัทต้องแจ้งเซี่ยนอวี๋แล้วแน่เลย เขาน่าจะเข้าใจดีว่าทางอาจารย์เจิ้งจิงรับงานนี้ไปแล้ว แต่ว่ายังเขียนอยู่ นี่หมายความว่าอะไร…”
หลานเหยียนยิ้มเอ่ย “เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมจำนนต่อพ่อเพลงไงล่ะ”
ผู้จัดการสับสน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลขึ้นมาหลายส่วน “ว่ากันว่าอาจารย์เซี่ยนอวี๋ยังเป็นนักศึกษา ทำผลงานได้ถึงระดับนี้ ตำแหน่งในบริษัทอยู่ระดับเดียวกับบรรดาพ่อเพลง ก็ยากที่จะเลี่ยงนิสัยเย่อหยิ่งเหมือนพ่อเพลง เพียงแต่เขายังไม่ตระหนักดีว่าพ่อเพลงเก่งกาจขนาดไหนกันแน่”
หลานเหยียนกล่าว “เป็นธรรมชาติของมนุษย์น่ะ ผมว่าในอนาคตเซี่ยนอวี๋จะได้เป็นพ่อเพลง ดังนั้นเราจะต้องเอาใจเขาให้ดี”
ผู้จัดการพยักหน้า “งั้นเราลองไปดูที่ชั้นเก้ากันดีไหมครับ”
หลานเหยียนพยักหน้า
ทุกคนล้วนอยู่ในบริษัทเดียวกัน ถ้าอีกฝ่ายเป็นนักประพันธ์เพลงทั่วไป แน่นอนว่าจะต้องเป็นฝ่ายมาหาหลานเหยียน แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นถึงเซี่ยนอวี๋ละก็ หลานเหยียนจะเป็นฝ่ายออกตัวไปหาเอง
ไม่ได้บอกว่าสถานะของเซี่ยนอวี๋นั้นสูงกว่าหลานเหยียน
ในแง่ของสถานะปัจจุบัน หลานเหยียนและเซี่ยนอวี๋ยังเท่าเทียมกัน ต่อให้เซี่ยนอวี๋จะอยู่เหนือกว่าเล็กน้อย แต่หลานเหยียนก็เป็นถึงราชาเพลง
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้เซี่ยนอวี๋เป็นคนออกตัวเขียนเพลงให้กับหลานเหยียนเอง
ทว่าความเก่งกาจของเซี่ยนอวี๋อยู่ตรงที่เขายังอายุน้อยมาก อนาคตของเขา ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าจะขึ้นไปถึงระดับไหน
ดังนั้นหลานเหยียนจึงไม่อยากล่วงเกินเซี่ยนอวี๋
ระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังแผนกประพันธ์เพลงชั้นเก้า ผู้จัดการเอ่ยเตือนหลานเหยียน “ประเดี๋ยวต่อให้คุณจะปฏิเสธไม่ใช้เพลงของเซี่ยนอวี๋เป็นเพลงในงานครบรอบ ก็ปฏิเสธอ้อมๆ สักหน่อยนะครับ จะได้ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าคุณไม่ชอบเพลงของเขา”
หลานเหยียนพยักหน้า “เรื่องนี้ผมรู้อยู่แล้วครับ”
พวกเขาไม่เคยพูดคุยกับเซี่ยนอวี๋มาก่อน จึงไม่รู้ว่าเซี่ยนอวี๋มีนิสัยเป็นอย่างไร
แต่เมื่อพิจารณาจากอายุของเซี่ยนอวี๋แล้ว วัยรุ่นมักจะรู้สึกกระดากอายได้ง่าย ตัวแทนของแผนกประพันธ์เพลงที่อายุน้อยขนาดนี้ จะต้องพยายามไว้หน้าอีกฝ่าย
เมื่อเดินเข้าไปในลิฟต์
จู่ๆ หลานเหยียนก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “และผมก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธ เพลงที่เซี่ยนอวี๋เขียนต้องคุณภาพไม่ได้แย่แน่ๆ เพียงแต่เพลงนี้จะปล่อยเดือนธันวาไม่ได้”
ผู้จัดการหัวเราะตามไปด้วย
ความคิดของหลานเหยียนเหมือนกับเขา เพลงของเซี่ยนอวี๋ไม่มีทางแย่ไปได้เลย และควรค่าให้เขาขับร้องอย่างแน่นอน เพียงแต่เพลงที่ปล่อยในเดือนธันวาคมนี้จะต้องเข้าร่วมกิจกรรมฉลองครบรอบหนึ่งปีของการผนวกรวมฉินและฉี เพลงของกิจกรรมในครั้งนี้จะต้องเป็นเพลงที่ดีที่สุด!
……
กู้ตงเดินเข้าไปในห้องทำงานของหลินเยวียน “ตัวแทนหลิน อีกสักครู่หลานเหยียนกับผู้จัดการของเขาจะมาถึงนะคะ เราจะติดต่อทางอาจารย์เจิ้งจิงสักหน่อยไหมคะ จะได้ไม่ทำให้อาจารย์เจิ้งจิงไม่พอใจ”
“อย่างงั้นเหรอครับ”
หลินเยวียนเอ่ย “แล้วต้องทำยังไงถึงจะพอใจเหรอครับ”
กู้ตงชะงักไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสมแล้วที่เป็นคำถามซึ่งหลินเยวียนเป็นคนถาม
เธอหลุดยิ้ม ตอบว่า “คุณโทรไปอธิบายสักหน่อยก็ได้แล้วค่ะ”
“ได้ครับ”
หลินเยวียนถาม “คุณมีเบอร์หรือเปล่า”
กู้ตงตอบ “ตอนนี้อาจารย์เจิ้งจิงอยู่ที่แผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ เบอร์โทรศัพท์ของอาจารย์เจิ้งจิง คุณมีสิทธิ์ค้นหาค่ะ”
หลินเยวียนพยักหน้า กดเข้าหลังบ้านของบริษัทเพื่อค้นหา และก็พบเบอร์โทรศัพท์ของเจิ้งจิงจนได้
หลินเยวียนไม่ได้คิดมาก
กดต่อสายไปทันที
ปลายสายมีเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังมา “ใครคะ”
“เซี่ยนอวี๋ครับ สวัสดีครับอาจารย์เจิ้งจิง”
หลินเยวียนใช้นามปากกาในการแนะนำตัว
เสียงของเจิ้งจิงระคนความประหลาดใจ “ที่แท้ก็เธอนี่เอง โทรหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
หลินเยวียนพูดไปตามตรง “เพลงฉลองครบรอบการผนวกรวมของฉินฉี ผมอยากลองดูครับ”
กู้ตง “…”
เธออยากเข้าไปช่วยหลินเยวียนพูด เพราะหลินเยวียนไม่มีอ้อมค้อมแม้แต่นิดเดียว ถ้ารู้แต่แรกตนน่าจะสอนตัวแทนหลินว่าควรพูดอย่างไร
อย่างไรก็ดี ดูจากบุคลิกของตัวแทนหลินแล้ว ตนสอนไปก็อาจไม่มีประโยชน์
ตัวแทนหลินไม่ได้สันทัดการเสวนาพาทีกับคนโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
เจิ้งจิงซึ่งอยู่ปลายสายเงียบงันไปหลายวินาที ก่อนจะกล่าวว่า “เธอมั่นใจใช่ไหม”
หลินเยวียนตอบ “นับว่ามั่นใจอยู่ครับ”
เขาไม่ได้มั่นใจเต็มเปี่ยม แต่มองจากคุณภาพของเพลงนี้ ก็ใช้ได้เลยทีเดียว
เจิ้งจิงเอ่ย “เธออยู่ชั้นเก้าใช่ไหม ตอนนี้ฉันอยู่ที่บริษัท งั้นฉันไปฟังได้หรือเปล่า”
หลินเยวียนตอบ “ได้ครับ”
เจิ้งจิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ดูท่าเธอจะมั่นใจจริงๆ นะเนี่ย พูดตามตรงว่าฉันเองก็ยังไม่มั่นใจ นักแต่งเพลงของเซวี่ยนล่านคนนั้นไม่ธรรมดาเลย”
หลินเยวียน “ครับ”
เจิ้งจิงพูดต่ออย่างยิ้มแย้ม “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันขอถามสักคำถาม เพลงเปลี่ยนตัวเอง เธอเขียนถึงเรื่องฉินฉีผนวกกันจริงๆ หรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
สำหรับเจิ้งจิง หลินเยวียนไม่มีเหตุผลให้ปิดบัง อันที่จริงเขาไม่เคยคิดจะปิดบังอยู่แล้ว
แต่เขาก็ไม่ได้ไปป่าวประกาศ ทางการได้ให้การยืนยันเพลงของเขาแล้ว เขาจะไปบอกปัดได้อย่างไรล่ะ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ…”
เจิ้งจิงคล้ายกับว่าถูกจี้เส้นเข้าแล้ว เธอหัวเราะลั่น แลดูตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก “เหมือนที่ฉันเดาไว้เลย”
พูดจบ
จู่ๆ เจิ้งจิงก็กล่าวเสริมขึ้นมาอย่างจริงจังประโยคหนึ่ง “แต่นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของดนตรี”
“ครับ”
“งั้นฉันวางแล้วนะ กำลังจะถึง”
“ได้ครับ”
หลังจากวางสาย หลินเยวียนก็รออยู่เงียบๆ
ผ่านไปไม่ทันไร หลานเหยียนกับผู้จัดการก็มาถึง
“อาจารย์เซี่ยนอวี๋ สวัสดีครับ…”
หลานเหยียนปีนี้อายุอานามประมาณ 40 ปี รูปร่างไม่สูงนัก ประมาณ 170 เซนติเมตรต้นๆ หน้าตาใช้ได้ ให้ความรู้สึกถึงชายหนุ่มสุขภาพดีและสดใสอบอุ่น
“สวัสดีครับ”
หลินเยวียนลุกขึ้นจับมือทักทายกับอีกฝ่าย และทักทายกับผู้จัดการของอีกฝ่ายด้วย
ในตอนนั้นเอง
ด้านนอกก็มีการเคลื่อนไหวดังขึ้น
ที่แท้เจิ้งจิงก็มาถึงแล้ว
หลานเหยียนและผู้จัดการของเขาเห็นเจิ้งจิงก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบกล่าวทักทาย ทว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็คือ ทั้งสองมีท่าทีกระตือรือร้นกว่ายามที่พบหน้าหลินเยวียนอยู่หลายส่วน
“ไม่ต้องเกรงใจ ฉันมาฟังเพลงน่ะ”
เจิ้งจิงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นสายตาก็เบนไปยังใบหน้าของหลินเยวียน ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาอย่างชัดเจน
เจ้าเด็กคนนี้หล่อจริงๆ!
………………………………………………………….