“คุยกับใครนานขนาดนั้นเหรอครับ”
“…ประสาท นานอะไรล่ะ ยังไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ”
หัวหน้าทีมชาพึมพำปนด่าเบาๆ
“คุยกับน้องชายน่ะครับ เขาบอกว่าพอเห็นหนังที่เคยดูด้วยกันตอนเด็กๆ ในโทรทัศน์ก็เลยโทรศัพท์มาเพราะนึกถึงน่ะครับ แล้วก็บอกว่าคิดถึงด้วย”
ใบหน้าของอีอูยอนที่พาดแขนกับเก้าอี้ของอินซอบและยิ้มนิ่งทันที
“อินซอบมีน้องด้วยเหรอ น้องสาวเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยถาม
“เปล่าครับ น้องชายครับ มีทั้งหมดสามคนครับ”
“น้องชายคนที่สองเหรอ แอรอนใช่ไหม”
หัวหน้าทีมชาทำเป็นรู้และช่วยเสริม อินซอบยิ้มและพยักหน้า
“น้องชายคงจะเด็กมากเลยสินะ ดูจากการที่บอกว่าคิดถึงพี่ชายแล้ว”
“อายุห่างกันแค่สองปีเท่านั้นเองครับ”
“อะไรนะ แต่บอกว่าโทรศัพท์มาเพราะนึกถึงนี่?”
กรรมการผู้จัดการคิมตกใจและถามซ้ำ อินซอบเกาแก้มราวกับเคอะเขินเล็กน้อย
“เพราะว่าผมสนิทกับพวกน้องชายน่ะครับ”
“น่าประหลาดใจจัง”
“ตาแก่นี่มีเรื่องที่ประหลาดใจเยอะจังเลยนะ ถ้ามีพี่ชายที่ใจดีอย่างคุณอินซอบก็ต้องชอบอยู่แล้วสิ ฉันเองถ้ามีคุณอินซอบเป็นพี่ชายจะเดินตามพร้อมกับเรียกว่าฮยองนิม ฮยองนิมเลยล่ะ”
พอหัวหน้าทีมชาเอ่ยแทรกและเข้าข้างอินซอบ รอยยิ้มบิดเบี้ยวก็ปรากฏที่ริมฝีปากของอีอูยอน
“หัวหน้าทีมอายุเท่าไรเหรอครับ คุณอินซอบถึงได้เป็นพี่ชาย”
“นี่! ตอนนั้นนาย…!”
“ตอนนั้นอะไรเหรอครับ”
“…”
ริมฝีปากของหัวหน้าที่ชายที่เผลอพูดผิดและถูกทรมานทั้งๆ ที่ลืมตากระตุกด้วยความโกรธ
“ผมพูดว่าอะไรเหรอครับ”
“พอแล้ว อย่าพูดถึงเลย”
หัวหน้าทีมชาดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วเสียงดังอึกๆ พอน้ำหมดแก้ว อินซอบก็หยิบกระบอกน้ำขึ้นมาเพื่อจะเติมให้ อีอูยอนแย่งขวดน้ำที่อยู่ในมือของอินซอบไป
“เขาเรียกมากินข้าวนะครับ ไม่ได้เรียกมาปรนนิบัติคนอื่น”
เขาวางกระบอกน้ำที่แย่งมาลงด้านหน้าของหัวหน้าทีมชา
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…”
“กินอาหารเถอะครับ”
“…ครับ”
“อาหารที่นี่ถูกปากไหมครับ”
“ครับ อร่อยครับ”
อินซอบพยักหน้า อีอูยอนพูดว่า “โล่งอกไปทีนะครับ” ก่อนจะเท้าคางและยิ้ม
“…คุณอูยอนก็กินเยอะๆ นะครับ อ้อ กรรมการผู้จัดการกับหัวหน้าทีมก็กินเยอะๆ นะครับ”
“ครับ ผมจะกินเยอะๆ เลยครับ”
หัวหน้าทีมชาตอบรับอย่างหยอกล้อ
“แต่น้องชายโทรศัพท์มาเพราะอยากได้ยินเสียงของพี่ชายจริงๆ เหรอ มีธุระอื่นหรือเปล่า”
กรรมการผู้จัดการคิมทำนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เป็นวงกลมและโบกไปมา อินซอบตอบว่า “ไม่มีครับ” และยิ้ม
“แอรอนไม่ใช่เด็กแบบนั้นหรอกครับ เขาได้รับทุนการศึกษาเพราะเรียนเก่ง แล้วก็หาเงินได้เยอะเพราะทำงานด้วยครับ”
อินซอบไม่เคยโอ้อวดตัวเอง แม้จะเกิดผลลัพธ์ที่ดี เขาก็แค่ยิ้มร่าและบอกว่าโชคดีเท่านั้น มีแค่เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวเท่านั้นที่อีกฝ่ายจะทำตาเป็นประกายและโอ้อวดในสิ่งที่ตัวเองมี
อีอูยอนไม่พอใจ แม้จะรู้ว่าครอบครัวมีความหมายอย่างไรสำหรับอินซอบ แต่เขาก็ไม่สามารถกดความต้องการที่อยากจะจับแยกออกจากกันทุกครั้งได้เลย
“เรียนเก่งด้วยเหรอ”
“ครับ ทั้งเรียนดีทั้งเล่นกีฬาเก่งเลยล่ะครับ แล้วก็จิตใจดีด้วย”
อินซอบตอบกลับอย่างตื่นเต้น ดวงตากลมโตของเขาเป็นประกายด้วยความยินดีที่บริสุทธิ์ รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของอีอูยอนทีละนิด
เขาโคตรจะเกลียดน้องชายของชเวอินซอบที่ทั้งเรียนดีทั้งเล่นกีฬาเก่ง และจิตใจดี ไม่ใช่แค่เพราะหมอนั่นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา หรือแสดงออกว่าไม่ชอบเขาเท่านั้น ไม่สิ จำเป็นต้องนึกถึงเหตุผลด้วยเหรอ ก็แค่โคตรจะไม่ชอบเฉยๆ เท่านั้น
“เป็นคนที่เยี่ยมไปเลยนะ”
“ใช่ครับ บทความวิจัยที่แอรอนเขียนคราวก่อนถูกตีพิมพ์ลงในวารสารทางวิชาการที่มีชื่อเสียงมากด้วยล่ะครับ”
“คงไม่ได้ลองอ่านหรอกใช่ไหม”
อินซอบยิ้มราวกับเขินอายให้กับคำถามของหัวหน้าทีมชา
“…ก็อ่านนะครับ แต่ผมไม่เข้าใจหรอกครับว่ามันหมายความว่าอะไร”
“ว้าว เป็นพี่น้องที่สนิทกันจริงๆ ยอมรับเลย ฉันน่ะนะ ต่อให้ใครจะจ่ายเงินให้และสั่งให้อ่านบทความวิจัย ฉันก็อ่านไม่ได้หรอก”
หัวหน้าทีมชาคุยโวและโบกมือปฏิเสธ
“บทความวิจัยไม่ใช่สิ่งที่ควรอ่านนะ เป็นงานที่เขียนแล้วก็ลืมน่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมเองก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมและช่วยเสริม
“กรรมการผู้จัดการเขียนบทความวิจัยด้วยเหรอครับ ไม่ใช่ว่าก็อบวางจากในหนังสือเหรอ”
“ไม่รู้ ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว นายกำลังพูดเรื่องเมื่อนานมาแล้วอยู่นะ”
“ตอนนั้นบทความวิจัยของกรรมการผู้จัดการมีหัวข้อว่าอะไรนะ เป็นอะไรที่แปลกมากๆ เลย เพราะแบบนั้นเลยถูกอาจารย์ปัดตกอยู่หลายครั้งจนร้องไห้นี่นา ตอนแรกชื่อว่าอะไรนะ การทำให้พฤติกรรมการกินเป็นตะวันตกเพื่อความเป็นสากลของวงการนายแบบในประเทศเรา? ไม่ใช่อะไรทำนองนี้เหรอครับ”
“หนวกหู กินข้าวไป!”
อินซอบที่มองคนทั้งคู่ตบตีกันและหัวเราะเบนสายตากลับไปด้านข้าง เขาสบตากับอีอูยอนที่ลูบแหวนอยู่ใต้โต๊ะ เขาแค่มองอินซอบนิ่งๆ เท่านั้น อินซอบที่รู้สึกอายกับสายตาของอีกฝ่ายที่เหมือนจะสำรวจรีบหันหน้ากลับไปมองด้านหน้าอีกครั้ง
“จะว่าไปแล้วคุณอินซอบก็เคยเขียนบทความวิจัยนี่”
“ครับ? ผมเหรอครับ”
“รายงานเรื่องอีอูยอนไง ที่นายส่งมาพร้อมกับเรซูเม่น่ะ”
“จริงด้วย จริงด้วย มีอันนั้นด้วยนี่นา รายงานยี่สิบหน้าเอสี่”
อินซอบหน้าแดงเพราะเรื่องในอดีต
“แม้จะคิดถึงเรื่องนั้นตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่ายอดเยี่ยมอยู่เลย คนในบริษัทเวียนกันอ่านหมดเลยนะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ แค่เอาข้อมูลมารวมกันเฉยๆ เองครับ ถ้าค้นในอินเทอร์เน็ตก็ปรากฏ…”
“โอ๊ย ไม่ใช่ระดับนั้นหรอก เป็นบทความวิจัยเกี่ยวกับนักแสดงอีอูยอนที่สมบูรณ์แบบเลยล่ะ รายงานนั้นตีพิมพ์ในวารสารวิชาการได้เลยนะ”
“มันยังอยู่ไหมครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามอย่างกะทันหัน
“ถ้าลองหาก็น่าจะยังอยู่นะ อยู่ที่ไหนสักที่ในออฟฟิศ…”
“ทะ ทิ้งไปเถอะครับ!”
อินซอบรีบขัดคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม อีอูยอนยิ้มไปถึงตาเพราะพฤติกรรมที่ไม่สมกับเป็นชเวอินซอบ
“ทำไมถึงบอกให้ทิ้งของที่น่าเสียดายนั่นล่ะครับ ถ้ากรรมการผู้จัดการหาเจอช่วยเอามาให้ผมหน่อยนะครับ ผมรู้สึกว่าช่วงนี้เลือกบทได้ลำบาก เพราะเข้าใจตัวเองลดลงน่ะครับ”
“งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว ฉันจะพลิกบริษัทหาให้นะ”
กรรมการผู้จัดการคิมพูดว่า “ถ้ามันจะช่วยในการเลือกบท” และยิ้มกว้าง อินซอบที่คิ้วตกเรียกเขาเบาๆ ว่า “คุณอูยอน”
“มีอะไรเหรอครับ”
“…อย่าอ่านนะครับ”
“ทำไมล่ะครับ”
“…”
“ทำไมถึงต้องห้ามอ่านล่ะ”
อีอูยอนมักจะถามด้วยคำพูดที่เหมือนเดิม ในตอนที่เขาโกรธ หรือไม่เข้าใจจริงๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน เขาจะเลิกถามก็ต่อเมื่อได้ยินคำตอบที่ตัวเองน่าจะพอใจแล้ว
“มัน…”
อินซอบไม่สามารถเลือกคำที่จะตอบได้ และขยับริมฝีปากขึ้น
รายงานนั้นเป็นผลสรุปที่เขาสะกดรอยตามอูยอน
อีอูยอนมักจะพูดถึงอดีตที่อินซอบเคยสะกดรอยตามตัวเองและแกล้งเขาอยู่เสมอ บ้างก็แกล้งทำเป็นตกใจและถามว่าแอบรอตัวเองอยู่เหรอ ถ้าออกไปข้างนอกและบังเอิญเจอกันหน้าบ้าน บ้างก็ถามว่ายังรวบรวมข้อมูลไม่พอเหรอ เพราะเจอโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่อินซอบเก็บสะสมไว้ บ้างก็ขอให้เลือกเสื้อผ้าให้ และชมว่าสายตาของสตอล์กเกอร์ต่างออกไปอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย เขาแกล้งไม่ยอมหยุดจริงๆ ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นอินซอบจะทำตัวไม่ถูกและพูดตะกุกตะกักเหมือนคนที่ทำความผิด ครั้งหนึ่งเขาเคยร้องไห้พร้อมกับบอกว่าขอโทษ แม้อีอูยอนจะบอกว่าเข้าใจแล้วครับและกอดอินซอบไว้ แต่เขาก็ไม่หายตกใจ แน่นอนว่าคนที่ค้นโทรศัพท์มือถือของอินซอบ ติดตามตำแหน่ง และมักจะเอาไดอารี่มาอ่านเป็นประจำคืออีอูยอนเอง
“กลับไปบอกที่บ้านได้ไหมครับ”
อินซอบพูดด้วยเสียงค่อยๆ อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะตอบส่งๆ ได้ อีอูยอนมองอินซอบนิ่งๆ และตอบว่า “ได้ครับ”
ตอนที่อินซอบถอนหายใจอย่างโล่งอก โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
อินซอบที่มองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถืออุทานด้วยความตกใจ
“ใครเหรอ”
หัวหน้าทีมเงยหน้าขึ้นมาถาม
“แอรอนน่ะครับ ทำไมถึงโทรศัพท์มาอีกล่ะ”
พออินซอบจะลุกออกไปอีกครั้ง อีอูยอนก็จับแขนของเขาไว้ให้นั่งลงตามเดิม
“คุยที่นี่เถอะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เพราะเป็นการรบกวนคนอื่น ผมจะออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกแล้วกลับเข้ามาครับ”
“คุยสั้นๆ ก็ได้นี่”
นี่เป็นการบีบบังคับให้คุยสั้นๆ
“ไม่ แค่…”
มือของอีอูยอนที่จับแขนของอินซอบไว้ไม่ยอมขยับ อินซอบจึงนั่งลงข้างๆ โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้และเริ่มคุยโทรศัพท์
[อื้อ แอรอน มีอะไรเหรอ ถึงโทรศัพท์มาอีก]
เสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของแอรอนดังมาจากปลายสาย อินซอบกระซิบให้เบาที่สุดและคุยโทรศัพท์ต่อ
[อื้อ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดี แน่นอนอยู่แล้ว]
น้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวลปลอบอีกฝ่ายเบาๆ อีอูยอนดื่มน้ำโดยไม่พูดอะไร
[ได้ เข้าใจแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ข้างนอก ไว้ค่อยคุยกันนะ]
คนเราต้องซ่อนความรู้สึกของตัวเองอยู่แล้ว คนที่โง่พอที่จะแสดงความรู้สึกทั้งหมดที่ตัวเองมีไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ดี หรือความรู้สึกที่แย่คงมีแค่เด็กเล็กๆ เท่านั้น
[ฉันด้วย ได้ ฝากความคิดถึงด้วยนะ อื้อ รักนะ]
อินซอบเป็นแบบนั้นเสมอ เขามักจะแสดงความอ่อนโยนทั้งหมดของตัวให้คนที่ชอบเห็น ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะสม
พออินซอบคุยโทรศัพท์เสร็จ กรรมการผู้จัดการคิมก็แหย่อินซอบราวกับรออยู่แล้ว
“เพราะน้องทำเงินค่าขนมหายน่ะสิ ถ้าไม่อยากนั้นน้อง โดยเฉพาะน้องชายไม่มีทางโทรศัพท์มาหาสองครั้งในหนึ่งวันหรอก!”
“กรรมการผู้จัดการเป็นแบบนั้นสินะ”
กรรมการผู้จัดการคิมแผดเสียงใส่การเหน็บแนมของหัวหน้าทีมชาอย่างเกรี้ยวกราด
“แล้วนายรับโทรศัพท์จากน้องชายคนเล็กของนายครั้งสุดท้ายตอนไหน”
“…ตอนที่บอกว่าจะแต่งงานและขอยืมเงินก่อนหน้านี้”
“เห็นไหม ฉันเองก็ไม่โทรศัพท์หาหรอก นอกเสียจากตอนที่จะได้รับเงินลงทุนจากพวกพี่ชาย อ้อ จริงด้วย อินซอบ นายให้เงินได้นะ แต่ห้ามค้ำประกันร่วม แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันก็ตาม”
“ค้ำประกันร่วมคืออะไรเหรอครับ”
อินซอบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“คืออย่างนี้น่ะ สิ่งที่เรียกว่าการค้ำประกันน่ะ ในทางกฎหมายถ้าหมอนั่นไม่สามารถใช้หนี้ได้ นายจะต้องใช้หนี้แทน สุดท้ายก็จะฉิบหายทั้งคู่…ยังไงก็ห้ามทำ เข้าใจไหม”
อินซอบครุ่นคิดอยู่สักพัก ถ้าน้องๆ ขอความช่วยเหลือจากเขา เขาก็มีความตั้งใจที่จะช่วยอย่างเต็มที่ในขอบเขตที่สามารถทำได้
นิ้วเรียวยาวเคาะกับหน้าโต๊ะ
“ทำไมถึงไม่ตอบล่ะครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามราวกับกระตุ้นให้ตอบ
“ครับ?”
“ไม่ได้ฟังที่กรรมการผู้จัดการพูดเหรอครับ”
“อ๋อ ผมกำลังคิดอยู่ครับ”
หัวหน้าทีมชาตกใจจนร้องดังเฮือก
“คิด? ทำไมต้องคิดด้วยล่ะ คงไม่ใช่ว่าเซ็นค้ำประกันร่วมไปแล้วหรอกใช่ไหม นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าพี่น้องจะสนิทหรือไม่สนิทกันนะ คุณอินซอบ ถ้าปล่อยไว้จะเป็นเรื่องใหญ่นะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ…แต่ถึงยังไงก็เป็นน้องนะครับ”
อินซอบพูดต่ออย่างใจเย็น
“เป็นธรรมดาอยู่แล้วนี่ครับที่ครอบครัวต้องช่วยเหลือกัน แน่นอนครับว่าผมจะไม่ช่วยอย่างไม่มีขอบเขต พวกน้องๆ เองก็เป็นผู้ใหญ่ที่ควรจะรับผิดชอบเรื่องของตัวเองเอง และผมก็รู้ครับว่าการช่วยทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไขนั้นไม่ดี แต่…”
อินซอบขี้กลัวและขี้ขลาด เขามักจะร้องไห้และกลัวแม้กระทั่งเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่บ่อยๆ แต่ก็มีช่วงเวลาที่อินซอบอ่อนแอมากไม่ยอมละทิ้งความตั้งใจของตัวเองเหมือนกัน
“…อย่างน้อยก็ควรจะให้โอกาสแก้ตัวไม่ใช่เหรอครับ”
นั่นก็คือตอนที่ปกป้องสิ่งที่ตัวเองรัก
“อินซอบ แต่ก็ห้ามเซ็นค้ำประกันร่วมนะ”
แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะอ้อนวอนด้วยเสียงที่เหมือนจะร้องไห้ แต่อินซอบแค่ยิ้มเงียบๆ ถ้าน้องๆ ต้องการให้เซ็นค้ำประกันร่วม อินซอบก็คงจะถูกลากลงไปในโคลนเหมือนกันอย่างแน่นอน เพราะเขาเป็นคนที่บินมาจนถึงที่นี่และใช้ชีวิตของตัวเองไปอย่างสูญเปล่าเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลย
กับน้องชายพวกนั้นก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน อีกฝ่ายน่าจะลงไปในโคลนตมด้วยความยินดีและเสียสละให้กันและกัน การที่มนุษย์ผูกติดกันในรูปแบบที่เรียกว่าครอบครัวซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องนั้นรบกวนจิตใจของอีอูยอน
และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือตัวเขาที่อยากจะอยู่ในนั้นจนกระวนกระวายใจทั้งๆ ที่ไม่เหมาะสมเป็นคนที่แย่ที่สุด
“ถ้านายเซ็นค้ำประกันผิด อีกหน่อยพอนายแต่งงาน ภรรยากับลูกๆ ของนาย…”
กรรมการผู้จัดการคิมที่สบตากับดวงตาที่ดำมืดของอีอูยอนรู้ว่าตัวเองพูดผิดและกลั้นหายใจดังเฮือก
“โอ้ ฉันไม่ได้พูดว่าจะต้องแต่งงานตอนนี้หรอกนะ อินซอบคงไม่มีทางแต่งงาน”
“ทำได้สิครับ”
อีอูยอนเถียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“จะไม่แต่งเหรอครับ”
พออีอูยอนถาม อินซอบก็พูดอย่างกำกวมด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวว่า “เรื่องนั้น”
“อ้อ ทำได้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าจะแต่งงานตอนนี้ ยังไงก็ตามเรื่องค้ำประกัน…”
กรรมการผู้จัดการคิมที่รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดรีบเปลี่ยนประเด็น
“จะว่าไปแล้วพวกนายสองคนยังไม่ลดระดับความสุภาพเลยนะ”
“ครับ?”
อินซอบที่ตกใจกับหัวข้อสนทนาที่กะทันหันถามกลับ
“พวกนายสนิทกันนี่ แต่จนถึงตอนนี้ยังพูดอย่างสุภาพกันอยู่เลย”
“คุณอีอูยอนอายุมากกว่าผมครับ”
“อายุห่างกันไม่กี่ปีเอง”
อีอูยอนตอบว่า “สามปีครับ”
“แค่สามปี แต่ใช้คำยกย่องกันขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นแบบนั้นเพราะอินซอบไม่เรียกว่าพี่เหรอ”