นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไป
“ทำไมหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตามสายตาของนางออกไป แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่ด้านนอกนั่น
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด ดังนั้นนางจึงทำเพียงหาวขึ้นอย่างเกียจคร้าน “เปล่า” นางอยากถอดปลอกคอนี้ออกเต็มแก่แล้ว
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับจับมือของนางเอาไว้ แล้วยิ้มออกมาอย่างอดไม่ไหว เขาหัวเราะเสียงเบาพลางพินิจมองต้นคอของนางด้วยความชื่นชม “เจ้าเหมาะกับของพวกนี้จริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: … นางควรขอบคุณเขาหรือเปล่า
แต่อย่างไรนางก็ต้องถอดมันออกก่อน
รอยยิ้มกำกวมของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีที่เขาเห็นนางยกมือขึ้นจับมัน “เจ้าควรคิดให้ดีอีกครั้งก่อนที่จะถอดมันออก มิฉะนั้นหากข้าไม่พอใจขึ้นมา ข้าอาจจะพาตัวชิงจ้านไปจากข้างกายเจ้าก็ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองหน้าเขา นางรู้สึกขำ “ชิงจ้านเป็นคนของท่าน”
“เจ้าห่วงใยนาง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคว้ามือของนางขึ้น แล้วเล่นกับมือที่อยู่ในมือของเขา น้ำเสียงของเขาฟังดูเฉยเมย แต่กลับทิ่มแทงยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้นิ้วแกะปลอกคออีกครั้งพร้อมกับถามว่า “แต่ท่านไม่รู้สึกแปลกๆ หรือตอนที่มองข้าใส่ของพรรค์นี้น่ะ”
“ไม่เลย” คิ้วยาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดเข้าหากัน เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับนางเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่รู้จักเชื่อฟัง สายตานั้นดูไม่ถูกใจและไม่พอใจ “ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะเอาโซ่ให้เจ้า คงดีที่สุดหากข้าล่ามเจ้าเอาไว้ แต่เจ้าดูจะไม่ชอบเช่นนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: …ไม่มีใครชอบเรื่องพรรค์นั้นอยู่แล้ว! ให้ตายเถอะ ข้าล่ะอยากจะทุ่มโต๊ะเสียเหลือเกิน! ทำไมถึงให้ของขวัญปกติๆ กันไม่ได้นะ
“ปลอกคอเส้นนี้ก็ไม่เลว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่แยแส “เจ้าชอบมันมากทีเดียว”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้นเล็กน้อย “ข้าบอกว่าชอบตอนไหนหรือ”
“เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้มองตัวเองในกระจกอยู่พักใหญ่หรอกหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังพูดเรื่องทั่วไป คำพูดนั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยแทบกระอักเลือด องค์ชายมีพรสวรรค์ในการทำความเข้าใจคนอื่นสูงยิ่งนัก นางไม่มีทางสื่อสารกับเขาได้เลย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลูบศีรษะของนาง “ไม่จำเป็นต้องทำเป็นเขินอายไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเพียงว่าเขากำลังหยอกล้อนางอยู่
จากนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงแสงสว่างอันงดงามวิจิตรตระการตาที่สะท้อนแสงอยู่ตรงหน้าของนาง เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง นางก็เห็นแหวนสีดำปรากฏอยู่ในฝ่ามือของขา มันมีรูปร่างเหมือนกับลูกกุญแจไม่มีผิด ดูเหมือนแหวนวงนี้จะเป็นชุดเดียวกันกับปลอกคอที่อยู่บนคอของนาง
เขาหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาสวมเข้าที่นิ้วก้อยของตนด้วยท่าทางเฉยชา เห็นได้ชัดว่าการกระทำนั้นย่อมหมายความว่า มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถปลดปลอกคอบนคอของนางออกได้
เป็นอีกครั้งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับงงจนพูดอะไรไม่ออก
นี่มันเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของแบบไหนกันนี่
แม่นมซวีที่ยืนอยู่ข้างเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงยิ้มให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย “ฝ่าบาทปฏิบัติต่อพระชายาดีจริงๆ เพคะ หม่อมฉันเกรงว่าเครื่องประดับชุดนี้คงมีแค่ชุดเดียวในโลก และมิอาจผลิตได้อีกเป็นครั้งที่สองเพคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเชื่อคำพูดของนาง โลหะน้ำแข็งทมิฬเป็นของที่หาได้ยากยิ่ง และการนำมันมาทำเป็นเครื่องประดับอันงดงามถึงเพียงนี้นั้นก็ย่อมต้องใช้เงินไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ไม่ว่ามันจะหายากเพียงใด อย่างไรปลอกคอก็ยังเป็นเพียงปลอกคอ
ใช่ มันเป็นปลอกคอที่คุณภาพดีที่สุดในโลก
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขากำลังหรี่ดวงตาระยิบระยับราวกับดวงดาวนั้นลงภายใต้แสงเรืองๆ ที่วาบขึ้นในดวงตาของเขาตอนที่มองต้นคอของนาง ริมฝีปากสีอ่อนของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางสง่างาม มันงดงามราวกับหยก
ช่างเถอะ อย่างไรมันก็สวยดี ใส่เอาไว้ก็ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนใจกว้างกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางในขณะที่นางกำลังพูดคุยกับแม่นมซวี
ปลอกคอนี้ก็ไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยมันก็สามารถปกปิดรอยที่คอของนางได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พลางเงี่ยหูฟังบทสนทนานั้น เขาใช้มือข้างซ้ายเท้าคางตัวเองเอาไว้ ส่วนมือข้างขวาก็ถือหนังสือโบราณเอาไว้ เขากลับไปเป็นชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์เหมือนเดิมอีกครั้ง เขายังคงแต่งกายด้วยชุดสีขาว และเสื้อคลุมสีเขียวตามปกติ เขายืนหลังตรง ใบหน้าหล่อเหลานั้นทั้งดูสูงศักดิ์และสง่างาม การแสดงออกของเขาดูสุขุมนุ่มลึกและติดดิน แต่สีหน้าของเขากลับเย็นชาและราบเรียบเช่นเคย
ระหว่างที่นางถือเสื้อคลุมเอาไว้ในมือ แม่นมซวีก็จงใจลดเสียงของตนลง หยุดพูดถึงเรื่องงานของตน นางดูผ่อนคลายตอนที่มองเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะเอ่ยว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าคนแก่อย่างหม่อมฉันพูดไปจะดีหรือไม่ หากหม่อมฉันพูดอะไรผิดไป หวังว่าพระชายาจะไม่ถือโทษโกรธกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางเสื้อคลุมลงข้างๆ “แม่นมซวีกำลังพูดถึงเรื่องของอวิ๋นปี้ลั่วหรือ”
นิ้วของแม่นมซวีชะงักไป จากนั้นนางก็ยิ้มออกมา “มิมีสิ่งใดสามารถรอดพ้นจากสายตาของพระชายาไปได้จริงๆ” ทุกคนต่างก็ลือกันว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นเป็นหญิงอัปลักษณ์อย่างที่สุด นางไม่มีทั้งหน้าตาที่งดงามหรือมันสมอง แต่แม่นมซวีกลับสามารถบอกได้ว่านางเป็นคนฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “แม่นมซวี ข้าไม่สนใจเรื่องของนางหรอก ไม่ว่าท่านตั้งใจจะพูดอะไร ท่านสามารถบอกมันกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้โดยตรงเลย”
แม่นมซวีชะงัก นางคาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนั้น
นางเคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวเห็นแก่ตัว และจะต้องฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างแน่นอน
นางยังเคยคิดอีกด้วยว่าพระชายานั้นรู้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดี และคงกำลังอยากได้ใครสักคนมาช่วยหาทางจัดการคุณหนูอวิ๋น
แต่ปฏิกิริยาของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ตรงกับความเป็นไปได้ทั้งสองข้อที่นางคิดเอาไว้เลย
“พระชายาไม่คิดที่จะจัดการกับคุณหนูอวิ๋นหรือเพคะ” แม่นมซวีใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงมานาน ย่อมได้เห็นองค์ชายสามและอวิ๋นปี้ลั่วที่เติบโตมาด้วยกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงหัวเราะออกมาเท่านั้น “จัดการหรือ”
แม่นมซวีรีบอธิบาย “พระชายาเพคะ หม่อมฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นแต่อย่างใด องค์ชายเป็นคนสันโดษมาแต่ไหนแต่ไร และแทบจะไม่เคยเอ่ยขอในสิ่งที่ตนต้องการเลยเพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันคิดว่าองค์ชายทรงอภิเษกสมรสกับท่านเพราะทำตามเจตจำนงของอดีตฮ่องเต้ แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้ฝ่าบาทจะทรงรักและทะนุถนอมพระชายาเป็นอย่างยิ่ง หม่อมฉันหวังเพียงว่าพระชายาจะให้โอกาสกับคุณหนูอวิ๋นเมื่อถึงเวลาที่องค์ชายต้องการจะแต่งตั้งพระสนมเพคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองแม่นมซวี นางยิ้มเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าแม่นมซวีจะเอ็นดูแม่นางอวิ๋นเหมือนกับเป็นลูกของตัวเอง”
แม่นมซวีรู้ว่านางขอมากเกินไป “ขอพระชายาอย่าได้โกรธเคืองเลยเพคะ”
“ข้าไม่โกรธหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “แม่ทุกคนย่อมทำในสิ่งที่ปกติตนไม่สามารถทำเพื่อลูกของตนได้ทั้งนั้น แต่ข้าเองก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเช่นกัน ถ้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยากแต่งงานรับนางมาเป็นสนมจริงๆ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง ข้าจะไม่ช่วยเหลือหรือขัดขวางใครทั้งสิ้น ดังนั้นแม่นมซวีอย่าได้เป็นห่วงเรื่องนี้เลย” เมื่อถึงเวลานั้นนางคงไปจากที่นั่นทันที นางไม่มีความสนใจในเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย
แขนและขาของแม่นมซวีกระตุกเกร็งอย่างมีพิรุธ “เป็นหม่อมฉันเองเพคะที่ทำตัวลามปามและขอร้องอะไรไร้สาระเช่นนั้นกับพระชายา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่กลับทำเพียงปรายตามองนาง “ในเมื่อท่านรู้ตัวว่าขอมากเกินไป เช่นนั้นก็อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ข้าไม่รู้หรอกว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะเลือกนางสนมเข้ามาหรือไม่ แต่แม่นมซวีคิดว่าเขาจะทำเช่นนั้นหรือเปล่า”
“อย่างไรคนที่รู้จักองค์ชายดีที่สุดก็คือพระชายาเพคะ” แม่นมซวีหลุบตาลง รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของนางนั้นทั้งโล่งใจ และเศร้าสร้อย “คุณหนูอวิ๋นหน้ามืดตาบอดจนคิดไปเองเพคะ แม้หม่อมฉันจะดูแลเขามานานหลายปี แต่หม่อมฉันก็ไม่เคยเห็นองค์ชายยิ้มเหมือนอย่างเมื่อครู่มาก่อนเลยเพคะ อย่างมากที่สุดเขาก็จะแค่นยิ้มออกมาเท่านั้น การที่องค์ชายพาพระชายามาที่ร้านขายฉลองพระองค์สำหรับราชวงศ์ด้วยตัวเองเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อนัก แม้บ่าวเช่นหม่อมฉันจะทำงานรับใช้เขามานานถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเขาราวกับเสือ องค์ชายเองก็คงจะตระหนักถึงเรื่องนั้นได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้องค์ชายมาก่อน ตั้งแต่ตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้ ฝ่าบาทต้องอยู่เพียงตัวคนเดียวมาตลอด…”