ตอนที่ 382 หอยโข่งผัดเซียงล่า
อีกสองวันผ่านไปในพริบตา หอยโข่งก็ได้คายสิ่งสกปรกทั้งหมดที่อยู่ในเปลือกออกมาจนหมดแล้ว
หลินม่ายเตรียมเอาหอยโข่งพวกนี้ไปผัดเซียงล่า (1)
คุณย่าฟางถาม “เธอจะทำจริงเหรอ”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันพูดจริงทำจริงค่ะ”
“หอยโข่งมีกลิ่นสาบโคลน รสชาติคงไม่อร่อยแน่ ฉันกับคุณปู่ฟางไม่ชอบกิน โต้วโต้วเองก็คงไม่ชอบกินเหมือนกัน เธอทำกับข้าวแค่ไม่กี่อย่างก็พอ กลัวทำมากเกินไปแล้วจะไม่มีใครกิน เปลืองฟืน น้ำมัน เกลือ ซอส และน้ำส้มสายชูซะเปล่า”
หลินม่ายเทหอยโข่งทั้งหมดลงไปในกะละมังที่มีน้ำเกลือ เพื่อให้มันคายสิ่งสกปรกออกมามากขึ้น
“แค่เราจัดการกับมันอย่างพิถีพิถันมันก็ไม่หลงเหลือกลิ่นสาบโคลนแล้วค่ะ นอกเสียจากว่าจะทำความสะอาดไม่ดีพอ”
หลินม่ายทำการล้างหอยโข่ง หั่นเอาหางออก แล้วเริ่มกระบวนการปรุง
คุณย่าฟางนั่งดูเธอทำหอยโข่งผัดเซียงล่า
เมื่อเห็นว่าเธอรินเหล้าขาวกับฮวาเจียวลงไปด้วย ก็อดถามไม่ได้ “ผสมเหล้าขาวกับฮวาเจียวลงไปคลุกกับหอยโข่งแบบนี้จะทำให้กลิ่นสาบโคลนลดลงเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแทนการตอบว่าใช่
คุณย่าฟางตระหนักได้ทันที “ฉันเข้าใจแล้ว ที่นี่ไม่มีใครรู้เทคนิคว่าต้องใช้เหล้าขาวในการกลบกลิ่นสาบโคลนของหอยโข่ง ปกติตัวหอยก็ไม่ใช่ของที่คนนิยมกินกันอยู่แล้ว ถ้าปรุงแบบไม่ใช้เหล้าขาวกับฮวาเจียวเข้าช่วยก็ไม่น่าแปลกใจที่มันจะออกมารสชาติแย่”
ขณะที่เฝ้าดูหลินม่ายผัดหอยโข่ง นางก็ถามต่อ “เธอใส่ฮวาเจียวลงไปมากขนาดนั้น พอผัดเสร็จแล้วไม่ฉุนแย่เหรอ”
หลินม่ายตอบ “ตอนเทลงจานก็แค่แยกเอาฮวาเจียวออกเท่านั้นเองค่ะ”
คุณย่าฟางครุ่นคิดกับตัวเอง การแยกฮวาเจียวออกจากกับข้าวทีละเม็ดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ทว่าสิ่งที่นางคิดว่าเป็นเรื่องยาก กลับกลายเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับหลินม่าย
พอผัดหอยโข่งจนสุกดีแล้ว ก่อนที่หลินม่ายจะเทมันลงจาน เธอก็ยกหม้อขึ้นมาแล้วออกแรงเขย่าอยู่ครู่หนึ่ง ปรากฏว่าฮวาเจียวเม็ดก็ค่อย ๆ กลิ้งจมลงไปอยู่ตรงก้นหม้ออย่างน่าทึ่ง ด้านบนเหลือแค่หอยโข่งที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น
เมื่อใช้ไม้พายพลิกดูหอยโข่งและสังเกตให้ดีแล้ว แทบไม่หลงเหลือเม็ดฮวาเจียวปะปนอยู่กับตัวหอยเลย
คุณย่าฟางถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเม็ดฮวาเจียวถึงจมลงก้นหม้อไปซะหมด? เธอรู้เคล็ดลับนี้มาจากไหนกัน?”
หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลักการของมันเป็นยังไง แต่ฉันเคยเรียนรู้มาจากอาจารย์คนหนึ่ง เขาเคยสอนให้ฉันจับหูหม้อทั้งสองข้างไว้ แล้วออกแรงเขย่าไปมา ส่วนผสมส่วนเกินทั้งหมดก็จะแยกออกจากกัน”
คุณย่าฟางยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีก “เธอเคยเรียนทำอาหารกับอาจารย์ด้วยเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” หลินม่ายพยักหน้า
เพียงแต่อาจารย์คนนั้นไม่ได้อยู่ในชาตินี้ แต่อยู่ในชาติที่แล้วต่างหาก
ขณะนั้นเอง เสียงใสแจ๋วของโต้วโต้วก็ดังมาจากนอกห้องครัว “ว้าว! กลิ่นหอมอะไรอย่างนี้? กับข้าวแสนอร่อยนี่คืออะไรเหรอคะแม่จ๋า? หนูอยากกินจังเลย!”
หลังจากนั้น โต้วโต้วก็ซอยเท้าอวบอ้วนวิ่งเข้ามา เขย่งเท้าแล้วชะโงกมองเข้าไปในหม้อ ถึงได้เห็นว่ามีหอยโข่งอยู่ในนั้นเต็มไปหมด
เธอปรบมือน้อย ๆ แล้วพูดด้วยความดีใจ “ดีจัง! วันนี้ได้กินหอยโข่งแล้ว!”
นับตั้งแต่หลินม่ายบอกเธอว่าหอยโข่งพวกนี้สามารถกินได้ เจ้าตัวเล็กก็ตั้งตารอที่จะได้กินหอยโข่งทุกวัน ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง
หลินม่ายชำเลืองมองลูกสาว
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังมื้ออาหารเช้าของทุกวัน คุณปู่ฟางมักจะพาโต้วโต้วออกไป ‘ล่าสัตว์’
เด็กหญิงตัวน้อยออกไปวิ่งเล่นข้างนอกตั้งแต่เช้า ใบหน้าแดงก่ำด้วยเลือดฝาด เหงื่อโซมไปทั้งตัว
หลินม่ายถึงกับอุทาน “ดูซิ เหงื่อโซมไปหมดแล้ว รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเร็วเข้า เสร็จแล้วจะได้กินหอยโข่งผัดเซียงล่าด้วยกัน”
คุณย่าฟางอาสาพาโต้วโต้วไปอาบน้ำทันที พอเห็นคุณปู่ฟางเดินกลับเข้ามาที่ห้องโถงหลักในภายหลัง นางก็หันไปดุเขาว่า “โต้วโต้วเป็นโรคหัวใจอยู่แท้ ๆ คุณกลับพาหล่อนออกไปวิ่งเล่นซะอย่างนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหล่อนจะทำยังไง!”
คุณปู่ฟางรีบอธิบาย “ฉันเปล่าพาหล่อนออกไปวิ่งเล่นซะหน่อย แค่พาหล่อนออกไปเปิดหูเปิดตา วิ่งเหยาะ ๆ เป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง ฉันอายุปูนนี้แล้ว ยังไงก็วิ่งไม่ไหวแน่ จะพาโต้วโต้ววิ่งเล่นได้ยังไง?”
ท้ายที่สุดคุณย่าฟางก็เงียบไป
หลังจากโต้วโต้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายไม่เพียงวางหอยโข่งผัดเซียงล่าจานใหญ่ไว้บนโต๊ะ แต่ยังทำผัดผักใบเขียวกับซุปไข่มะเขือเทศง่าย ๆ เพิ่มอีกด้วย
ทันทีที่คุณย่าฟางพาโต้วโต้วมาที่โต๊ะอาหาร ทั้งสี่ก็เริ่มรับประทานอาหารร่วมกัน
ทุกคนเอื้อมมือไปหยิบหอยโข่งเป็นอย่างแรกโดยพร้อมเพรียง
หลินม่ายหยิบหอยขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วแสดงวิธีกินให้โต้วโต้วดูเป็นตัวอย่าง
ก่อนอื่นต้องใช้ปากดูดน้ำซอสด้านนอก จากนั้นค่อยเล็งตรงปากหอย แล้วออกแรงดูด เนื้อหอยโข่งจะหลุดออกจากเปลือกเข้าไปในปากคนกินได้อย่างง่ายดาย!
ว่ากันว่าในเดือนมีนาคม หอยโข่งจะปรากฏตัวเต็มท้องทุ่ง และอ้วนท้วนที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ระดับน้ำในทะเลสาบจะหนุนสูงขึ้น ท้องหอยโข่งจึงยังไม่มีไข่ ดังนั้นเนื้อจึงหวานอร่อยเป็นพิเศษ ในฤดูอื่นถึงหอยโข่งจะมีคุณภาพดีไม่เท่า แต่ก็อร่อยไม่แพ้กัน
ทุกคนเริ่มดูดกินหอยกันอย่างมีความสุข
โต้วโต้วกระสับกระส่ายเวลากินเล็กน้อย เพราะหล่อนตัวเล็กจึงมีแรงดูดไม่มากพอ
ต่างจากหลินม่ายและคุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง เพราะพวกเขาสามารถดูดเนื้อหอยโข่งออกมาจากเปลือกได้ง่าย ๆ
แต่หล่อนทำแบบนั้นไม่ได้ ต้องออกแรงดูหลายครั้งกว่าเนื้อจะหลุดออกมา
เมื่อเห็นว่ากองเปลือกหอยที่อยู่ตรงหน้าผู้เป็นแม่และคุณปู่คุณย่าเริ่มทับถมกันสูงขึ้น เด็กหญิงตัวน้อยก็เหงื่อตกด้วยความกังวล
หล่อนกลัวว่าตัวเองจะกินหอยโข่งไม่ทันพวกเขา กว่าพวกเขาจะกินกันเสร็จคงไม่เหลือหอยไว้ให้หล่อนอีก
พอคุณย่าฟางสังเกตเห็นสีหน้าแบบนั้น ก็เดินไปหยิบชามอีกใบหนึ่งออกมาจากในครัว ตักหอยทากผัดเซียงล่าแยกไว้จนพูนจานแล้ววางลงตรงหน้าหล่อน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “จานนี้ของหนู กินช้า ๆ ล่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยถึงได้ใจเย็นลง
ขณะที่กำลังกินหอยโข่งผัดเซียงล่าอยู่นั้น หล่อนก็หันไปพูดกับหลินม่าย “แม่จ๋า ถ้าฉีฉีได้กินหอยโข่งผัดเซียงล่าเหมือนหนูคงดีมากเลย”
เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะเหลือหอยโข่งผัดเซียงล่าอยู่ไม่เยอะแล้ว หลินม่ายก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดปาก แล้วแบ่งส่วนที่เหลือเอาไว้ให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
ก่อนจะหันไปตอบเด็กหญิงตัวน้อย “แม่ตั้งใจว่าจะเพิ่มเมนูหอยโข่งผัดเซียงล่าไว้ขายในร้านเซาเข่าด้วย ไว้หนูค่อยชวนฉีฉีมากินทีหลัง”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าเธอเอามันไปขายในร้านเซาเข่าต้องกลายเป็นที่นิยมแน่ ๆ”
ชาติที่แล้วหลินม่ายย้ายมาอาศัยอยู่ที่เจียงเฉิงตั้งแต่อายุยี่สิบ จนกระทั่งถูกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับหลินเพ่ยรวมหัวกันฆ่าในอีกหลายปีต่อมา ทำให้เธอรู้จักเจียงเฉิงดียิ่งกว่าบ้านเกิดของตัวเองเสียอีก
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงรู้ว่าหอยโข่งผัดเซียงล่าเป็นที่นิยมในเจียงเฉิง ดังนั้นเธอจึงวางแผนว่าจะขายเมนูนี้ในร้านเซาเข่าของตัวเอง
ตอนนี้แถวชนบทยังไม่มีกุ้งมังกรน้ำจืด ถ้ามีกุ้งมังกรน้ำจืดอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะรับซื้อแล้วเอาไปทำเป็นเมนูกุ้งมังกรผัดเซียงล่าด้วยเช่นกัน
เธอพอจะจำได้ลาง ๆ ว่าสิ่งมีชีวิตอย่างกุ้งมังกรเหมือนจะแพร่หลายอย่างกะทันหัน
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี แต่หลังจากปี 1995 ที่ชนบทถูกน้ำท่วมก็เหมือนถูกพัดพามาตามกระแสน้ำ
เด็กหญิงตัวน่อยมีความสุขมากเมื่อได้ยินผู้เป็นแม่บอกว่าจากนี้ไปจะมีเมนูหอยโข่งผัดเซียงล่าขายในร้านเซาเข่า
หล่อนเงยหน้าที่เปื้อนเปรอะไปด้วยน้ำซอสจากการดูดหอยโข่งขึ้น แล้วถามอย่างมีความหวัง “หมายความว่าหนูจะได้กินหอยโข่งผัดเซียงล่าได้บ่อยเท่าที่ต้องการเลยใช่ไหมคะ?”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
พรุ่งนี้ทุกคนต้องเดินทางกลับเข้าเมืองแล้ว หลังกินข้าวเสร็จ คุณปู่ฟางจึงไปติดต่อขอยืมรถ
หลินม่ายรีบปราม “คุณปู่คะ ไม่ต้องขอยืมรถแล้วค่ะ เพราะเราไม่ต้องขนพวกเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องครัวไป คุณปู่กับคุณย่าแค่เอาเสื้อผ้าติดไปด้วยแค่ไม่กี่ชุด แล้วขึ้นรถไฟกลับไปเจียงเฉิงก็ได้แล้วค่ะ”
คุณปู่ฟางนึกแปลกใจ “เอาเสื้อผ้าติดไปแค่สองสามชุด? แม้แต่เครื่องนอนก็ไม่ต้องขนไปเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” หลินม่ายพยักหน้า “ฉันเตรียมข้าวของเครื่องใช้กับเครื่องนอนไว้ให้พวกคุณทั้งหมดแล้วค่ะ ถ้าจะซื้อก็ซื้อแค่เสื่อผืนใหญ่ก็พอ”
คุณปู่ฟางกวาดตามองไปโดยรอบด้วยความอาลัยอาวรณ์
ถึงเขาจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด แต่เข็มหนึ่งเล่ม หรือแม้แต่ด้ายหนึ่งเส้น (2) รวมถึงทุกสิ่งอย่างในที่นี้ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขากับคุณย่าฟาง
เมื่อคิดว่าตัวเองจะไม่ได้เห็นของพวกนี้อีก เขาก็รู้สึกใจหายขึ้นมา
หลินม่ายปลอบโยนเขา “ข้าวของในบ้านหลังนี้ได้ใช้แน่นอน ตอนที่พวกเรากลับมาตากอากาศที่นี่เป็นครั้งคราวค่ะ”
ดวงตาคุณปู่ฟางเป็นประกาย “เรายังจะได้กลับมาที่นี่อีกใช่ไหม?”
หลินม่ายพยักหน้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้เขา “แน่นอนค่ะ ถึงวันหยุดยาวเมื่อไหร่ เราค่อยกลับมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่!”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุณปู่ฟาง “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะออกไปหาซื้อเล้าไก่ขนาดใหญ่ จะได้ขนไก่ทั้งหมดไปเลี้ยงในเมือง ถึงยังไงคฤหาสน์ของจั๋วหรานก็ใหญ่พอจะเลี้ยงไก่ได้สักสองสามตัวอยู่แล้ว”
……………………………………………………………………………………………………………
เซียงล่า เป็นวิธีการปรุงอาหารอย่างหนึ่ง นิยมนำวัตถุดิบประเภทอาหารทะเลมาผัดกับน้ำซอสที่เป็นเครื่องเทศตำรับเสฉวนเข้มข้น รสชาติจัดจ้าน ถ้าเทียบกับไทยเราคงประมาณผัดพริกแกง
อุปมาถึงของชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่าง ๆ
สารจากผู้แปล
ตอนนี้แปลไปน้ำลายไหลไปแล้วค่ะ อยากลองกินบ้างจังเลย
ไหหม่า(海馬)