หลังจากได้ยินที่แม่นมซวีพูด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็วางเสื้อที่อยู่ในมือลง นางเอียงคอโดยไม่รู้ตัว แล้วลอบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างนอก ก่อนจะสังเกตเห็นว่าดวงตาของเขาหลุบลงเล็กน้อย ขนตายาว กับใบหน้าหล่อเหลาอันสูงศักดิ์และสง่างามที่อาบอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์แผ่รัศมีงดงามออกมา
“ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะให้คำตอบสุดท้ายกับเรื่องพวกนั้นได้ก็คือเขา” เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนสายตากลับมา จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติว่า “หากในอนาคตแม่นมซวีรู้สึกสงสารใครอีก ท่านไม่จำเป็นต้องบอกให้ข้ารู้ก็ได้ อย่างไรเสียมันก็ไม่มีประโยชน์”
แม่นมซวีชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของนางหม่นแสง แต่นางก็ยังไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง นางเพียงโค้งคำนับอีกฝ่าย แล้วกลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังเลือกของอยู่ด้วยความเคารพ
แต่อวิ๋นปี้ลั่วกลับนึกไม่ถึงว่าคนคนนั้นจะพาใครมาที่ร้านขายฉลองพระองค์สำหรับเชื้อพระวงศ์ได้
นางคิดว่านางเข้าใจนิสัยขององค์ชายดีกว่าใคร
แต่ตอนนี้…
อวิ๋นปี้ลั่วจ้องมองดอกไม้สีขาวที่บานอยู่นอกหน้าต่าง ดวงตาสีดำขลับของนางยิ่งดูมืดมน ในเวลาเดียวกันนั้นปลายนิ้วของนางที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อแขนยาวก็กำแน่นเข้าหากัน
แม้จะเห็นเช่นนั้น แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างนางกลับยังถามขึ้นมาอ้อมๆ ว่า “เมื่อครู่นี้คือองค์ชายมิใช่หรือ ทำไมองค์ชายถึงพาเฮ่อเหลียนเวยเวยมาที่ร้านขายฉลองพระองค์สำหรับเชื้อพระวงศ์ล่ะ”
อวิ๋นปี้ลั่วรู้ว่าเหตุใดเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จึงถามเช่นนั้นออกมา เพราะก่อนที่พวกนางจะมาที่ร้านขายฉลองพระองค์สำหรับเชื้อพระวงศ์นั้น นางได้บอกกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไปว่าร้านนี้มีขึ้นเพื่อการใด
ร้านขายฉลองพระองค์ร้านนี้จำกัดไว้ให้เฉพาะบรรดาเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อคลุม หรือผ้าพันคอ สินค้าทุกชิ้นนั้นล้วนแต่ได้รับการสั่งทำเป็นพิเศษ การจะหาร้านขายเสื้อผ้าที่เหมือนกับร้านนี้ภายในเมืองหลวงนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่หายากมากทีเดียว
ที่สำคัญ มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถเข้ามาในร้านขายฉลองพระองค์สำหรับราชวงศ์ได้
แต่อวิ๋นปี้ลั่วนั้นต่างออกไป นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวขององค์ชาย และเป็นเด็กสาวเพียงคนเดียวที่องค์ชายเคยพามาที่ร้านนี้
แต่ตอนนี้ แน่นอนว่าไม่ได้มีนางเพียงแค่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว
อีกทั้งเหตุผลที่ในอดีตนางสามารถเข้ามาได้นั้นก็เป็นเพียงเพราะว่านางเป็นสาวใช้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นต่างออกไป
องค์ชายเป็นคนพานางเข้ามาด้วยตัวเอง
ยิ่งกว่านั้น องค์ชายยังถึงกับรออยู่ข้างนอก เพื่อให้นางได้เลือกเสื้อผ้าของตนอีกด้วย
ต่อให้องค์ชายจะกำลังเล่นละครเพื่อเอาใจอดีตฮ่องเต้อยู่ก็ตาม แต่สิ่งที่เขาทำนั้นก็มากเกินกว่าที่นางจะรับได้เกินไป…
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ อวิ๋นปี้ลั่วก็เผลอจิกเล็บเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นปลุกนางให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ นางส่งยิ้มให้กับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ “ในเมื่อเขากำลังเล่นละครอยู่ เช่นนั้นเขาก็ต้องเล่นให้เนียนกระมัง”
“ท่านกำลังจะบอกว่าองค์ชายเล่นละครอยู่หรือ” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เป็นประกาย “มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว ข้าเห็นองครักษ์เงาของอดีตฮ่องเต้ติดตามพวกเขามาตลอดทางที่ผ่านมา”
อวิ๋นปี้ลั่วส่งเสียงตอบรับอย่างใจลอย แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจนัก
อาจเป็นเพราะองค์ชายยังไม่อภัยให้นาง
ตั้งแต่ที่นางปรากฏตัวขึ้น นางก็ไม่เคยได้คุยกับองค์ชายสองต่อสองเลยสักครั้ง
นางไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่มีสิ่งหนึ่งที่อวิ๋นปี้ลั่วมั่นใจ นั่นก็คือนางจะไม่ปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกแล้ว…
“เจียวเอ๋อร์” อวิ๋นปี้ลั่วยิ้มเล็กน้อย เสียงของนางอ่อนหวาน “เจ้าไปสำนักก็ไม่ได้ อีกทั้งยังถูกห้ามไม่ให้ออกจากบ้านอีก เจ้าไม่เบื่อหรือ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เชี่ยวชาญในการเล่นละครเพื่อเรียกคะแนนสงสารเป็นอย่างดี นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันตัวเองว่า “ข้าจะไม่เบื่อได้อย่างไร พี่อวิ๋น ท่านเองก็น่าจะรู้นี่นา ข้าทำให้องค์ชายโกรธเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเมื่อวันก่อน หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อกับท่านแม่ เกรงว่าข้าคงต้องแต่งงานกับผู้ชายที่เป็นหมันอย่างฮว๋ายหนานไปแล้ว ตอนนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยมีคนหนุนหลัง ข้าไม่รู้ว่าถ้านางเจอหน้าข้าอีกครั้ง นางจะวางแผนเล่นงานอะไรข้าอีก”
“แม่นางเวยเวยช่างกล้าดีนัก” อวิ๋นปี้ลั่วจิบชาพลางเอ่ยต่อ “ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องนี้ ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เข้าใจได้ทันทีว่าภายใต้คำพูดของอวิ๋นปี้ลั่วนั้นมีความหมายอื่นซ่อนอยู่ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกนางเอาแต่พูดถึงนังคนแพศยาเฮ่อเหลียนเวยเวยกันไม่หยุดปาก ท่านพ่อหวังเป็นอย่างยิ่งว่านังแพศยานั่นจะเดินหมากผิด และสูญเสียสิทธิ์ในการสืบทอดตระกูลไปเสีย หากนางได้ข้อมูลของเฮ่อเหลียนเวยเวยมาไว้ในมือ ก็น่าจะสามารถช่วยเหลือท่านพ่อของนางได้บ้าง
“พี่อวิ๋นรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ลดเสียงลง “ได้โปรดบอกข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะไม่บอกใครแน่นอน”
อวิ๋นปี้ลั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ข่าวมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้เวยเจ๋อทำการสั่งซื้อเหล็กกันความร้อนจำนวนมากไป เฮ่อเหลียนเวยเวยแอบซ่อนเหล็กทนความร้อนพวกนั้นเอาไว้ที่กระท่อมหลังหนึ่งนอกเมือง นางคงกำลังแอบวางแผนอะไรอยู่แน่ๆ”
“ไม่น่าแปลกนี่เจ้าคะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางดูสับสนเล็กน้อย “ที่ผ่านมานางก็ฝึกประกอบอาวุธอยู่เรื่อยๆ มิใช่หรือ”
อวิ๋นปี้ลั่วมองนาง แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “การสร้างอาวุธนั้นนับว่าเป็นเรื่องดี จะสร้างสักสิบชิ้นก็คงไม่เป็นอะไร แต่คนละเรื่องกับการสร้างอาวุธเป็นจำนวนมาก เจ้าลองคิดดูสิ อดีตฮ่องเต้จะยอมให้ใครข่มขู่อำนาจราชวงศ์หรือ หลังจากสั่งซื้อเหล็กมาเป็นจำนวนมากถึงเพียงนั้น และจัดการหลอมพวกมัน สุดท้ายแล้วพวกมันก็จะกลายเป็นอาวุธมิใช่หรือ อดีตฮ่องเต้จะมีความสุขหรือหากเขารู้เรื่องนี้เข้า”
“พี่อวิ๋นช่างรอบรู้ยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะเลือกใช้วิธีการที่ระมัดระวังเช่นนั้น” โดยปกติแล้วเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ใช้เวลาส่วนมากไปกับการต่อสู้กับบรรดาหญิงสาวที่มาจากตำหนักใน ตอนแรกนางคิดว่านางฉลาดพอเพราะนางเคยหลอกลวงคนเหล่านั้นมามากมาย แต่หลังจากได้ยินคำพูดของอวิ๋นปี้ลั่วแล้ว นางก็ตระหนักได้ว่าทุกสิ่งที่นางทำลงไปในอดีตนั้นเป็นเพียงแค่การละเล่นของเด็กเมื่อเทียบกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก
หากเดินหมากผิดเพียงตาเดียวก็ล้มทั้งกระดาน
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว แววตาชั่วร้ายก็พลันฉายวาบขึ้นในดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ทำให้ใบหน้างดงามติดจะเขินอายของนางดูบิดเบี้ยว…
ทั้งหมดที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สามารถคิดได้นั้นคือการที่นางต้องนำข้อมูลนี้ไปบอกให้ท่านแม่ของตนรู้ให้จงได้ จากนั้นท่านแม่ของนางก็จะวางแผน และฉวยโอกาสทองนี้จัดการปิดฉากนังแพศยาอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยในม้วนเดียว
ในเวลาเดียวกันนั้น ใบหน้าของซูเหยียนโม่กำลังบิดเบี้ยวเพราะนางสังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าแอบลอบมองสาวใช้จากตระกูลเฮยอีกครั้ง
นางไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าจะไม่พอใจนางเท่าใดนัก เขากำชับไม่ให้นางก่อเรื่องตอนที่พวกเขาออกมาข้างนอก
ซูเหยียนโม่รู้ว่านางไม่ควรเผยความโกรธของตนออกมาต่อหน้าคนอื่น
แต่ลูกสาวสุดที่รักของนางทั้งสองคนกลับถูกสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวย ’จัดฉากใส่ร้าย’ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็มักเป็นกังวลกับสายตาจาก ’บรรดาหญิงสาว’ ที่จ้องมองมาทางนางทุกครั้งที่นางออกไปข้างนอก
ดูเหมือนว่าบรรดาหญิงสาวในตระกูลเฮยก็กำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้จากนางเช่นกัน
ยิ่งซูเหยียนโม่ถูกปฏิบัติด้วยเช่นนั้น นางก็ยิ่งอยากกลับเข้าไปในวงสังสรรค์ยิ่งนัก
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ในเวลานี้นางพูดมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ด้วยสาเหตุนี้เช่นกันที่ทำให้เฮ่อเหลียนกวงเย่ารู้สึกเสียหน้า ดังนั้นเขาจึงกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง แล้วลากนางออกไป
“วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป ตอนที่เราอยู่ข้างนอก เจ้าจะช่วยสงบปากสงบคำหน่อยได้หรือไม่” เฮ่อเหลียนกวงเย่าเดือดดาล เขาคิดว่าการกระทำของซูเหยียนโม่นั้นเสื่อมเสียยิ่งนัก และเขากลัวว่าซูเหยียนโม่อาจจะบังเอิญรู้ความจริงที่ว่าเขากำลังนอกใจนางอยู่ก็เป็นได้ การต้องอธิบายให้นางฟังในภายหลังนั้นจัดว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก
“ข้าทำอะไรผิดหรือ ในเวลานี้เจียวเอ๋อร์ลูกของเรากลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว จะว่าไปแล้วในเวลานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงก็คงมีเพียงคุณชายตระกูลเฮยเท่านั้นที่คู่ควรกับนาง หากนางได้แต่งงานเข้าไปในตระกูลเฮย พวกเราก็จะสามารถลบล้างเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไป และเริ่มต้นใหม่ได้” ซูเหยียนโม่ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ไม่ว่านางจะไปที่ใด ทุกคนก็จะมองนางด้วยสายตาแปลกๆ นางจำเป็นต้องมีสิ่งที่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้อย่างเร่งด่วน ดังนั้นทุกคำพูดและการกระทำของนางจึงดูเหมือนการประจบเอาใจสำหรับคนอื่น นางไม่รู้เลยว่านางต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด และมิหนำซ้ำยังคิดเสียด้วยว่านั่นคือสิ่งที่ถูก