ยิ่งไปกว่านั้น เด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลจะไปเทียบกับบุตรสาวของตระกูลเฮ่อเหลียนได้อย่างไร
หลี่เมิ่งคิดหาแผนการ เขารีบตอบซูเหยียนโม่ทันที “ข้าจะกลับไปสั่งให้คนของข้าคอยจับตาดูที่นั่นเอาไว้เดี๋ยวนี้ขอรับ!”
เขามั่นใจว่าถ้าเขาจับตาดูโดยไม่ให้คลาดสายตาละก็ เขาจะต้องค้นพบความลับของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างแน่นอน!
หลี่เมิ่งมีฐานะต่ำต้อย เขาไม่สามารถเข้าถึงแวดวงสังคมชั้นสูงในเมืองหลวงได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้ว่ากว่าที่นางจะมาเป็นเจ้าของเวยเจ๋อได้นั้นมันไม่ได้เป็นเพราะโชคช่วย
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยยังมีประสบการณ์ชีวิตไม่พอ
เขาแทบรอที่จะได้จับกุมเฮ่อเหลียนเวยเวยและกระชากนางลงมาจากเวทีไม่ไหวแล้ว
หากครั้งนี้เขาทำสำเร็จ เขาก็จะสามารถทำให้เฮ่อเหลียนกวงเย่าพอใจได้ในเวลาเดียวกัน
เท่าที่เขารู้มา ในไม่ช้านี้ตระกูลเฮ่อเหลียนกำลังจะมีการประชุมตระกูลเพื่อประกาศตัวผู้สืบทอด
เฮ่อเหลียนกวงเย่ายังหวังอย่างสุดซึ้งให้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
หากครั้งนี้เขาทำได้ดี ไม่ใช่เพียงแค่เขาจะได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินซูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเฮ่อเหลียนกวงเย่าด้วย วันที่เขาจะได้มีทั้งอำนาจและเงินตราคงยังอยู่อีกไม่ไกลนัก
หลี่เมิ่งครุ่นคิดแผนการอย่างละเอียด พลางคิดว่าเรื่องนี้เป็นการแลกเปลี่ยนที่มีแต่ได้กับได้ ดังนั้น เขาจึงรีบเรียกคนของตัวเองจำนวนห้าร้อยคนจากศาลาว่าการทันที…
เมื่อได้ยินข่าวการเคลื่อนไหวของหลี่เมิ่ง ในที่สุดซูเหยียนโม่ก็สามารถคลายความโกรธแค้นที่อดกลั้นมาแรมปีลงได้ ในใจนั้นนางคิดว่าต่อให้ไม่สามารถแตะต้องนังเด็กชั้นต่ำนั่นได้ แต่นางก็จะทำลายเวยเจ๋อให้เป็นชิ้นๆ!
บ่ายวันนั้น
ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างเจิดจ้า
จั๊กจั่นยังคงร้องระงม ท่ามกลางอากาศอันแสนจะร้อนอบอ้าวนี้ สำนักไท่ไป๋ให้สิทธิ์ลูกศิษย์ได้พักผ่อนเป็นเวลาสองวัน
ตู๋ซูเฟิงไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่ามันเป็นเพราะสำนักไท่ไป๋ไม่ได้อยู่ในความสงบสุขเช่นเดิมอีกต่อไปแล้วนั่นเอง
ตอนนี้นางอยู่ในหน่วยพิฆาตวิญญาณ ภารกิจประจำวันของนางคือการแอบตรวจตราหาปีศาจที่อยู่ในสำนัก
ดูเหมือนตู๋ซูเฟิงจะเป็นกังวลกับการที่มู่หรงหงตู๋ถูกปีศาจครอบงำเป็นอย่างมาก
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับรู้สึกว่านางไม่เป็นกังวลกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในสำนัก
บางทีอาจเป็นเพราะไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและเจ้าเจ็ดเองก็อยู่ที่นี่ด้วย
ทั้งสองคนเป็นองค์ชายที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดของจักรวรรดิจ้านหลง และหนึ่งในนั้นก็ยังเป็นถึงรัชทายาทที่อดีตฮ่องเต้เลือกเอาไว้อีกด้วย
ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่การตรวจตราภายในสำนักจะเข้มงวดขึ้น
คู่หูของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเป็นเจ้าเจ็ดเหมือนอย่างเคย
เด็กชายหัวโล้นกำลังจดจ่ออยู่กับภารกิจของตน เขาหน้าบึ้งพลางถือท่อนไม้ไว้ในมือ แล้วตรวจสอบทุกซอกมุมของสำนักเป็นอย่างดี เขาทุ่มเทให้กับภารกิจของตนยิ่งนัก
แต่สิ่งแรกที่เขาทำก็ไม่ควรเป็นการกวาดเอาอาหารทั้งหมดลงท้องในทุกที่ที่ตนไปมิใช่หรือ …
“กินเสร็จแล้วหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามเขาด้วยรอยยิ้ม
เด็กชายหัวโล้นลูบพุงตัวเอง แล้วตอบอย่างไม่พอใจว่า “อาหารไม่อร่อย”
“เจ้าหมายถึงข้าวห่อใบบัวที่เจ้าแอบหยิบมาจากอาจารย์น่ะหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
เด็กชายร่างเล็กส่งเสียงเออออตอบรับ แล้วขมวดคิ้วเข้าหากันจนเหมือนตัวหนอน ดูเหมือนการกินอาหารไม่อร่อยจะทำให้โลกของเขามืดมนยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสีหน้าของเขา แล้วหัวเราะออกมา “ไม่อร่อยหรือ แต่เจ้ากินจนหมดเลยนะ!”
“ท่านเจ้าสำนักสั่งว่าไม่ให้กินทิ้งกินขว้างขอรับ” เด็กชายปักไม้ที่อยู่ในมือลงกับพื้น ท่าทางของเขาดูทรงอำนาจและน่าเกรงขาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยกวาดสายตามองเขา นางสงสัยว่าอาหารที่เขากินเข้าไปนั้นไปอยู่ที่ไหนกันแน่
จากนั้นนางก็หันไปทางพระอาทิตย์ แล้วออกมาจากร่มเงาของต้นระฆังหิมะ นางจัดเสื้อผ้าแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีที่ต้องไป เจ้าอย่าเถลไถล แต่ให้รีบตรงกลับไปหาท่านเจ้าสำนักทันที เข้าใจหรือเปล่า”
“พี่สะใภ้สาม ท่านจะไปหาพี่สามหรือ” เด็กชายหัวโล้นกัดซาลาเปาเนื้อที่หยิบติดมือมาจากที่ไหนสักแห่งคำหนึ่ง แก้มของเขาพองเป็นก้อนกลม
“เปล่า ข้าจะออกไปทำธุระที่นอกเมือง” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบ
“เช่นนั้นข้าจะไปกับพี่สะใภ้สามด้วย” แก้มของเด็กชายยังคงพองโต แต่น้ำเสียงของเขากลับเคร่งเครียด “พี่สามบอกให้ข้าปกป้องท่านตอนที่เขาไม่อยู่”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: …ข้าต้องตกต่ำถึงเพียงใดถึงจำเป็นต้องให้เด็กอายุสี่ขวบมาปกป้องหรือ
แต่ก็เอาเถอะ เจ้าเจ็ดคงช่วยเคลื่อนย้ายอะไรได้บ้างกระมัง
“หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องฝึกวิชาหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งนึกขึ้นได้ นางยิ้มออกมา
“ฝึกขอรับ” เด็กชายออกเดิน ใบหน้าของเขายังคงเคร่งเครียด “แต่ข้าฝึกวิชาระหว่างที่ติดตามพี่สะใภ้สามได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่านางไม่ควรแกล้งเด็ก ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือกับเขาอย่างตรงไปตรงมา “พอเราไปถึงที่นั่น ข้าคงต้องขอให้เจ้าช่วยข้าเคลื่อนย้ายของบางอย่างให้ แบบเดียวกันกับที่ท่านเจ้าสำนักบอกให้เจ้าเคลื่อนย้ายก้อนหินแทนการฝึกฝน แล้วหลังจากนั้นข้าจะเลี้ยงเนื้อรมควันเจ้าเป็นการตอบแทน เจ้าจะว่าอย่างไร”
เนื้อรมควัน!
เขี้ยวทั้งสองข้างของเขาเป็นประกายแทบจะในทันที
แต่พี่สามสอนเขาว่าการจะทำตัวให้สมกับเป็นชายชาตรี โดยเฉพาะชายที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น เขาจะต้องไม่แสดงอารมณ์ของตนให้คนอื่นเห็น!
ดังนั้นเขาจะต้องอดทน!
ฮึ่ม ข้าจะต้องอดทน!
เด็กชายร่างเล็กกำมือเข้าหากัน พลางพยายามเม้มริมฝีปากของตัวเองอย่างสุดความสามารถ และสุดท้ายเขาก็หันหน้าไปถามเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า “พี่สะใภ้สาม ข้าขอซาลาเปาเนื้ออีกลูกได้หรือไม่ขอรับ”
“ไม่มีปัญหา ข้าให้สามลูกเลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกขำกับเด็กชาย โดยเฉพาะกับการทำเป็นนิ่งเฉยทั้งที่ใจจริงแล้วเขาอยากกินเนื้อใจจะขาด น่าเสียดาย ใบหูที่กระดิกอยู่นั่นกลับทำให้ความแตกเสียแล้ว
บางทีองค์ชายอีกพระองค์อาจจะแค่ไม่ได้ซื่อตรงกับใจตัวเองเท่านี้ในสมัยที่เขายังเด็ก…
แต่เจ้าเจ็ดนั้นจัดว่ารูปงามจริงๆ ทั่วทั้งร่างของเขาแผ่กลิ่นอายที่คล้ายกับกำลังบอกว่า ข้าไม่ใช่เหยื่อที่เจ้าจะได้เคี้ยวง่ายๆ หรอก ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้ามาคุยกับข้า ข้าจะอัดมันให้น่วม ช่างเป็นความแตกต่างที่น่ารักน่าชังยิ่งนัก
ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงพาเด็กชายขึ้นรถม้าออกนอกเมือง
พวกนางเลือกสถานที่แห่งนั้นเป็นฐานที่ั่มั่นเพราะมันอยู่ใกล้กับกองกำลังลับมากกว่า
แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้
นางกำลังรีบหลอมอาวุธพวกนั้นตามคำสั่งของอดีตฮ่องเต้ และเขาต้องการให้มันเป็นความลับสุดยอด
ตอนนี้อาวุธพวกนั้นสร้างเสร็จแล้ว แม้กองกำลังลับจะยังขาดแคลนปืนกลหนักอยู่ แต่ก็ใกล้จะผลิตเสร็จเต็มที
ครั้งนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะไปที่นั่นเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของปืนกลหนักตัวที่ว่านี่เอง…
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม สวนขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐก็ปรากฏเข้ามาในสายตาของพวกนาง
เมื่อยืนอยู่ด้านนอก ก็จะได้ยินเสียงตีเหล็กดังออกมาจากด้านใน
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้างช่างอาวุโสมากประสบการณ์มาจากเมืองหลวง แม้พวกเขาจะอายุมากแล้ว แต่งานของพวกเขาก็จัดว่ายอดเยี่ยมเป็นที่สุด
บรรดาช่างอาวุโสเหล่านั้นล้วนแต่มีความสุขยิ่งนักเมื่อพวกเขาเห็นเด็กชายตัวน้อยที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพามา มีหลายคนเข้ามาเล่นกับเขา ในขณะที่คนอื่นๆ เฝ้ามองดูอยู่
องค์ชายเจ็ดเป็นเด็กเย็นชา แต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธของกินที่อีกฝ่ายยื่นให้ ไม่ว่าใครจะให้อะไรมา เขาก็จะกินจนหมด
จากนั้นเขาจึงเริ่มช่วยช่างอาวุโสเหล่านั้นขนย้ายข้าวของ
ตอนแรกช่างพวกนั้นต่างก็กลัวว่าแขนของเขาจะบาดเจ็บเอาได้ แต่พอพวกเขาหันไปมองอีกที พวกเขาก็เห็นภาพเด็กชายตัวน้อยแบกหอกเอาไว้บนบ่าเป็นกระบุง?!
ช่างอาวุโสเหล่านั้นอึ้งจนพูดไม่ออก พวกเขาถึงกับต้องขยี้ตาตัวเอง
แล้วจากนั้นเด็กชายก็ย่อตัวลง แล้วหอบอาวุธนั่นขึ้นมาอีกกำใหญ่…
วันนี้สายตาของพวกเขาต้องมีปัญหาแน่!
ระหว่างที่พวกเขากำลังคิดเช่นนี้อยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก ดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยบุกเข้ามา พวกเขากระแทกประตูไม้เปิดออกดังปัง!