แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 386 แผนระยะยาวของหลินม่าย

ตอนที่ 386 แผนระยะยาวของหลินม่าย

ตอนที่ 386 แผนระยะยาวของหลินม่าย

หลินม่ายเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร ดีเสียอีกที่เหลียนเฉียวออกไปจากห้อง

ขืนอยู่ต่อ ก็รังแต่จะสร้างความอึดอัดใจให้ทั้งสองฝ่าย

เธอนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว “ว่ามาซิ มีอะไรจะบอกฉัน”

“ฉันลงนามในสัญญาก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอเธอกลับมาตัดริบบิ้นเพื่อเริ่มทำการก่อสร้างอย่างเป็นทางการ”

หลินม่ายไม่เชื่อเรื่องโชคลาง แต่ชอบความเป็นมงคล ถามว่า “ได้ดูเรื่องฤกษ์งามยามดีไว้หรือยังล่ะ? เลือกฤกษ์ดีที่ใกล้ที่สุดแล้วเริ่มทำงานกันได้เลย”

“ดูแล้ว มะรืนนี้เป็นวันมงคลพอดี”

หลินม่ายพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็วันมะรืนนี้เวลาแปดโมงเช้าแล้วกัน เลขแปดเป็นเลขนำโชค”

เฉินเฟิงตอบรับ

เหลียนเฉียวจากไปได้ไม่นานก็เดินกลับมา เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับน้ำอัดลมแช่เย็นสองขวดในมือ

หล่อนส่งให้หลินม่ายกับเฉินเฟิงคนละขวด

แต่หลินม่ายกลับไม่ดื่มน้ำอัดลม ถามเฉินเฟิงว่า “การเซ็นสัญญาราบรื่นดีไหม?”

เฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นกระดกน้ำอัดลมเย็น ๆ จนหมดทั้งขวดภายในอึกเดียว

หลินม่ายแอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ เธอเองก็กระหายน้ำมาก อากาศร้อนแบบนี้ เธออยากดื่มน้ำอัดลมแช่เย็นดับกระหายคลายร้อนสักหน่อย

แต่อีกไม่กี่วันก็ครบรอบวันที่ประจำเดือนจะมาแล้ว ทำให้ดื่มไม่ได้ ทำได้แค่อดทน

หลังจากเฉินเฟิงกระดกน้ำอัดลมไปอึกใหญ่ เขาก็ใช้หลังมือเช็ดปาก “ราบรื่นมาก ผู้อำนวยการหลิวจัดสรรเรื่องการชำระเงินเบื้องต้นไว้แล้วด้วย บังเอิญมาก ในขณะที่เรากำลังจะลงนามในสัญญา ฉันเจอผู้ชายอีกคนที่อยากได้โครงการพัฒนาเมือง พอเขาเห็นว่าฉันเป็นผู้ชนะโครงการนี้ เขาก็โกรธมากจนแทบควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถามว่า “ผู้ชายคนนั้นอ้วนลงพุง หูกาง อายุสักประมาณสามสิบกว่าหรือเปล่า?”

“ใช่ๆๆ เขานั่นแหละ เธอเคยเจอเขาด้วยเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันแวะไปทำธุระที่สำนักงานเขต ฉันเดินผ่านห้องทำงานของผู้อำนวยการหลิว เห็นเขาอยู่ในห้อง แต่เขาคงไม่ทันมองเห็นฉันหรอก”

หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครู่ เธอก็ถามต่อเพราะไม่ค่อยสบายใจ “แล้วเขาไม่แสดงท่าทางต่อต้านนายเลยเหรอ?”

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะรู้สึกกังวล

ยุคสมัยนี้ ผู้ที่สามารถรับผิดชอบโครงการก่อสร้างของรัฐไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีภูมิหลังกว้างขวางเสมอไป ไม่ว่าเส้นทางอาชีพขาวหรือดำก็มีสิทธิ์ทั้งนั้น

เฉินเฟิงแค่นเสียงเย้ยหยัน “เขาหรือจะกล้าทำอะไรฉัน? หึหึ ถ้าเกิดเรื่องพรรค์นั้นขึ้นมาได้เห็นดีกันแน่!”

หลินม่ายเตือน “ระมัดระวังให้มาก ถึงจะสามารถแล่นเรือได้หลายพันปี”

จากนั้นก็พูดต่อว่า “นายควรจัดหาทีมก่อสร้างได้แล้ว วันพรุ่งนี้ฉันจะส่งช่างก่อสร้างฝีมือดีห้าสิบคนพร้อมด้วยหัวหน้าคนงานมาวางแผนงานร่วมกัน ตลาดสดนี้ก็ควรหาใครสักคนมารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการแทน เพราะอีกหน่อยนายต้องออกไปรับผิดชอบโครงการก่อสร้างอย่างเต็มตัว”

เฉินเฟิงหรี่ตาถาม “เธอจะเบนสายมาจับงานด้านวิศวกรรมแล้วรึไง?”

หลินม่ายพยักหน้า “ฉันวางแผนไว้แบบนั้นเหมือนกัน”

เธอเคยใช้ชีวิตมาสองชาติแล้ว

ในยุคนี้ ผู้คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่าในอนาคตธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์สามารถทำกำไรได้มากแค่ไหน แต่เธอรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน

ถ้าไม่ลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ไว้ การเกิดใหม่ในครั้งนี้คงเสียเปล่า

เฉินเฟิงอดกังวลไม่ได้ “เธอรับผิดชอบทั้งโรงงานตัดเสื้อ ร้านอาหาร ไหนจะตลาดสดอีก… ธุรกิจในมือมากมายขนาดนี้ เธอจัดการทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้แน่เหรอ?”

หลินม่ายยิ้ม “ทำไมจะจัดการไม่ได้? ฉันยังมีพวกนายคอยช่วยอยู่นี่ไง หลังจากส่งมอบตลาดให้นายจัดการแล้ว งานก็ไม่รัดตัวอีก โรงงานตัดเสื้อกับร้านอาหารฉันก็จ้างคนอื่นมาช่วยดูแลอีกทีหนึ่ง ตอนนี้ธุรกิจทั้งหลายยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ฉันยังพอตรวจสอบได้อย่างทั่วถึง คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปีกว่าธุรกิจจะเติบโต รอฉันเรียนจบเมื่อไหร่คงมีเวลาเพิ่มขึ้นอย่างเหลือเฟือ ไม่ต้องกังวล”

ชาติที่แล้ว เธอเคยอ่านเจอรายชื่อเศรษฐีที่ถูกจัดอันดับจากนิตยสารฟอบส์ (1) หลายคนมีธุรกิจอยู่ในมือมากกว่าหนึ่ง แต่มีโครงการใหญ่อยู่ในมือแค่หนึ่งถึงสองโครงการเท่านั้น

ตอนนี้โครงการหลักที่เธอให้ความสำคัญก็คือโรงงานตัดเสื้อกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

แน่นอนว่าทั้งหมดต้องอ้างอิงกับเหตุการณ์ปัจจุบัน อีกหน่อยเธอย่อมปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญไปตามสถานการณ์

เมื่อเห็นว่าเธอวางแผนไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว เฉินเฟิงก็พยักหน้า ไม่คัดค้านอีกต่อไป

หลินม่ายถามต่อ “นายจัดการส่งตู้เย็นไปให้ผู้อำนวยการหลิวทันเวลาหรือเปล่า? ฉันรีบร้อนเกินไป ลืมบอกนายเรื่องนี้ไปซะสนิท”

เหลียนเฉียวสะบัดหน้ามองเธอด้วยความไม่พอใจ “อย่าประเมินพี่เฟิงต่ำเกินไปได้ไหม? เขาส่งตู้เย็นไปให้ก่อนที่จะเซ็นสัญญาซะอีก คุณไม่ควรตั้งข้อกังขาเรื่องลำดับการทำงานของพี่เฟิงเลยนะ”

เฉินเฟิงหมดคำจะพูด “เธอพูดให้มันน้อย ๆ หน่อยได้ไหม…”

เหลียนเฉียวหุบปากฉับด้วยความกระดากอาย

หลินม่ายวางขวดน้ำอัดลมลงบนโต๊ะกาแฟ กำลังจะเดินออกไป

ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลยหันไปพูดกับเฉินเฟิง “มีครอบครัวหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านจินเผินใกล้กับเมืองซื่อเหม่ย ลูกชายคนโตของบ้านนี้ชื่อฟู่เฉียง ฉันทำข้อตกลงกับเขาไว้ ให้เขากับน้อง ๆ ช่วยกันเก็บผักป่ามาขายให้เรา อย่าลืมบอกเรื่องนี้ให้คนที่ไปรับซื้อรู้ด้วย แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องใช้มาตรฐานการรับซื้อเดียวกันกับผักสวนครัว คือต้องสดใหม่และสะอาด”

การช่วยเหลือครอบครัวของฟู่เฉียงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความช่วยเหลือที่ว่าจำเป็นต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

ผักที่พวกเขาเอามาขายให้เธอจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข ถ้ามีข้อยกเว้น แล้วแตกต่างอะไรไปจากงานการกุศลกัน?

เธอไม่เคยช่วยเหลือคนที่ไม่พยายามทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือตัวเอง มัวรอให้โชคลาภตกลงมาจากฟากฟ้า

เฉินเฟิงพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”

หลินม่ายไม่ลืมบอกด้วยว่าช่วงนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวมันหวาน ดังนั้นสามารถรับซื้อมันหวานบางส่วนมาวางขายในตลาดได้

หลังจากแจ้งข่าวทุกอย่างครบแล้ว เธอก็ขอตัวจากไป รีบเดินทางต่อไปยังโรงงานแห่งใหม่

เฉินเฟิงมองจ้องไปที่ขวดน้ำอัดลมของหลินม่ายบนโต๊ะกาแฟที่ไม่พร่องลงไปสักหยดด้วยความสงสัย บ่นพึมพำกับตัวเองว่า “ทำไมม่ายจื่อถึงไม่ดื่มน้ำอัดลม?”

เหลียนเฉียวได้ยินจึงตอบกลับ “ต้องเป็นประจำเดือนอยู่แน่ ๆ”

หลินม่ายไม่อยากให้เฉินเฟิงรู้สภาพร่างกายของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ปริปากบอกเขาไปตรง ๆ

ถึงเธอจะเคยเกิดในยุคปัจจุบันจึงไม่ใช่คนหัวคร่ำครึ แต่พอเป็นเรื่องทำนองนี้แล้ว เธอไม่มีทางพูดกับใครนอกจากแฟนเด็ดขาด เพราะยังถือเป็นเรื่องที่น่าอาย

ไม่คาดคิดว่าเหลียนเฉียวจะพูดออกมาตรง ๆ

เฉินเฟิงได้แต่กระแอมไอด้วยความอึดอัด

เหลียนเฉียวเดินเข้ามาขอร้อง “พี่เฟิง มอบหมายงานของตลาดให้ฉันจัดการสิคะ ได้ไหมคะ อย่างน้อยฉันก็รู้วิธีจัดการการซื้อขายนะ”

สีหน้าเฉินเฟิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที “อย่าแม้แต่จะคิด เตรียมตัวไปเป็นทหารนั่นแหละดีแล้ว!”

เหลียนเฉียวกลับไปกระแทกก้นนั่งลงตรงที่ของตัวเองด้วยสีหน้าบูดบึ้งอย่างไม่สบอารมณ์

ก่อนที่หลินม่ายจะเดินไปถึงอาคารโรงงานแห่งใหม่ เธอเหลือบไปเห็นว่าโรงงานทำหมวกขึ้นป้าย ‘ไป๋เหอโถวซื่อ’ ไว้ด้านหน้าแล้ว

หลินม่ายอดหัวเราะไม่ได้ ชื่อนี้อาจจะดูแปลกใหม่และสละสลวยสำหรับยุคนี้ แต่พอผ่านไปอีกสักสองถึงสามทศวรรษ ความรู้สึกเมื่อได้ยินอาจแตกต่างออกไป

แต่ไม่เป็นไรหรอก ถึงตอนนั้นไป๋เหอโถวซื่อของเธอคงเป็นที่รู้จักแพร่หลายแล้ว คนอื่น ๆ คงไม่คิดว่าชื่อนี้เชยเกินไป

เธอนึกว่าโรงงานทำหมวกเปิดดำเนินกิจการแล้วซะอีก แต่พอเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่าเหยาเยี่ยนกับหงซิ่วเหมยยังช่วยกันฝึกสอนพนักงานอยู่เลย

ถึงอย่างนั้นทักษะของพนักงานทุกคนก็ดีขึ้นกว่าในตอนแรกมากแล้ว ดอกไม้ที่พวกเธอทำขึ้นมีความประณีตสูง

หลินม่ายถามอย่างแปลกใจ “ทำไมถึงยังไม่เปิดร้านล่ะ?”

หงซิ่วเหมยเงยหน้าขึ้น พูดด้วยความกระตือรือร้น “หัวหน้าหลินกลับมาแล้ว! ผู้จัดการเถาบอกพวกเราว่าจะยังไม่เปิดร้านจนกว่าหัวหน้าหลินจะกลับมาค่ะ”

หลินม่ายถาม “ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พวกเธอทำดอกไม้ได้ทั้งหมดกี่ชิ้น?”

หงซิ่วเหมยชี้ไปที่ห้องซึ่งใช้สำหรับผลิตงาน “เราทำดอกไม้ไว้หลายสิบกล่องเลยค่ะ แต่ละกล่องมีดอกไม้ประดิษฐ์อยู่ประมาณหนึ่งร้อยชิ้น”

หลินม่ายเดินเข้าไปในโรงงานแล้วนับดู ในห้องมีดอกไม้ประดิษฐ์อยู่ราว ๆ ห้าสิบกล่อง

จากการคำนวณคร่าว ๆ พนักงานแต่ละคนจะสามารถทำดอกไม้ได้ประมาณหนึ่งร้อยดอกในแต่ละวัน

กำไรสุทธิของดอกไม้ประดิษฐ์อยู่ที่ห้าเฟินต่อชิ้น หมายความว่าพนักงานพิการทั้งสิบเอ็ดคนสามารถสร้างกำไรสุทธิได้รวมหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน ซึ่งนับว่ามากพอแล้ว

เธอเดินออกมา แล้วพูดกับพนักงานทุกคนว่า “วันนี้ก็ทำงานให้เต็มที่กันอีกวันหนึ่งนะ จะได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดร้านในวันพรุ่งนี้”

ไม่ลืมเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ค่าแรงของวันฝึกอบรมพนักงานจะถูกคำนวณรวมกับเงินเดือน”

พนักงานทั้งสิบเอ็ดคนส่งเสียงตอบรับ

พอหลินม่ายพูดจบ เธอก็เดินไปที่อาคารโรงงานแห่งใหม่ด้านหลัง เห็นว่าในโรงงานมีนายช่างจางเฝ้าอยู่คนเดียว จึงถามว่า “คนอื่น ๆ ไปไหนกันหมดคะ?”

นายช่างจางกำลังนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นเพื่อสูบบุหรี่ พอเห็นเธอเดินเข้ามา ก็รีบยืนขึ้นแล้วตอบกลับ “งานทั้งหมดเสร็จแล้ว ผมยังต้องรอการยืนยันจากคุณ ส่วนคนอื่น ๆ กลับไปกันหมดแล้ว”

หลินม่ายรีบถาม “ทำไมรีบปล่อยให้พวกเขากลับไปล่ะ? ฉันบอกก่อนหน้านี้แล้วนี่ว่าอย่าเพิ่งกลับ จะได้จ่ายค่าครองชีพกับค่าเช่าบ้านให้พวกเขา ระหว่างที่อยู่รอข่าวว่าฉันจะได้รับผิดชอบโครงการก่อสร้างหรือเปล่า”

นายช่างจางรีบพูด “อย่ากังวลไป พวกเขายังไม่ได้ออกจากเจียงเฉิง แค่กลับไปอยู่ที่ไซต์งานเก่า ที่นั่นมีแคมป์คนงานอยู่ พวกเขาพักอยู่ในนั้นได้”

จากนั้นเขาก็ถามอีกครั้ง “คุณได้โครงการนั้นหรือยัง?”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้แล้วค่ะ วันพรุ่งนี้คุณพาคนของคุณไปที่ตลาดสดฝูตัวตัวเพื่อพบกับผู้จัดการเฉินได้เลย เขาจะจัดสรรแผนการดำเนินงานให้คุณเอง”

นายช่างจางชะงักไปครู่หนึ่ง ถามว่า “นึกว่าคุณคุมงานเองซะอีก?”

หลินม่ายยิ้ม “โครงการก่อสร้างเป็นแค่หนึ่งในธุรกิจของฉัน เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ก็เลยมอบหมายให้ผู้จัดการเฉินเป็นคนรับช่วงต่อ ถ้ามีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ เขาจะมาหารือกับฉันในภายหลัง ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้ทำงานให้ฉัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ คุณสามารถมาหาฉันโดยตรงได้ทุกเมื่อเลยค่ะ”

หลังจากนั้นนายช่างจางจึงโล่งใจ เชิญให้หลินม่ายตรวจสอบโรงเรียนอนุบาลที่พวกเขาทำการปรับปรุงใหม่

หลินม่ายกวาดสายตาสำรวจอย่างรวดเร็ว ถึงการตกแต่งโดยรวมจะเรียบง่ายไปหน่อย แต่ผลงานก็ออกมาดี

สิ่งอำนวยความสะดวกในการสอนอย่างกระดานดำก็มีครบ

หลินม่าย “พรุ่งนี้คุณช่วยหาคนมาแขวนป้ายชื่อโรงเรียนอนุบาลให้หน่อยนะคะ แล้วช่วงบ่ายอย่าลืมไปที่แผนกบัญชีของโรงงาน Unique เพื่อรับค่าจ้าง”

เมื่อเห็นว่านายช่างจางทำหน้าลังเล จึงพูดย้ำอีกครั้ง “ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับค่าจ้างนะคะ คุณแค่ไปตามที่ฉันบอก เดี๋ยวฉันจะไปแจ้งฝ่ายบัญชีให้รู้ล่วงหน้า”

นายช่างจางพยักหน้า ยอมรับออกมาตรง ๆ “ผมกลัวว่าแผนกบัญชีอาจไม่ยอมจ่ายค่าจ้างให้ผม ก็เลยแสดงอาการลุกลี้ลุกลนไปหน่อย กลัวว่าคนอื่นอาจทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก”

หลินม่ายถาม “คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่จ่ายเงินค่าจ้างให้คุณโดยตรง?”

นายช่างจางก็ไม่รู้เหมือนกัน “ทำไมครับ?”

“อีกหน่อยคุณจะกลายเป็นหัวหน้าคนงานแล้ว ต้องเผชิญปัญหาและแก้ไขปัญหามากมายด้วยตัวเอง คุณจะวางใจในตัวฉันไปซะทุกเรื่องไม่ได้หรอกจริงไหม? ถ้าคุณทำงานได้ไม่ดี ฉันสามารถปลดคุณได้ทุกเมื่อ ในเมื่อคุณได้รับโอกาสนั้นแล้วก็ต้องทำให้ดีล่ะ”

นายช่างจางตอบรับอย่างกระตือรือร้น “เข้าใจแล้วครับ”

ไม่วายถามต่อ “ผมพาลูกชายเข้ามาทำงานด้วยได้ไหม?”

จากนั้นก็อธิบาย “ลูกชายผมยังหนุ่มแน่น สมองไวกว่าผมซะอีก มีเขาคอยช่วยงานทั้งคน ผมจะได้ไม่กังวลจนเกินไป”

หลินม่ายคิดตามอยู่พักหนึ่ง “ได้สิคะ แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อน ถ้าลูกชายของคุณไม่ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ ฉันจะไม่ยอมจ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเปล่าประโยชน์เพียงเพราะเห็นแก่คุณแน่”

นายช่างจางตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนั้นผมรู้ดี”

ถามต่อ “โรงเรียนอนุบาลนี้ชื่ออะไรครับ? ผมจะได้สั่งให้คนทำป้าย”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ให้ชื่อว่าโรงเรียนอนุบาลเสี่ยวหงฮวาแล้วกัน”

………………………………………………………………………………………………………………

นิตยสารฟอบส์ (Forbes) เป็นนิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์เกี่ยวกับลำดับเศรษฐีของโลก ลำดับดารา และการจัดอันดับที่สนใจต่าง ๆ เป็นต้น

สารจากผู้แปล

โครงการระยะยาวแบบกินกำไรยาวๆ เลยหลินม่าย บริหารจัดการยังไงเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท