มีคนคิดที่จะหยุดพวกเขา แต่การค้นหานั้นก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป หลังจากที่อีกฝ่ายค้นร้านเสร็จแล้ว พวกเขาก็เริ่มตามจับกุมขุนนางของกรมกลาโหมและกรมขุนนางต่อ
ตลอดการค้นหาและการจับกุมในครั้งนี้ เส้นสายของซูเหยียนโม่ที่อยู่ใต้ตระกูลซูอันโด่งดังก็ค่อยๆ ถูกกำจัดไปทีละคน
ไม่ใช่แค่คนที่นางไว้ใจเท่านั้น แต่กระทั่งบรรดาคนรู้จักมักคุ้นกับนางก็ยังถูกกวาดล้างไปพร้อมกัน
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตัดอำนาจทั้งหมดในเมืองหลวงของซูเหยียนโม่ แต่ยังเป็นคำเตือนสำหรับนางด้วยเช่นกัน ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีการส่งข้อความออกไปว่าใครก็ตามที่ช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้ จะต้องได้รับโทษสถานหนัก!
เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนแต่เกิดขึ้นในที่ลับตา
มีน้อยคนนักที่จะสามารถตั้งตัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับหลี่เมิ่งที่กำลังเตรียมตัวหลบหนีออกจากเมืองหลวง
เขากำลังรวบรวมเงินทั้งหมดเท่าที่ตนจะสามารถขนไปได้อยู่ แต่แล้วก็ถูกองครักษ์เงาบุกเข้ามาล้อมเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเมื่อเขาตั้งสติได้ สิ่งเดียวที่เขาสงสัยอยู่ก็คือคำถามที่ว่าใครกันที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ใครกันที่สามารถจับกุมใครต่อใครก็ได้ในเมืองหลวงตามใจ
เขาไม่คาดคิดเลยแม้แต่นิดเดียวว่าการจับกุมนี้จะมาจากคำสั่งขององค์ชายสามเอง…
เมื่อหลี่เมิ่งมาถึงศาลาว่าการ ร่างของเขาก็อยู่ในสภาพเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า และที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่งที่กำลังจ้องกลับมาที่เขา เขาไม่สนใจว่าเขาจะลักพาตัวองค์ชายเจ็ดไปหรือไม่ เขาเชื่อในคำพูดของฮูหยินซู และยืนกรานว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการแย่งชิงบัลลังก์ นางต่างหากที่สมควรได้รับความผิดในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ในเวลานั้นองค์ชายยืนอยู่ในเงามืดของห้องสอบปากคำ พร้อมกับรับฟังคำพูดของหลี่เมิ่งด้วยสีหน้าเย็นชา
หลี่เมิ่งยังไม่รู้ถึงอันตรายที่เขากำลังเผชิญอยู่ โซ่ที่มือทั้งสองข้างของเขากระทบกันตามการขยับตัวของเขา เกิดเป็นเสียงอันไม่น่าฟัง “ข้าเพียงแค่ทำตามคำสั่ง เฮ่อเหลียนเวยเวยต่างหากที่ทำความผิดร้ายแรงเอาไว้ ข้าจะจับผิดตัวได้อย่างไร”
หึ!
ขาอันเรียวยาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ ก้าวออกมาจากเงามืด ดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความเย็นชา ริมฝีปากบางของเขากดเข้าหากันกลายเป็นรอยยิ้ม เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
หลี่เมิ่งกรีดร้องออกมาอย่างกะทันหัน และถึงกับชาวาบไปทั่วทั้งหนังศีรษะ เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว และทำได้เพียงเอ่ยว่า “องค์ชายสาม”
ก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้พูดอะไรออกไป จู่ๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยื่นมือเรียวยาวสีซีดของตนฝ่าความมืดออกมาคว้าหมับเข้าที่ลำคอของเขา!
สัมผัสเย็นยะเยือกคือสิ่งแรกที่วาบเข้ามาในใจของหลี่เมิ่ง ตามด้วยความเจ็บปวดทรมานและความหวาดกลัว!
เพราะในเวลานี้เขากำลังถูกอีกฝ่ายบีบคอจนร่างห้อยอยู่เหนือพื้น!
ความรู้สึกที่เท้าลอยอยู่เหนือพื้นนั้นทำให้หลี่เมิ่งเสียการทรงตัวในทันที
ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไปจนหลี่เมิ่งไม่มีเวลาให้ได้ตั้งตัว ดวงตาของชายหนุ่มที่ส่องแสงสีแดงวาบอยู่ท่ามกลางความมืด กับผิวสีขาวซีดราวกับปูนขาวไร้สีเลือดนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะกระชากวิญญาณของใครต่อใคร “เจ้าคิดว่าเจ้าจับถูกคนแล้วหรือ หือ”
ลมหายใจเย็นราวกับน้ำแข็งของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย เขาเบือนหน้าออกจากความมืดจนสามารถเห็นรอยยิ้มโหดเหี้ยมที่ฉาบอยู่บนใบหน้านั้นได้
เมื่อลำคอถูกบดขยี้ แม้แต่การอ้าปากก็กลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับหลี่เมิ่ง ขาทั้งสองข้างของเขายังคงห้อยอยู่กลางอากาศ และเขารู้สึกเหมือนเขากำลังจะตายในเวลาต่อมา
ขุนนางที่รับผิดชอบในการสอบปากคำยืนอยู่ข้างเขา เขารีบเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของตน แล้วเอ่ยตะกุกตะกักว่า “ฝะ… ฝ่าบาท…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขายืนอย่างสง่างามอยู่กลางห้อง ริมฝีปากสีแดงและฟันขาวงดงามนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาหล่อเหลาและเย็นชาขึ้น เขาดูเหมือนเทพบุตรที่ปรากฏกายออกมาจากภาพวาด แต่มุมปากของเขากลับแฝงไว้ด้วยความโหดเหี้ยมที่ไม่ได้เผยให้ใครเห็นมาเป็นเวลานาน ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะสังหารใครสักคนอัดแน่นอยู่ในร่างของเขา นี่คือนายเหนือหัวผู้เคยเป็นที่เลื่องลือและเคยเป็นผู้ปกครองเมืองหลวงแห่งนี้
เวลานั้น ในใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีความคิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และนั่นคือการฆ่าเจ้าสิ่งมีชีวิตโง่เง่านี่ทิ้งเสีย!
ชายหนุ่มผู้กระหายเลือดเปี่ยมไปด้วยความเดือดดาล และน้ำเสียงของเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากคำพิพากษาจากนรก “เจ้าได้รับอนุญาตให้แตะต้องของสำคัญของข้าเหมือนกันหรือ” นิ้วสีขาวงาช้างนั้นแข็งแกร่งราวกับหยกขาว เขาบีบคอของหลี่เมิ่งแน่นอย่างโหดเหี้ยมและไม่คิดที่จะยั้งมือ
ใบหน้าของหลี่เมิ่งบิดเบี้ยว ในเวลานี้เขาเริ่มหายใจไม่ออกแล้ว และใบหน้าของเขาก็ซีดราวกับภูตผี
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วขณะดูอยู่ด้านข้าง ไม่ได้การ ถ้าองค์ชายฆ่าเขาที่นี่ ผลที่ตามมาคงจะไม่ดีนัก
ยิ่งกว่านั้น คนคนนี้ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเก็บไว้ล่อบรรดาคนผิดตัวจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังออกมา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหมุนตัวแล้วเดินเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจากทางด้านหลัง นางจับข้อมือไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วเอ่ยว่า “ท่านยังฆ่าเขาตอนนี้ไม่ได้”
ความอบอุ่นจากมือของนางทำให้ความเกลียดชังในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลือนหายไป
จากนั้นเขาจึงคลายมือออก แล้วโยนหลี่เมิ่งทิ้งลงกับพื้นอย่างไม่แยแส เขาหันไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย และกลับไปมีท่าทีเย็นชาอย่างเดิมทันที เขาจัดเสื้อตัวเองอย่างช้าๆ แล้วออกคำสั่งกับคนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ให้เขาได้ลิ้มรสเสียว่าการถูกโยนเข้าคุกโดยไร้เหตุผลนั้นเป็นเช่นใด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ในที่สุดขุนนางผู้ทำหน้าที่สอบปากคำก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถ้าองค์ชายสามฆ่าเขาจริงๆ ละก็ คงลำบากกับการเขียนรายงานส่งในภายหลังแน่ โชคยังดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
เมื่อคิดได้ดังนี้ ขุนนางคนนั้นก็ชำเลืองมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับคำนับนาง แล้วกระซิบว่า “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
“มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เจ้าสืบสวนต่อเถอะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม และไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ก่อนจะเดินออกไป
ขุนนางคนนั้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากอีกครั้ง พร้อมกับนึกสงสัยในใจ ข่าวลือบอกว่าองค์ชายสามทรงอภิเษกสมรสกับพระชายาเพราะต้องการทำให้อดีตฮ่องเต้พอใจมิใช่หรือ
แต่ทำไมเสียงของนางกลับมีผลกับองค์ชาย
เมื่อลองมาคิดให้ดีๆ ดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายยอมฟังคำพูดของคนอื่นทั้งที่เขากำลังโกรธอยู่…
ขุนนางคนนั้นเลิกคิ้วขึ้น แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาหันไปทางหลี่เมิ่ง แล้วเริ่มสอบปากคำเขาต่อ
หลี่เมิ่งเพิ่งได้สติกลับมา เขานอนหอบหายใจอยู่บนพื้น
เขาเป็นคนฉลาด มีกึ๋นและมีความมั่นใจ มิหนำซ้ำเขายังทำงานอยู่ในกรมขุนนางมานานพอสมควร เห็นได้ชัดว่าถ้าหากเขาต้องการที่จะทำลายแผนการกบฏล้มราชบัลลังก์ของเฮ่อเหลียนเวยเวยจริงๆ ละก็ ไม่ว่าอดีตฮ่องเต้จะรักใคร่เอ็นดูองค์ชายสามเพียงใด แต่มันก็จะยังสร้างความเจ็บปวดใจให้กับฮ่องเต้อยู่ดี แม้ว่าองค์ชายสามจะพูดจาหว่านล้อมอย่างไร แต่ฮ่องเต้ก็อาจจะไม่เชื่อเขาอย่างสนิทใจ
แต่เขาไม่รู้เลยว่าอาวุธพวกนั้นถูกสร้างขึ้นในนามของอดีตฮ่องเต้ที่สั่งให้เฮ่อเหลียนเวยเวยทำ และนางไม่เคยมีแผนการก่อกบฏอยู่ในหัวเลยแม้แต่นิดเดียว
ส่วนอาวุธเหล่านั้น อดีตฮ่องเต้เก็บพวกมันเอาไว้เป็นความลับพเราะเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องพวกมัน
หลี่เมิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก อีกทั้งยังมีความเสียใจขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยเข้ามาสมทบด้วย เรื่องนี้นี่เองที่ยิ่งผลักดันให้อดีตฮ่องเต้ทำการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง เขาต้องการหาตัวคนที่สร้างความทุกข์ใจให้กับวังหลวงของเขา!
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่อดีตฮ่องเต้ไม่กำจัดหลี่เมิ่งในทันที แต่กลับอนุญาตให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำการสืบสวนต่อ
ความจริงแล้ว ต่อให้อดีตฮ่องเต้ไม่ได้สั่งให้เขาทำอย่างนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่มีความคิดที่จะจับกุมใครอยู่แล้วเช่นกัน เพราะตั้งแต่แรกนั้นเป้าหมายของเขาก็คือการกำจัดตระกูลซู
ในเวลานี้ซูเหยียนโม่เริ่มกระวนกระวาย หลังจากที่ได้ยินว่าหลี่เมิ่งถูกจับกุม นางก็เริ่มอยู่ไม่สุข นางนึกโมโหหลี่เมิ่ง และกำลังเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจอยู่ในห้องโถง
ไม่ได้การ
นางจำเป็นต้องลงมือก่อน
นางรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง ตอนนี้นางเหลือตัวเลือกอยู่เพียงตัวเลือกเดียว นั่นคือการเพิ่มความผิดให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย และปล่อยข้อมูลที่ว่านี้ออกสู่สาธารณชนเท่านั้น…