ตอนที่ 390 คุณปู่ฟางคุณย่าฟางเยี่ยมชมตลาดสด
หลินม่ายลงมือซักผ้าต่อ ในขณะที่ฟู่เฉียงทำหมูสับนึ่งไข่ไก่
ฟู่เฉียงรู้สึกตื่นเต้นมาก ถึงอย่างนั้นก็ไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองสักเท่าไร จึงเรียกให้หลินม่ายไปชิมว่าเขาทำได้ดีหรือไม่
หลินม่ายหยิบช้อนคันเล็ก ตักหมูสับนึ่งไข่ไก่เข้าปากไปคำหนึ่งเพื่อลิ้มรสอย่างระมัดระวัง
ไม่ถึงกับอร่อยจนตาลุกวาว แต่อย่างน้อยรสชาติก็ไม่แย่
เธอยกนิ้วโป้งให้ฟู่เฉียงด้วยความจริงใจ “รสชาติดีเชียวล่ะ!”
คำชมของเธอไม่ใช่การให้กำลังใจเกินจริง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนจะทำหมูสับนึ่งไข่ไก่เป็นครั้งแรกแล้วออกมาดูดีแบบนี้
ฟู่เฉียงหน้าแดงก่ำด้วยความดีใจ
หลินม่ายออกคำสั่ง “เธอลงไปที่ร้านเปาห่าวซือชั้นล่าง สั่งเสี่ยวหลงเปามาสองเข่ง เต้าฮวยอีกหนึ่งที่ จะได้เอาไปส่งให้พ่อของเธอพร้อมกับหมูสับนึ่งไข่ไก่ตอนที่ยังร้อน ๆ เสร็จธุระแล้วเธอค่อยกลับมากินข้าวกับแม่ อย่าลืมบอกให้พนักงานลงบัญชีเป็นชื่อฉันด้วย จะได้จ่ายบิลทีเดียวตอนสิ้นเดือน”
ฟู่เฉียงอดประหลาดใจไม่ได้ “คุณอายังต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อของในร้านตัวเองอีกเหรอครับ?”
“เพื่อให้สะดวกต่อการทำบัญชี”
ฟู่เฉียงขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคา ปลุกแม่ของเขาให้ตื่น เพื่อที่จะพาหล่อนไปส่งอาหารเช้าให้พ่อพร้อมกันกับเขา
ทันใดนั้นหลินม่ายก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้บอกฟู่เฉียงเรื่องที่แม่ของเขาวิ่งหนีเตลิดเมื่อวานนี้ จะได้เตือนเขาว่าอย่าได้ผ่อนคลายความระวังแม้แต่วินาทีเดียว
เธอจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้กับเขา เพื่อให้เขาพร้อมรับมือมากกว่าเดิม
ถ้าเขาไม่คอยควบคุมแม่ตัวเองอย่างเข้มงวด หรือเผลอละเลยจนหล่อนหนีไปอีกครั้ง เขานั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเดือดร้อน
คิดได้แบบนั้นแล้วเธอก็เรียกฟู่เฉียงไว้ แล้วเล่าเรื่องที่แม่ของเขาสลัดหลุดไปจากเธอ ไม่ลืมกำชับให้เขาระวังแม่เสียสติให้ดี
ทันทีที่ฟู่เฉียงรู้ว่าแม่เสียสติของเขาสร้างปัญหาให้กับหลินม่ายไว้อย่างมากมาย เขาก็รู้สึกผิดมาก เป็นฝ่ายขอโทษหลินม่ายแทนแม่ผู้เสียสติ
หลินม่ายโบกมือ “แม่เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอก หล่อนแค่ควบคุมสติตัวเองไม่ได้ เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษฉัน”
ฟู่เฉียงกับแม่ของเขาออกจากบ้านไปแล้ว คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้วก็ถึงเวลาตื่นนอน ผลัดกันไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัว
หลินม่ายฉุกคิดได้ว่าวันนี้เธอต้องไปร่วมพิธีเปิดโรงงานไป๋เหอโถวซื่อ ดังนั้นจะแต่งตัวสบาย ๆ เหมือนทุกครั้งไม่ได้
เธอกลับเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดสูทและกระโปรงสีกรมท่าซึ่งเถาจืออวิ๋นเคยตัดไว้ให้เมื่อนานมาแล้ว ก่อนจะรวบผมเสียใหม่จนกลายเป็นสาวนักธุรกิจมืออาชีพ เสียอย่างเดียวคือใบหน้าของเธอยังดูไม่โตสมวัย
พอหลินม่ายเดินออกมาจากห้อง ทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องประหลาดใจ
ปกติเธอมักจะสวมเสื้อผ้าที่มีความคล่องตัวสูง จึงดูสดใสและอ่อนหวานในเวลาเดียวกัน นึกไม่ถึงเลยว่าพอเปลี่ยนมาสวมสูทจะดูสมาร์ทไปอีกแบบ
พวกเขาลงไปที่ร้านเปาห่าวซือเพื่อกินอาหารเช้าด้วยกัน
วันนี้พวกเขาไม่เปิดห้องอาหารส่วนตัว
ช่วงเช้าแบบนี้ยังมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนไม่มากนัก โต๊ะจึงยังโล่งเป็นส่วนใหญ่ เพลิดเพลินกับบรรยากาศยามเช้าด้วยตัวเองดีกว่า
หลังมื้อเช้า หลินม่ายขี่รถสามล้อพาสองสามีภรรยาชราและลูกสาวไปที่ตลาดฝูตัวตัวเพื่อเอาผักไปขาย
ผู้ช่วยของเฉินเฟิงที่ชื่อจ้าวเลี่ยงออกมาต้อนรับเธอด้วยตัวเอง ถามด้วยความประหลาดใจว่า “หัวหน้าหลิน วันนี้คุณเอาผักมาขายด้วยตัวเองเลยเหรอครับนี่?”
หลินม่ายชี้ไปที่คุณปู่ฟางและภรรยาของเขา “คุณปู่ของฉันท่านฝากมาขายน่ะ”
“ได้เลยครับ!” ว่าแล้วจ้าวเลี่ยงก็ลอบสังเกตคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟาง
เมื่อเห็นว่าถึงแม้พวกเขาทั้งสองจะแต่งตัวเรียบ ๆ แต่กลับมีราศีแฝงไปด้วยความน่ายำเกรงอย่างยากจะพรรณนา จึงคาดเดาว่าพวกเขาต้องไม่ใช่คนแก่ธรรมดาทั่วไปแน่
เขาเดินเข้าไปทักทายด้วยความเคารพ เรียกลูกน้องคนหนึ่งมาสั่งงานว่า “เอาผักของคุณปู่คุณย่าไปคัดใบแล้วชั่งน้ำหนัก จะได้คำนวณราคารับซื้อ”
ลูกน้องคนนั้นตอบรับ เดินเข้ามายกตะกร้าผักไปจัดการ
หลินม่ายไม่ลืมสั่งพวกเขา “ตรวจดูผักทั้งหมดให้ดีล่ะ ถ้าเจอใบเหลืองให้คัดทิ้งทันที ถ้าเจอกำไหนที่เน่าเสียก็ไม่ต้องเอามารวมชั่ง”
สหายน้องชายตอบรับอีกครั้ง
หลังจากนั้นหลินม่ายก็พาคุณย่าฟางและคนอื่น ๆ ไปเดินชมตลาดสดฝูตัวตัว
โต้วโต้วมักจะตามหลินม่ายมาซื้อของที่ตลาดอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในตลาดเป็นอย่างดี
ทว่าเมื่อคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางมาเห็นกับตาแล้วก็ถึงกับประหลาดใจ
พวกเขาเคยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาก่อน แม้กระทั่งตลาดใหญ่เหล่านั้นยังไม่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกับตลาดฝูตัวตัวเลย
พนักงานขายในตลาดสดที่ว่าต่างสวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำเงินเหมือนกันหมด ซึ่งแตกต่างจากตลาดฝูตัวตัวที่แบ่งพนักงานขายออกเป็นโซนต่าง ๆ ตามสีของผ้ากันเปื้อน
ด้านความหลากหลายของสินค้า ตลาดพิเศษในเมืองหลวงยิ่งเทียบไม่ติด
ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ อาหารทะเล วัตถุดิบจากใต้จรดเหนือแทบจะรวมครบจบในที่เดียว
คุณปู่ฟางเดินไปที่แผงขายอาหารทะเลตากแห้ง หยิบปลาหมึกแดดเดียวตัวใหญ่ขึ้นมา แล้วหันไปถามหลินม่ายด้วยความแปลกใจ “เธอไปรับซื้ออาหารทะเลตากแห้งพวกนี้มาจากไหน?”
หลินม่ายตอบยิ้ม ๆ “สำหรับที่นี่อาหารทะเลอาจเป็นสินค้าหายาก แต่ตามแนวชายฝั่งของพวกนี้เรียกได้ว่าเกลื่อนกลาดเกินความจำเป็น คนของเราเลยไปกว้านซื้อจากชาวประมงพื้นบ้านมาตุนไว้ค่ะ”
คุณปู่ฟางพยักหน้า
กลุ่มคนเดินชมตลาดกันต่อ
คุณย่าฟางอดตกตะลึงไม่ได้เมื่อเห็นว่าทางตลาดมีบริการสับซี่โครง และเชือดสัตว์ปีกให้ลูกค้าฟรี ๆ
คุณย่าฟางถอนหายใจ “มิน่าล่ะกิจการตลาดสดของเธอถึงได้รุ่งเรืองขนาดนี้ ทัศนคติด้านงานบริการของเธอนี่ยอดเยี่ยมดีจริง ๆ! ถ้าเป็นฉัน ต่อให้สินค้าในตลาดของเธอจะมีราคาแพงกว่าตลาดสดของรัฐที่อื่น แต่เพราะมีบริการที่ครบครันแบบนี้ ฉันก็ยินดีจะซื้อของจากตลาดของเธอ”
หลินม่ายยิ้มโดยไม่ได้ตอบกลับอะไร
คนที่มีความคิดแบบนี้ส่วนใหญ่คงมีแต่ลูกค้าที่มีสภาพทางการเงินในบ้านคล่องตัว
มาตรการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของหลินม่าย เช่นบริการเชือดสัตว์ปีกและสับซี่โครงให้ลูกค้าโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม คือสิ่งที่สามารถเอาชนะใจของลูกค้าประเภทนี้
ในขณะที่ลูกค้าสายประหยัดยังคงนิยมซื้อวัตถุดิบจากตลาดสดของรัฐอยู่ดี
คนเหล่านี้ไม่สนใจการบริการที่ไร้ค่าใด ๆ เท่านั้น สนใจแค่ราคาที่ถูกกว่า
ลูกค้าประเภทหลังจะมาอุดหนุนตลาดสดของเธอก็ต่อเมื่อผักที่พวกเขาต้องการไม่มีวางขายในตลาดสดของรัฐ ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะดึงดูดพวกเขา
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตลาดของเธอมีข้อกำหนดว่าราคาสินค้าต้องไม่ต่ำไปกว่าตลาดสดของรัฐ เพื่อลดความได้เปรียบในด้านราคา
โชคดีที่ในเจียงเฉิงยังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่ยอมรับในเงื่อนไขข้อนี้ได้
นอกจากนี้ ตลาดสดของเธอยังเปิดให้บริการตลอดทั้งวัน ซึ่งสะดวกสำหรับครอบครัวที่ทำงานสองแห่ง ดังนั้นธุรกิจจึงเป็นไปได้สวย
คุณปู่ฟางพูดในมุมมองที่เป็นกลาง “เรื่องนี้มันดีมากเลย ตลาดสดของม่ายจื่อจะกลายเป็นต้นแบบให้ตลาดสดของรัฐเหล่านั้นมานั่งทบทวนกับตัวเอง ว่าทำไมยอดขายของพวกเขาถึงดีไม่เท่าตลาดเอกชน? แล้วพวกเขาจะต้องปรับเปลี่ยนการบริการอย่างไรบ้าง?”
คุณย่าฟางถอนหายใจ “ไม่เสมอไปหรอก หน่วยงานรัฐวิสาหกิจมีเหตุผลที่ไม่ต้องแข่งขันกับหน่วยงานเอกชนอย่างเรา ๆ ดูจากพนักงานขายที่ทำตัวสูงส่งราวกับตัวเองถือดาบวิเศษพวกนั้นสิ พวกเขาเกรงกลัวฟ้าดินซะที่ไหน ความตั้งใจที่จะรับใช้ประชาชนก็ไม่มี แต่วางตัวเหมือนเป็นข้าราชการของรัฐเสียเอง!”
สองสามีภรรยาชราเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน
หลินม่ายรับฟังอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพาพวกเขาเดินย้อนกลับไปที่โซนของสดเพื่อหาซื้อวัตถุดิบ
จ้าวเลี่ยงส่งเงินที่คำนวณจากการรับซื้อผักให้กับคุณปู่ฟางด้วยตัวเอง
คุณปู่ฟางรับเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม
หลังจากซื้อวัตถุดิบเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงสาย เธอต้องเดินทางไปที่โรงงานไป๋เหอโถวซื่อเพื่อเตรียมพิธีเปิด
ดังนั้นหลินม่ายจึงขอให้คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ จับจ่ายซื้อของต่อด้วยตัวเองแล้วขอตัวจากไป
ปรากฏว่าคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเองก็อยากมีส่วนร่วมด้วย ในที่สุด ทุกคนจึงไปที่โรงงานทำหมวกพร้อมกัน
หลินม่ายตั้งท่าจะถลกแขนเสื้อ เพื่อเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับพิธีเปิดโรงงานที่ใกล้เข้ามา
ก่อนหน้านี้ตัวร้านหน้าโรงงานว่างเปล่าเกินไป
อย่างน้อยก็ควรแขวนหมวกและเครื่องประดับศีรษะอื่น ๆ ไว้บนผนัง เพื่อที่ลูกค้าจะได้ไม่เสียเวลาเลือกนาน
ไม่คาดคิดว่า ทันทีที่กลุ่มของพวกเธอมาถึงด้านหน้าโรงงานไป๋เหอโถวซื่อ ร้านด้านหน้าถูกจัดเตรียมสถานที่ไว้ก่อนแล้ว
ถึงภาพรวมจะไม่เป็นไปตามที่หลินม่ายวางแผนไว้ แต่ผนังร้านทั้งสองฝั่งก็เต็มไปด้วยหมวกหลากรูปแบบ
ผนังบางส่วนถูกปิดโปสเตอร์รูปเถาจืออวิ๋นที่เป็นนางแบบสวมหมวกหลายแผ่น
ไม่เพียงแต่ลูกค้าจะสามารถมองเห็นตัวสินค้าได้อย่างรวดเร็ว แต่หมวกที่ถูกสวมอยู่ในโปสเตอร์นางแบบยังส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อไม่ต่างไปจากบรรดาหมวกที่เรียงรายอยู่บนผนัง
ส่วนเคาน์เตอร์ที่เป็นตู้กระจกด้านหน้า มีเครื่องประดับศีรษะอีกหลายสิบแบบที่ตั้งโชว์ไว้อย่างสวยงาม
พนักงานขายสองคนซึ่งสวมชุดแบบเดียวกันกับพนักงานขายของร้าน Unique ในห้างสรรพสินค้า ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์กระจกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมต้อนรับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาชมสินค้าตลอดเวลา
หลินม่ายได้ยินเสียงสั่งงานดังมาจากห้องทำงานข้างใน เมื่อชะโงกหน้าไปดูถึงรู้ว่าเป็นเสียงของเหรินเป่าจู หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของโรงงานตัดเสื้อ Unique ที่กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยภายในโรงงาน
ทุกครั้งที่เจออะไรที่ดูไม่เหมาะสม ก็จะขอให้พนักงานที่รับผิดชอบแก้ไขอย่างทันท่วงที
หลินม่ายยืนรออยู่เงียบ ๆ จนหล่อนทำงานเสร็จ ค่อยเข้าไปถามด้วยความประหลาดใจ “ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของคุณเหรอ?”
เหรินเป่าจูพยักหน้ารับด้วยความภูมิใจ
โต้วโต้วสนใจหมวกที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกเป็นพิเศษ จึงรบเร้าผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แม่จ๋า หมวกใบนี้สวยมากเลย หนูอยากได้ใบนี้ ใบนี้ก็ด้วย!”
หลินม่ายยังไม่มีเวลาตามใจเธอ “ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง แม่ยังมีงานที่ต้องทำเยอะเลย”
โต้วโต้วเชื่อฟังเธอ ไม่ตะโกนรบเร้าอีกต่อไป
พนักงานพิการสิบคนรวมถึงหงซิ่วเหม่ยมาถึงโรงงานก่อนแปดโมงเช้า
ทันทีที่มาถึง พวกเขาก็แยกย้ายกันไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มลงมือทำงานตามปกติ
ถึงเธอจะนัดหมายกับผอ.เขตว่าพิธีตัดริบบิ้นจะเริ่มในเวลาประมาณแปดนาฬิกา แต่หลินม่ายและคนอื่น ๆ ต้องรอคอยจนถึงแปดโมงครึ่งกว่าอีกฝ่ายจะมาถึง
ทว่าผอ.เขตไม่ได้มาแค่คนเดียว ด้านหลังเขายังมีตากล้องและนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นติดตามมาด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อวางการจัดการตลาดไว้เป็นระบบระเบียบดีจังเลย
วันนี้ขออภัยนะคะที่มาช้า ผู้แปลไม่สบายนิดหน่อย ท้องเสียกะทันหัน
ไหหม่า(海馬)