คำถามเพียงคำถามเดียวของอัครเสนาบดีก่อให้เกิดความเงียบไปทั่วทั้งนอกประตูของวังหลวง
บรรดาขันทีและสาวใช้ต่างไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ทุกวันนี้ในวังหลวงมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากเหลือเกิน
เริ่มจากการที่ฮองเฮาถูกอดีตฮ่องเต้เนรเทศให้ไปอยู่ที่ตำหนักเย็นอย่างเป็นความลับทันทีที่นางมาถึง
และตอนนี้อัครเสนาบดีซูก็มาที่นี่เพื่อตั้งข้อสงสัยกับองค์ชาย
ความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของอัครเสนาบดีซูนั้นสื่อว่าองค์ชายต้องการก่อกบฏอย่างไม่ต้องสงสัย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดสายตามองเขาเล็กน้อยด้วยสายตาเย็นชาอวดดีเช่นเคย “เจ้าคิดว่าองค์ชายเช่นข้ากำลังปิดบังอะไรอยู่หรือ”
แม้อัครเสนาบดีซูจะมีประสบการณ์อย่างโชกโชนในราชสำนัก แต่เขาก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าองค์ชายผู้ที่ทำให้พวกเขาต้องเตรียมตัวรับมืออยู่ตลอดเวลาผู้นี้ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เวลานี้ความก็แตกออกมาให้เห็นกันชัดเจนแล้วมิใช่หรือ ทำไมเขาถึงถามเองล่ะว่าตัวเองกำลังปิดบังอะไรอยู่
อัครเสนาบดีซูรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้คงไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่เห็น และกำลังคิดที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่ในขณะที่เขากำลังจะทำเช่นนั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินซูเหยียนโม่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า “การผลิตอาวุธเป็นการส่วนตัวนั้นถือเป็นความผิดฐานก่อกบฏที่ร้ายแรงยิ่งนัก หม่อมฉันไม่รู้ว่าทำไมองค์ชายถึงได้จงใจปกป้องผู้กระทำผิดจนต้องรีบทำลายหลักฐาน และจับกุมบรรดาขุนนางในราชสำนักไปจนหมด แต่หม่อมฉันขอร้องให้อดีตฮ่องเต้ทรงช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยความยุติธรรมและตรงไปตรงมาเพื่อให้ผู้บริสุทธิ์ได้พ้นผิดด้วยเพคะ”
“ปกป้องผู้กระทำผิด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
ซูเหยียนโม่ตัวสั่นโดยไม่มีเหตุผล
แต่นางก็ยังคงยึดมั่นที่จะป้ายความผิดให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย “หม่อมฉันรู้ว่าเวยเวยเป็นพระชายาสามขององค์ชายสาม แต่หม่อมฉันเป็นคนเลี้ยงเด็กคนนี้มากับมือ และดูแลชีวิตทั่วไปของนางมาเป็นอย่างดี ดังนั้นตอนที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น หม่อมฉันเองก็ลังเลเช่นกันเพคะว่าจะมาเข้าเฝ้าอดีตฮ่องเต้ดีหรือไม่ อย่างไรเสียนางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่พี่หญิงของหม่อมฉันหลงเหลือเอาไว้ แต่กระนั้นความผิดที่นางกระทำลงไปในครั้งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำให้จบเรื่องได้ด้วยคำขอโทษง่ายๆ เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าคนที่สั่งให้นางสร้างอาวุธจำนวนนั้นขึ้นมาจะเป็นใคร นางก็ไม่อาจหนีรอดไปจากโทษทัณฑ์ของตัวเองได้เพคะ!”
เมื่อเสียงของซูเหยียนโม่ลดลง ความเย็นชาในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็พุ่งขึ้นไปถึงจุดเยือกแข็ง
ขันทีซุนเชื่อสุดหัวใจว่าถ้าหากอดีตฮ่องเต้ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย องค์ชายคงได้ใช้มือเปล่าฆ่าฮูหยินซูไปแล้ว อีกทั้ง มือก็คงไม่เปื้อนเลือดสักหยดเลยด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเสียงดังพร้อมกับเดินไปหยุดอยู่หน้าซูเหยียนโม่ “เอาไว้ค่อยมาคุยกันดีกว่าว่าข้ามีความผิดจริงหรือไม่ เพราะในเวลานี้ข้าเองก็มีคำถามที่อยากจะถามท่านกับอัครเสนาบดีซูอยู่พอดี แล้วเรื่องที่คนของพวกท่านจับตัวเจ้าเจ็ดไปล่ะ จะว่าอย่างไร หืม”
“ทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเข้าใจผิ…” ซูเหยียนโม่ยังคิดที่จะอธิบายต่อ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับปักดาบยาวของตัวเองลงตรงหน้านางจนเกิดเสียงดังเคร้ง!
ซูเหยียนโม่ตกใจจนตัวสั่น พร้อมกับยั้งคำพูดที่ตนคิดจะพูดเอาไว้ในทันที
ตรงกันข้าม เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยิ้มให้กับนาง ในรอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอันไม่คิดจะปิดบัง “ฮูหยินซู อย่าบอกนะว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เจ้าเจ็ดเป็นถึงองค์ชาย ท่านคิดว่าเขาเป็นคนที่ท่านจะสามารถจับกุมได้ตามใจชอบหรือ”
ซูเหยียนโม่ชะงักกับคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย และรู้สึกว่าต่อให้นางพูดอะไรออกไป มันก็จะกลายเป็นคำตอบที่ผิดพลาดไปเสียหมด
อัครเสนาบดีซูตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว “กระหม่อมคิดว่าพระชายาดูเหมือนจะเข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนที่จับกุมองค์ชายเจ็ดไปคือหลี่เมิ่ง ไม่ใช่ตระกูลซูของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นรึ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วหันไปมองหน้าอัครเสนาบดีซู “เช่นนั้นหากเป็นตามที่ท่านกล่าวมา ย่อมหมายความว่าเรื่องที่หลี่เมิ่งไปที่บ้านหลังนั้นก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพวกท่านเลยแม้แต่นิดเดียวใช่ไหม ข้าเข้าใจถูกหรือเปล่า แต่ว่านะอัครเสนาบดีซู ท่านจะอธิบายเรื่องที่หลี่เมิ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลซูอย่างไรหรือ”
คำถามนี้ทำให้อัครเสนาบดีซูตกอยู่ในที่นั่งลำบากทีเดียว เขาถึงกับคิดกับตัวเองว่าเขาประเมินนังเด็กแพศยานี่ต่ำเกินไปหรือเปล่า เขากำมือแน่นพลางตอบอย่างใจเย็นว่า “หลี่เมิ่งเป็นญาติห่างๆ ของตระกูลซูของเรา แต่เรื่องนี้ไม่สามารถใช้พิสูจน์อะไรได้นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“อัครเสนาบดีซู ท่านหมายความว่าพวกท่านไม่รู้เรื่องที่หลี่เมิ่งไปตรวจค้นบ้านของข้าหรือ” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยเย็นชา
ซูเหยียนโม่รู้สึกผิดกับคำถามของนาง แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว นางจะยอมรับว่านางรู้เห็นทุกอย่างได้อย่างไร
อัครเสนาบดีซูย่อมไม่ใช่คนโง่เขลา เขามองความบังเอิญที่เกิดขึ้นนี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง และรู้แน่ชัดว่าหลี่เมิ่งไปตรวจสอบบ้านหลังนั้นตามคำสั่งของบุตรสาวของตน
“ในเมื่อเวลานี้เรื่องก็ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว สาเหตุที่พระชายาสามถามคำถามอันเต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์กับพวกของกระหม่อมเช่นนี้นั้นมาจากการที่พวกของหม่อมฉันมาคุกเข่าต่อหน้าอดีตฮ่องเต้ และร้องขอให้พระองค์ช่วยตัดสินความผิดของท่านหรือ” อัครเสนาบดีตอบกลับด้วยคำถามอย่างเย็นชา แล้วหันไปทางอดีตฮ่องเต้อย่างมั่นใจโดยไม่รอให้เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ตอบคำถามของเขาเสียก่อน จากนั้นจึงเอ่ยกับอดีตฮ่องเต้ว่า “ไม่จำเป็นอะไรพูดอะไรอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องทั้งหมดนี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของพระองค์เถิด”
เมื่อได้ยินดังนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หัวเราะออกมา “สมกับที่ข้าชื่นชมความสามารถในการพูดจาไร้สาระของอัครเสนาบดีซูมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ดูเหมือนท่านจะยืนกรานมาตั้งแต่แรกแล้วว่าหลี่เมิ่งไม่รู้ว่าบ้านที่เขาเข้าไปเป็นบ้านของข้า แต่น่าเสียดายที่หลี่เมิ่งสารภาพทุกอย่างออกมาแล้ว” นางหยิบคำสารภาพนั้นออกมา พร้อมกับพูดต่อ “บนนี้มีรายละเอียดเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าหลี่เมิ่งรู้เรื่องบ้านที่อยู่นอกเมืองหลังนั้นได้อย่างไร และเขาเข้าไปที่นั่นทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นของข้าเพื่อจับกุมคนของข้า และยึดทรัพย์สินของข้าด้วย!”
ทันทีที่ซูเหยียนโม่เห็นคำสารภาพนั้น ใบหน้าของนางก็ซีดเผือด นางแทบจะเป็นลมขณะที่ก่นด่าหลี่เมิ่งอยู่ในใจ มันเพิ่งจะผ่านมาได้เพียงสองถึงสามชั่วยามเท่านั้น แต่เขาก็ทนไม่ได้เสียแล้ว
เมื่อมาถึงจุดนี้ อัครเสนาบดีซูที่มั่นใจในตัวเองนักหนาก็ถึงคราวแตกตื่นเช่นกัน ดูเหมือนเรื่องนี้จะอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาเสียแล้ว ทั้งที่โดยปกตินั้น การสอบปากคำของกรมขุนนางจะต้องใช้เวลาราวสองถึงสามวันกว่าจะรู้ผลแท้ๆ
คราวนี้มันเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
“ขันทีซุน” ในที่สุดอดีตฮ่องเต้ที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้น แต่น้ำเสียงของเขากลับก้องกังวานไปด้วยความอันตรายราวกับพายุ “ให้อัครเสนาบดีซูได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนคำสารภาพนั้นคืออะไร!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนน้อมรับคำสั่งอย่างว่าง่าย แล้วนำคำสารภาพนั้นไปให้อัครเสนาบดีซู
อัครเสนาบดีซูรู้สึกเหมือนถูกตบหน้ากลางที่สาธารณะ เขาคำนับลงกับพื้นจนเกิดเป็นเสียงดังตุ้บโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองคำสารภาพนั้นเลยแม้แต่น้อย “ฝ่าบาท ไม่ว่าตระกูลซูจะมีส่วนรู้เห็นอันใด แต่พวกกระหม่อมก็ทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อความผาสุกของเมืองนี้พ่ะย่ะค่ะ! บ้านหลังนั้นตั้งอยู่นอกเมือง หากไม่มีใครสักคนเข้าไปตรวจสอบ อาวุธจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นคงได้กลายเป็นภัยต่อความปลอดภัยของฝ่าบาทในสักวันเป็นแน่! ขุนนางผู้ต่ำต้อยเช่นกระหม่อมขอถามเพียงคำถามเดียวพ่ะย่ะค่ะ พระชายาสามผลิตอาวุธจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นเป็นการส่วนตัวด้วยเหตุผลอันใดหรือ”
อัครเสนาบดีซูเป็นคนเจ้าแผนการและเจ้าเล่ห์นัก เขาทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้เพื่อป้ายความผิดให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย อย่างไรเสียพวกเขาก็อยู่นอกประตูวังหลวง ดังนั้นนางย่อมไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ให้พ้นหูพ้นตาคนทั่วไปได้
แต่น่าประหลาดใจที่คนตอบคำถามของเขากลับเป็นอดีตฮ่องเต้ เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความอบอุ่นว่า “อาวุธที่เวยเวยผลิตขึ้นในครั้งนี้นั้น ทั้งหมดสร้างขึ้นเพื่อป้องกันศัตรูจากต่างแดน นางทำเช่นนั้นตามคำสั่งของข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ขาของอัครเสนาบดีซูก็ถึงกับหมดเรี่ยวแรง และสั่นอย่างรุนแรง การคาดเดาและการคาดการณ์ทั้งหมดที่เขาเคยมีได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิดพลาดไปเสียหมดด้วยคำตอบนั้นเพียงคำตอบเดียว และในเวลานี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถช่วยเขาได้อีก
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตหลายปีของการเป็นขุนนางที่เขาได้ลิ้มรสชาติของความเสียใจในการกระทำของตนอย่างรุนแรง ร่างของเขาแข็งทื่อจนไม่สามารถขยับได้แม้กระทั่งปลายนิ้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ซูเหยียนโม่ถึงกับหน้าซีดจนไร้สีเลือด สิ่งแรกที่นางคิดคือมันจบสิ้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว…