“อัครเสนาบดีซู เจ้าพอใจกับคำตอบนี้หรือไม่” อดีตฮ่องเต้เคลื่อนสายตาขึ้นมองอัครเสนาบดีซู
สายตานั้นทำให้อัครเสนาบดีซูหมดสิ้นเรี่ยวแรง
แต่มีหรือที่ความสนุกจะจบลงเพียงเท่านี้
องค์ชายสามยังไม่ได้พูดในส่วนของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“ในเมื่อเวลานี้ประเด็นเรื่องก่อกบฏก็ได้สะสางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรามาคุยเรื่องคำสารภาพนี้กันดีกว่า” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเบาเป็นอย่างมาก แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้คนฟังขนลุกเกรียว “ซูเหยียนโม่ ใครทำให้เจ้ากล้าที่จะตรวจสอบคนของข้าหรือ หืม”
ซูเหยียนโม่ตัวสั่น นางขังตัวเองอยู่แต่ในจวนมาเป็นเวลานาน แม้นางจะเคยได้ยินเรื่องของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมามากมาย แต่นางก็ไม่เคยได้เผชิญหน้ากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตรงๆ เช่นนี้มาก่อน เวลานี้นางรู้สึกได้เพียงความเย็นชาที่พรั่งพรูออกมาจากตัวเขาราวกับเกลียวคลื่น ความรู้สึกนั้นเหมือนจะทิ่มแทงเข้าไปถึงกระดูกของนาง
สีหน้าดูแคลนของเขาทำให้นางรู้สึกราวกับว่านางอยู่ต่ำกว่าเขา สายตานั้นแสดงออกถึงความรังเกียจอันยากจะอ่านได้
ซูเหยียนโม่ไม่กล้าแม้แต่จะตอบคำถามของเขา ระหว่างนั้นนางก็หันไปมองทางอัครเสนาบดีซูด้วยคิดว่าบิดาของนางคงจะสามารถช่วยนางได้
อัครเสนาบดีซูกัดฟันกรอด แล้วหมอบคำนับอีกฝ่ายจนศีรษะของเขากระแทกพื้นจนเกิดเสียงดังตุ้บ “มันเป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามีคนต้องการก่อกบฏจริงๆ ดังนั้นจึงได้รีบร้อนมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการด่วนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นการเข้าใจผิดทั้งสิ้น บุตรสาวของกระหม่อมเองก็สับสนเป็นอย่างมาก และทันทีที่นางรู้ข่าวนี้ นางก็รีบสั่งคนออกไปตรวจสอบทันที เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งนัก กระหม่อมสาบานว่านางมิได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงแต่อย่างใด กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินเรื่องนี้ด้วยความยุติธรรมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อขันทีซุนได้ฟังดังนั้น เขาก็เหลือบมองอดีตฮ่องเต้โดยไม่รู้ตัว
ตระกูลซูทำผิดจริง แต่ก็ยังไม่ถึงโทษตาย
ความผิดของซูเหยียนโม่มีเพียงแค่หยิบมือเดียว มันย่อมไม่เพียงพอที่จะแตะต้องนางได้
ยิ่งกว่านั้น สถานการณ์ปัจจุบันภายในราชสำนักเองก็ยังไม่คงที่และผันผวนอยู่ตลอดเวลา ฝ่าบาทจำต้องพิจารณาถึงอำนาจของสี่ตระกูลใหญ่ และมองภาพรวมให้ดีเสียก่อน จึงจะสามารถตัดสินใจในสิ่งใดได้
อัครเสนาบดีซูจงใจพูดออกมาเสียงดังก็ด้วยสาเหตุนี้เช่นกัน
อดีตฮ่องเต้ยิ้มเยาะอยู่ในใจ ดวงตาของเขาดำทะมึน จากนั้นจึงกล่าวว่า “เรื่องลุกลามมาจนถึงขั้นนี้แล้ว อัครเสนาบดีซู ท่านอย่าได้คิดว่าคำว่าเข้าใจผิดเพียงคำเดียวจะสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้”
“ไม่คิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” อัครเสนาบดีซูคำนับศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงอีกหนึ่งหน หน้าผากของเขาถลอกปอกเปิก เขาอยู่ในสภาพดูไม่ได้ ภาพลักษณ์จองหองอวดดีราวกับว่าตนอยู่เหนือผู้อื่นที่เขาเคยมีหายไปจนหมดสิ้น “กระหม่อมผิดเองพ่ะย่ะค่ะ” เขากล่าว
ซูเหยียนโม่มองภาพของผู้เป็นบิดาซึ่งไม่เคยต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้มาก่อน แล้วทันใดนั้นน้ำตาก็รื้นขึ้นมาในดวงตาของนางขณะที่นางกำมือแน่นเพื่อข่มอารมณ์ของตัวเอง
ดวงตาของอดีตฮ่องเต้ดำทะมึนขึ้นขณะที่เขากล่าวว่า “ในเมื่อคนที่ถูกเข้าใจผิดและถูกปรักปรำคือเวยเวย ดังนั้นข้าจะยกเรื่องนี้ให้อาเจวี๋ยเป็นคนจัดการ อาเจวี๋ย จำไว้ล่ะว่าอย่าทำให้อัครเสนาบดีซูต้องลำบากมากนัก”
พอพูดจบเขาก็หันหลังกลับเข้าไปในวังหลวง แต่ทิ้งขันทีซุนให้อยู่กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ซูเหยียนโม่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ
ในเมื่ออดีตฮ่องเต้สั่งให้เขาปล่อยพวกนางไปง่ายๆ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็คงไม่เป็นปัญหากับพวกนางสักเท่าใดนัก
มันเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็จะไม่เป็นไร
แม้ว่านังเด็กแพศยาเฮ่อเหลียนเวยเวยจะฉลาดแค่ไหน แต่สุดท้ายนางก็ต้องกลับไปมือเปล่า
แต่ซูเหยียนโม่ประเมินสิ่งหนึ่งไว้ต่ำเกินไป และสิ่งนั้นก็คือความสามารถในการสังหารคนโดยไม่ต้องหลั่งเลือดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่นเอง
แต่องค์ชายสามมีทุกวันนี้ได้เพราะอะไรกันหรือ
มันเป็นเพราะการที่เขาคิดจะลงโทษใครก็ตามที่เขาอยากจะลงโทษอย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าไม่
แต่เป็นเพราะความสามารถในการปั่นหัวคนพวกนั้นจนสิ้นใจโดยที่คนพวกนั้นไม่มีทางรู้เลยต่างหากว่านั่นคือความผิดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แค่เขาออกคำสั่งเพียงคำเดียว ก็สามารถจับใครสักคนมาถลกหนังได้
แม้ซูเหยียนโม่จะไม่รู้เรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอัครเสนาบดีซูจะไม่รู้ เขายังไม่ลืมว่าที่หลานสาวของตนถูกจับแต่งงานกับตระกูลฮว๋ายนั้นเป็นความคิดขององค์ชายสาม
ถึงจะบอกว่ามันเป็นสมรสพระราชทานจากราชวงศ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วหลานสาวของเขาถูกส่งตัวไปให้เป็นหม้าย
ตอนนี้เมื่อเขาคิดดูให้ละเอียดแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลซูจะเริ่มตกระกำลำบากนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา…
เมื่อคิดได้ดังนั้นอัครเสนาบดีซูก็รู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งหัวใจราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัวในทันทีที่เขามองไปยังไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างผิดพลาดที่ตรงไหน
คนฉลาดอย่างองค์ชายสาม ถ้าเขาต้องการแก้แค้นให้กับองค์ชายเจ็ดจริงๆ เขาก็น่าจะพาตัวหลี่เมิ่งไปที่ตระกูลซูโดยตรง และสั่งให้พวกเขาหาคำอธิบายให้กับองค์ชายเจ็ด
แต่เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขากลับเล่นละครตบตาว่าเขาต้องการทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้ง ขณะที่ทำลายขุมกำลังของตระกูลซูแทน เพราะต้องการให้พวกเขาหลงเชื่อว่าอาวุธจำนวนมากพวกนั้นมีที่มาอย่างผิดกฎหมายจริง!
เขาจงใจทำ เขาจงใจชักจูงพวกเขา ทำให้พวกเขาคิดว่าพวกเขาถือไพ่เหนือกว่า
มันเป็นกับดักมาตั้งแต่ต้น และหมากปิดกระดานนี้ก็คือการกระชากเขาลงมานั่นเอง!
ถ้าไม่ใช่เพราะความสงสัยที่มีต่ออาวุธจำนวนมากพวกนั้น เขาก็คงไม่มาที่วังหลวงพร้อมกับบุตรสาวโดยไม่ได้พิจารณาสิ่งที่นางพูดให้ดีก่อนเช่นนี้ แล้วสุดท้ายก็คงไม่ต้องลงเอยในสภาพนี้
ทันทีที่อัครเสนาบดีซูตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ เขาก็สัมผัสได้เพียงความหวาดกลัวอันไร้จุดสิ้นสุดที่ทำให้นิ้วของเขาสั่นสะท้าน และทำให้เขานึกอยากหนีไปจากที่นี่เสีย มันเหมือนกับว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเขานั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจที่โผล่ขึ้นมาจากนรกไม่มีผิด
เมื่อเทียบกับท่าทางหวาดกลัวอันเห็นได้ชัดของอัครเสนาบดีซูแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นกลับดูอ่อนโยนยิ่งนัก ริมฝีปากของเขาเหยียดโค้งจนแทบจะกลายเป็นรอยยิ้ม
“เสด็จปู่ไม่อยากให้ข้าทำให้ท่านลำบาก ดังนั้นข้าก็จะไม่ลงโทษท่าน อัครเสนาบดีซู แต่ดูเหมือนว่าท่านจะชอบคุกเข่า เช่นนั้นข้าก็จะปล่อยให้ท่านคุกเข่าต่อไป ตะวันขึ้นเมื่อใดท่านก็กลับได้”
อะไรนะ?!
ก่อนที่อัครเสนาบดีซูจะทันได้พูดอะไรออกมา ซูเหยียนโม่ที่อยู่ข้างๆ เขาก็แทบจะกรีดร้องออกมา
ฟ้าเพิ่งจะมืดลงได้ไม่นานเท่านั้น ถ้าเขาต้องทำเช่นนี้จนถึงเช้าวันต่อมา ย่อมหมายความว่าเขาต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่ทั้งคืน!
ท่านพ่อของนางอายุมากถึงเพียงนี้ ต่อให้เขาจะมีพลังปราณพอที่จะปกป้องตัวเองได้อยู่บ้าง แต่การคุกเข่าทั้งคืนก็สามารถพรากลมหายใจไปจากเขาได้เช่นกัน!
ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้นแล้วด้วย อีกไม่นานฝนก็คงตก
ท่านพ่อของนางจะทนอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร
องค์ชายสามไม่ได้ลงโทษเขาเพราะเขาต้องการให้ท่านพ่อของนางตายอยู่นอกประตูวังหลวงชัดๆ!
แต่มันก็เป็นวิธีการอันแยบยลไร้ซึ่งช่องโหว่ให้นางตอบโต้ได้!
เห็นได้ชัดว่าอัครเสนาบดีซูดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมของตนได้แล้ว เขากำหมัดแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
“ขันทีซุน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “นำคำสารภาพของหลี่เมิ่งไปติดให้ทั่วกำแพงเมืองเป็นการเตือนไม่ให้ขุนนางคนใดทำผิดแบบเดียวกันอีก”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ขันทีซุนขอตัวออกไป
แต่แล้วใบหน้าของซูเหยียนโม่ก็ต้องซีดเผือดอีกครั้ง การนำคำสารภาพนั้นไปติดที่กำแพงเมืองย่อมหมายความว่าทุกคนในเมืองจะได้เห็นมัน แล้วนางจะกล้าออกไปพบเจอผู้คนได้อย่างไร
“ส่วนฮูหยินซู” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยพลางหมุนแหวนบนนิ้วก้อย เขาดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่ แต่ดวงตาอันเย็นชาของเขากลับไม่ได้บอกเช่นนั้น “อย่างไรเสียท่านก็เป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดีซู หากลงโทษหนักเกินไปก็คงจะไม่ดีนัก ดังนั้นข้าจะให้ท่านได้สำนึกผิดในการกระทำของตนระหว่างถูกแห่ประจานไปตามท้องถนนก็แล้วกัน”
แห่ประจานตามท้องถนนหรือ?!
ทันทีที่ฮูหยินซูได้ยินเขาพูดเช่นนั้น นางก็อยากจะเป็นลมไปเสียเดี๋ยวนั้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู ความโกรธแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างของนาง แต่นางก็ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
นางทำได้เพียงมองมือที่ถูกใส่กุญแจมือทั้งสองข้างของตน และถูกพาตัวออกไปจากวังหลวงเท่านั้น
เมื่อทุกคนกลับกันไปแล้ว ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้มีโอกาสมายืนอยู่ตรงหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเสียที…