แต่เพราะกุ่ยซามีความรู้สึกส่วนตัวต่อชูอี เขาจึงไม่อาจอดกลั้นให้ชูอีนอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางประหลาด ดังนั้นกุ่ยซาจะแอบมาอุ้มชูอีไปไว้บนเตียงในห้องเฝ้ายามข้างนอกทุกครั้ง เพื่อให้นางได้นอนหลับอย่างสบาย
จะว่าอย่างไรดี…กล่าวได้เพียงแค่ว่า สืออู่ที่ได้รับความทรมานอย่างน่าสงสารนั้น ก็น่าสงสารเพราะได้รับความทรมานอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
หนิงเซ่าชิงที่อยู่ในตัวรถได้ยินคำถามนี้ของมั่วเชียนเสวี่ยแล้วก็กลั้นไม่ไหว หัวเราะออกมา
เจ้าตัวโง่งมของเขา นอนจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ
“เชียนเสวี่ยดูสิ ที่นี่คือที่ไหน”
เอ่ยจบ หนิงเซ่าชิงก็ใช้สายตาบอกใบ้ให้มั่วเชียนเสวี่ยมองไปรอบๆ!
มั่วเชียนเสวี่ยมองไปรอบๆ ตามสายตาหนิงเซ่าชิงแล้วก็ชะงักค้างไปทันที!
ทันใดนั้น ความทรงจำที่เลือนหายไป และถูกนางลืมจนหมดสิ้นทั้งหมดจากการนอนหลับไปตื่นหนึ่งก็ย้อนกลับคืนมา!
ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยหน้าแดงก่ำ
เป็นเพราะฝืนมานานและลำบากมากเกินไปจริงๆ เมื่อเอนตัวลงนอนในอ้อมแขนของหนิงเซ่าชิง นางถึงได้กลายเป็นคนโง่งมเสียนี่
หนิงเซ่าชิงเห็นนางหน้าแดงและอึดอัดใจอย่างหาได้ยาก ก็ยิ้มออกมาทันที!
“เด็กทึ่ม ถ้าหากว่าข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า ดูซิว่าเจ้าจะทำเช่นไร”
มั่วเชียนเสวี่ยเบ้ปาก คิดในใจว่า ท่านจะไม่อยู่ข้างกายข้าได้อย่างไร ท่านจะต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลาแน่นอน
จะว่าไปแล้ว ถ้าหากว่าท่านไม่อยู่ข้างกายข้า ข้าจะวางใจนอนหลับอย่างสบายใจเช่นนี้หรือ!
มั่วเชียนเสวี่ยยืนมือไปสางผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากการนอนแล้ว ก็เลิกผ้าม่านขึ้นมองไปด้านนอก วัดโบราณที่หยาบกระด้างและเคร่งขรึม ทำให้คนรู้สึกถึงความแข็งแกร่งซื่อตรง ไม่ยอมประจบสอพลอผู้ใด พยายามช่วงชิงความงามอันเป็นธรรมชาติ คล้ายกับภาพวาดงามสง่า ราวกับบทกวีลึกล้ำบทหนึ่ง เหมือนกับเรื่องราวแปลกใหม่ เดิมนึกว่ายังอยู่ระหว่างทาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะจอดอยู่หน้าประตูวัดเซียงกั๋วเสียแล้ว!
เมื่อมองลงไปด้านล่างภูเขา ก็เห็นเนินเขาที่ขึ้นๆ ลงๆ ติดต่อกันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ป่าไม้กว้างใหญ่ไพศาล ระหว่างป่าไม้ที่เขียวชอุ่มแซมไปด้วยดอกไป่เหอเป็นหย่อมๆ
วัดเซียงกั๋วแห่งนี้ เป็นสถานที่ดีต่อการท่องเที่ยว ปฏิบัติธรรม และทำจิตใจให้สงบ!
“ถึงแล้ว? เหตุใดจึงไม่ปลุกข้า น่าขายหน้ามาก”
ความจริงแล้วก็น่าขายหน้ามากจริงๆ อย่างไรเสียวัดเซียงกั๋วก็เป็นสถานที่สงบเงียบของพุทธศาสนา นาง มั่วเชียนเสวี่ย แม้จะมีความกล้ามากเพียงใดก็ไม่กล้าจะกำเริบเสิบสานต่อหน้าพระพุทธเจ้า!
ในอดีตนางไม่เชื่อในเรื่องผีสางเทพเทวดา แต่นับตั้งแต่ที่ตนเองทะลุมิติมายังต่างโลก และได้พบกับเสวี่ยเอ๋อร์ในความฝัน ทั้งยังมีป้ายไม้ดำที่หายตัวเองได้ เรื่องแล้วเรื่องเล่าล้วนอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า แม้ว่าบนโลกใบนี้จะไม่มีเทพหรือผี แต่กลับมีจิตวิญญาณและอำนาจลี้ลับบางอย่างคงอยู่
หนิงเซ่าชิงไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เขายื่นมือตนเองไปจัดการรอยยับบนอาภรณ์มั่วเชียนเสวี่ย พลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เพียงแค่อยากให้เจ้าได้หลับสบายสักตื่นเท่านั้นเอง”
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าในใจเขามีความสุขและพึงพอใจมากเพียงใด ยามที่เขาเห็นมั่วเชียนเสวี่ยนอนหลับสบาย ไร้แนวป้องกันใดๆ ในอ้อมแขนเขา
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองหนิงเซ่าชิงแวบหนึ่ง พลางยิ้มบางๆ จับมือเพรียวยาวทว่าคล่องแคล่วที่หยุดนิ่งอยู่กลางโคนผมตนเองคู่นั้นเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างซุกซนว่า “กะล่อน”
แม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ แต่การที่หนิงเซ่าชิงทำเช่นนี้ ก็ทำให้นางอบอุ่นยิ่งขึ้น!
มีคนคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ล้วนเห็นการปลอบโยนเจ้า ความปลอดภัยของเจ้า และความสบายของเจ้าเป็นลำดับแรกนั้น มันดีงามและมีความสุขมากเพียงใด
มั่วเชียนเสวี่ยเชื่อว่า หนิงเซ่าชิงไม่ได้พาตนเองมาที่วัดเซียงกั๋วโดยไม่มีสาเหตุ
เขาไม่ใช่คนน่าเบื่อเช่นนั้น
จุดธูปไหว้พระอะไรนั่น ไม่ใช่นิสัยของหนิงเซ่าชิงแม้แต่น้อย ข้ออ้างเช่นนี้ นางปฏิเสธไม่ยอมรับอย่างรวดเร็ว!
ในเมื่อไม่ได้มาจุดธูปอธิษฐานขอพร เช่นนั้นจะต้องมาพบกับใครบางคนสินะ
คนที่สามารถทำให้หนิงเซ่าชิงจดจำไว้ในใจได้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่หวาดกลัวหรือกังวล ท้ายที่สุดแล้วที่นี่ล้วนเป็นพระภิกษุ หรือว่าหนิงเซ่าชิงจะมีเรื่องต้องห้ามกับพระภิกษุระยะหนึ่งได้กัน?
กล่าวเช่นนี้…
มั่วเชียนเสวี่ยก็เงยหน้า พิจารณามองหนิงเซ่าชิงรอบหนึ่ง ยากมากที่จะจินตนาการถึงท่าทางตอนที่เขาเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ หลังจากมโนภาพ YY ในห้วงความคิดตนเองแล้ว ก็ยิ้มปัญญาอ่อนอยู่ตรงนั้นคนเดียว
หนิงเซ่าชิงรักษาความเงียบอย่างชาญฉลาด เขาเข้าใจมั่วเชียนเสวี่ยเกินไป ในตอนที่นางยิ้มอย่างไม่มีสาเหตุนั้น ทางที่ดีสุดเจ้าอย่าได้เอ่ยถามอันใดออกไป! มิฉะนั้นสุดท้ายผู้ที่จะถูกทำให้เกิดอาการสำลักนั้น ก็มีเพียงตัวเจ้าเอง!
ใครจะไปรู้ว่าในใจของเด็กสาวผู้นี้คิดเรื่องประหลาดอันใดอีก เพื่อไม่ให้ตนเองได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ หนิงเซ่าชิงที่เข้าใจความคิดประหลาดของมั่วเชียนเสวี่ยก็ยังคงไม่เอ่ยถามออกมาสักประโยค แม้ว่าในใจจะอยากรู้มากก็ตาม
ความจริงแล้ว แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะถาม มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา!
จะให้นางเอ่ยกับคู่หมั้นตนเองว่า ‘ข้ากำลังจินตนาการภาพที่ท่านกลายเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับเช่นนั้นหรือ’
ช่างมันเถอะ นางยังไม่อยากตายเร็ว!
“เรียบร้อยแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ ช่วงเวลานี้ ไปทันมื้อเย็นพอดี นับว่ามาทันเวลาที่พวกเขากินข้าวกันพอดี”
เอ่ยจบ หนิงเซ่าชิงก็จัดการอาภรณ์ของตนเองเล็กน้อย สูดลมหายใจสดชื่นเข้าไปเฮือกหนึ่งแล้วพามั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปยังวัดเซียงกั๋วแห่งนี้
นับตั้งแต่เริ่มก่อสร้างวัดเซียงกั๋วจนถึงตอนนี้ ก็มีประวัติศาสตร์มาหลายร้อยปีแล้ว ในราชวงศ์เทียนฉีก็นับว่าเป็นวัดโบราณที่เฟื่องฟูและมีประวัติศาสตร์วัฒนธรรมมาอย่างยาวนานที่สุด
ที่หาได้ยากก็คือ วัดแห่งนี้ผ่านมาหลายยุคสมัยแล้ว แต่ยังคงรุ่งโรจน์มากที่สุด!
แม้ว่าวัดเซียงกั๋วจะอยู่ไกลจากเมืองหลวงมาก แต่กลับได้รับการต้อนรับฮ่องเต้สี่องค์กับไท่ซ่างหวางสององค์ก่อนหลังตามลำดับ และเหล่าเหนียงเหนียงผู้สูงศักดิ์ในวังก็ล้วนชอบมาจุดธูปอธิษฐานขอให้มีความสุขความเจริญที่นี่มากที่สุด
แม้ว่าจะเป็นเหล่าสตรีที่แต่งงานแล้วในตระกูลชนชั้นสูง เพียงแค่มีฐานะหน่อย ก็จะเลือกมาสวดมนต์ภาวนา อธิษฐานขอพรที่นี่
มือถูกหนิงเซ่าชิงจับจูงไว้แน่น ทั้งสองคนก้าวเดินด้วยฝีเท้าผ่อนคลายทว่าเคร่งขรึม ทีละก้าวๆ เข้าไปในวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และได้ครอบครองสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยมเช่นนี้!
บางทีเจ้าอาวาสหยวนเหรินผู้นั้นคงจะล่วงรู้ทุกอย่างราวกับเทพยดา หรือไม่ก็เป็นเพราะว่ารถม้าของพวกเขาจอดอยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลากว่าครึ่งก้านธูป จึงได้ดึงความสนใจของผู้อื่น
เมื่อทั้งสองคนก้าวเข้าไปในประตูวัดเซียงกั๋ว ก็มีเณรน้อยสองรูปที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใด
มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงไปเล็กน้อย ส่วนหนิงเซ่าชิงกลับมีสีหน้าสงบเงียบ
พระอาจารย์สองท่านนั้นแสดงความเคารพตามมาตรฐานของผู้เป็นพระภิกษุ หลังจากกล่าวว่าอามิตาพุทธแล้ว ก็เดินนำทั้งสองคนเข้าไปด้านใน
เรื่องทั้งหมดนี้ สำหรับมั่วเชียนเสวี่ยล้วนประหลาด และแปลกใหม่!
ตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ชีวิตต้องดิ้นรน ทุกวันล้วนยุ่งวุ่นวาย จึงไม่มีเวลาที่จะไปท่องเที่ยวและเยี่ยมชมประเทศสหรัฐอเมริกาดีๆ สักครา!
แต่ที่ทำให้นางประทับใจลึกซึ้งก็คือ ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะโน้มน้าวสปอนเซอร์เจ้าหนึ่ง และสปอนเซอร์เจ้านี้ก็เคร่งในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
ดังนั้น ตอนนั้นนางจึงมโนภาพความรู้ทางด้านนี้สักหน่อย จึงพอจะรู้เรื่องสิบแปดอรหันต์ และยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ส่วนเรื่องอื่นล้วนถูกลืมไปแล้ว
และในยามนั้นการท่องเที่ยวในวัดล้วนถูกคนในยุคปัจจุบันย่ำยีจนแทบจะไม่หลงเหลือความรู้สึกของพุทธศาสนาในยุคโบราณเลยสักนิดเดียว