“แห่ประจานบนถนนหรือ สำนึกในความผิดของตัวเองหรือ” องค์ชายคิดบทลงโทษพวกนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน ช่างร้ายกาจเสียจริง!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเข้าไปในดวงตาที่ดูเหมือนจะกระจ่างใสยิ่งกว่าในยามปกติของนาง ริมฝีปากบางของเขาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำไม ไม่ใช่ความคิดที่ดีหรือ”
“เปล่าเลย” นางแค่สงสัยเท่านั้นว่ากระบวนการคิดขององค์ชายบิดเบี้ยวถึงเพียงใดถึงสามารถคิดหาบทลงโทษชั่วร้ายเช่นนั้นขึ้นมาได้ต่างหาก
ยิ่งกว่านั้นในครั้งนี้คู่ต่อสู่ของนางก็หมดสิ้นเรี่ยวแรงก่อนที่นางจะทันได้ลงมือเสียอีก
แม้แต่อัครเสนาบดีซูก็ยังหนีจากชะตากรรมแห่งความอัปยศนี้ไม่พ้น
นางสัมผัสได้ว่าโทสะของนางค่อยๆ มอดลงในระหว่างที่นางมองดูเหตุการณ์นี้อยู่ข้างๆ
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคนนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงอันชัดเจนว่า “สาแก่ใจข้ายิ่งนัก”
“ถ้าเจ้าพอใจก็ดี” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดช้าๆ น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนเขาไม่ได้กำลังทำอะไรเลวร้ายอยู่แม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นกลับน่าตกใจสำหรับคนอื่นๆ “วิธีการของเจ้าอ่อนโยนเกินไป การตบหน้าตัวเองทำให้พวกเขาเจ็บได้เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น คนอย่างนางสมควรได้จดจำความอัปยศอดสูเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นั่นต่างหากล่ะถึงจะเป็นหนทางแก้แค้นที่เหมาะสม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าตามขณะที่ฟัง การจะหาใครสักคนที่ตีสองหน้าได้เก่งเท่าองค์ชายสามนั้นคงนับได้ว่าเป็นเรื่องยากทีเดียว แต่การที่เขาเอาความคิดชั่วร้ายทั้งหมดนี้มาสอนนางเช่นนี้มันเป็นเรื่องดีแล้วจริงๆ หรือ
ยิ่งกว่านั้น เขากล่าวว่าเขาโปรดปรานแต่เพียงหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเท่านั้น แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับความรังเกียจที่เขามีให้กับบรรดาหญิงสาวที่ชื่นชอบในการเล่นสงครามประสาทกันหรือ
อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกว่าเขามักจะทำตัวเหนือความคาดหมายจากสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่เสมอ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกวาดสายตามองคนตัวเล็กในปกครองของตนที่นานทีปีหนจะทำตัวเชื่อฟังสักครั้ง มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนระหว่างที่เขายื่นมือออกไปดึงนางมายืนข้างกาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าของเขาเพราะนางยังคงครุ่นคิดกับสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้อยู่ ดังนั้นนางจึงไม่เห็นรอยยิ้มบางที่อยู่บนริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย...
ท้องถนนสายเก่าแก่ของเมืองหลวงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่สัญจรไปมาไม่ว่าจะเป็นคนจากตระกูลขุนนาง หรือสามัญชนทั่วไป เวลานี้เป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่มักจะออกมาเดินเล่นบนท้องถนนกัน
“พวกเจ้าดูสิ นั่นใครน่ะ?!”
“นั่นฮูหยินของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์นี่!” มีคนในฝูงชนจำฮูหยินซูได้ เขาตะโกนขึ้น “ไปกันเถอะ ไปดูใกล้ๆ กัน!”
มือข้างซ้ายของซูเหยียนโม่ถูกล่ามไว้กับเกวียนคุมขังนักโทษ นางกำลังสำนึกผิดกับการกระทำของตัวเองต่อหน้าสายตาคนนับร้อย คำพูดทุกคำที่นางพร่ำพูดออกมานั้นดังกังวานไปทั่วถนนฉางอันอันกว้างขวางจนเกิดเป็นเสียงสะท้อน
ทุกคนมองไปที่นางแล้วหัวเราะออกมา
ซูเหยียนโม่ไม่ต้องสัมผัสใบหน้าตัวเองก็สามารถรู้ได้ว่าแก้มของนางร้อนระอุเพียงใด ตลอดชีวิตของนาง นางไม่เคยต้องทนกับการถูกเหยียดหยามที่จากสายตาของคนภายนอกเช่นนี้มาก่อน มันไม่ต่างอะไรไปจากการเปิดเผยให้ทุกคนได้เห็นว่านางเป็นคนที่น่าอับอายเพียงใด
“หึๆ ใครเล่าจะคิดว่าฮูหยินผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลเฮ่อเหลียนจะเป็นแม่เลี้ยงจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ได้ ข้าเคยคิดว่านางเป็นคนดีเพราะนางมักจะกินเจ ละเว้นจากเนื้อสัตว์และตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์แท้ๆ”
เสียงกระซิบกระซาบจากบรรดาผู้คนที่ออกันอยู่นั้นทิ้งรสชาติอันแสบร้อนเอาไว้ในปากของนาง น้ำเสียงของนางแตกพร่าเมื่อนางอ่านรายละเอียดที่อยู่ในม้วนคำสารภาพนั้นจบ แต่นางถูกสั่งให้อ่านมันซ้ำทั้งหมดสิบรอบ แล้วองครักษ์เงาถึงจะปล่อยนางไป
ใบหน้าของซูเหยียนโม่ร้อนระอุราวไฟเผาอยู่ครู่หนึ่ง แต่จากนั้นมันก็ซีดจนไร้สีเลือด ดวงตาอันไร้ซึ่งชีวิตชีวาของนางซ่อนความเดือดดาลเอาไว้ภายใน เพราะไม่ว่านางจะรู้สึกไม่อยากทำเพียงใด นางก็ทำได้เพียงแค่กัดฟันและอ่านข้อความนั้นซ้ำเท่านั้น
ในจำนวนคนที่ดูอยู่นั้นมีคนจากตระกูลเฮ่อเหลียนรวมอยู่เช่นกัน พวกเขาเองก็รู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนักทันทีที่เห็นสภาพของซูเหยียนโม่
เวลานี้ทุกคนจากตระกูลเฮ่อเหลียนต่างก็พยายามซ่อนตัวให้พ้นจากซูเหยียนโม่ เพราะกลัวจะมีใครรู้ว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับนาง
ในอดีตนั้นไม่ว่าซูเหยียนโม่จะไปไหน ก็ต้องมีใครสักคนไปกับนางด้วยเสมอ แต่ในเวลานี้ นางไม่มีตัวเลือกนอกจากต้องอดทนกับคำพูดเหล่านั้น นางก้มหน้างุดตลอดทางกลับไปยังคฤหาสน์ผู้พิทักษ์
นางรู้สึกว่าประสบการณ์นี้เลวร้ายยิ่งกว่าการสั่งประหารนางเสียอีก!
ณ หออี้อวิ๋น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนกลอนอยู่กับคุณหนูคนอื่นๆ โดยไม่รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นคุณหนูสองคนก็เริ่มชี้นิ้วมาที่นางและเริ่มซุบซิบเรื่องนางกันเบาๆ
ท่าทางของทุกคนที่อยู่รอบตัว และสายตาที่พวกเขาใช้มองนางดูผิดไปจากปกติอย่างเห็นได้ชัด ในความรื่นรมย์นั้นดูคล้ายกับจะมีความเหยียดหยันดูแคลนแฝงอยู่ พวกเขาทำเหมือนกับกำลังดูตัวตลกบนเวทีก็ไม่ปาน
เมื่อได้เห็นภาพที่เกิดขึ้น บวกกับการที่ในระยะนี้ชีวิตของนางไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนักจึงทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางตรงกลับบ้านทั้งน้ำตาโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
นางไม่รู้ว่าที่บ้านเองก็ตกอยู่ในบรรยากาศเดียวกัน
แม้แต่บรรดาข้ารับใช้และสาวใช้ที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตานางในเวลาปกติก็ยังรวมกลุ่มกันหลังจากนางเดินผ่าน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เคยมีสาวใช้เป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้นางต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองโดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆ เรื่องนี้ยิ่งทำให้ความรู้สึกอับอายของนางเพิ่มสูงขึ้นอีก ทันทีที่นางเข้ามาถึงห้องของตัวเอง นางก็เริ่มทุบข้าวของจนแหลกเป็นชิ้นๆ
ซูเหยียนโม่กลับมาเห็นภาพนั้นเข้าพอดี หากเป็นในยามปกตินางก็คงจะยังมีกะจิตกะใจให้กำลังใจเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์
แต่วันนี้ นางเหนื่อยยิ่งนัก อันที่จริงต้องบอกว่ายิ่งกว่าเหนื่อยเสียอีก
นางเดินโซเซอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในเวลานี้ผมที่นางรวบขึ้นเป็นทรงงดงามเพื่อเข้าวังยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
นางมักจะใส่ใจกับภาพลักษณ์ของตนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องการดูแลร่างกายของตัวเอง หากเป็นไปได้นางย่อมไม่มีทางเลือกให้เท้าของตนได้รับสิ่งสกปรกใดๆ เป็นแน่
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางพบอำพันทะเลซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษสำหรับใช้ในการอบไอน้ำฝ่าเท้า นางก็สั่งห้ามไม่ให้ข้ารับใช้ชั้นต่ำของตระกูลเฮ่อเหลียนใช้มันอย่างเด็ดขาด
ตอนนี้เท้าทั้งสองข้างที่นางเฝ้าทะนุถนอมมาตลอดกลับหยาบกร้านถึงขั้นเจ็บแปลบขึ้นมาทุกครั้งที่นางขยับตัว
ทุกอย่างมันเป็นเพราะนังแพศยานั่นคนเดียว!
ซูเหยียนโม่กระแทกมือที่กำแน่นของตนเข้ากับผนังราวกับหญิงเสียสติ
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่เคยเห็นซูเหยียนโม่เป็นเช่นนี้มาก่อน ในความทรงจำของนาง ซูเหยียนโม่เป็นคนที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเปรอะเปื้อนแม้แต่ดินเลยด้วยซ้ำ
แต่เมื่อมองกลับไปที่นางในเวลานี้ ตัวของนางเปรอะไปด้วยดินและฝุ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้กระทั่งรองเท้าผ้าไหมก็ยังเปื้อนโคลนจนพังไม่เป็นท่า แล้วยังจะกริยาท่าทางของนางเมื่อครู่นี้อีก
“ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เผลอผลักนางโดยไม่ตั้งใจ
“สำนึกผิดในการกระทำของตัวเอง ข้าใช้เวลาทั้งวันไปกับการสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่กลางถนนนั่นอย่างไร” แขนทั้งสองข้างของซูเหยียนโม่ตกลงข้างตัว
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่เชื่อหูตัวเอง “ท่านพูดเรื่องอะไรกัน สำนึกผิดในการกระทำของตัวเองหรือ ท่านแม่ไม่ได้เข้าวังหลวงเพื่อไปสอนบทเรียนให้นังแพศยาเฮ่อเหลียนเวยเวยหรอกหรือเจ้าคะ ถ้ามีคนที่ควรจะสำนึกผิดก็น่าจะเป็นนังแพศยานั่นมิใช่หรือ นางก่อกบฏเชียวนะเจ้าคะ! เรื่องพวกนั้นมันเกี่ยวอะไรกับท่านแม่ด้วยหรือ”
ซูเหยียนโม่ยกฝ่ามือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆ ถึงมองนางด้วยสายตาแปลกๆ เช่นนั้น
ถูกแห่ไปตามท้องถนน…
นางมีแม่ที่ถูกแห่ประจานไปทั่วท้องถนน
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้นางเสื่อมเสียยิ่งนัก!
จากนี้ไปเมื่อใดก็ตามที่คนพูดถึงนาง คนพวกนั้นจะต้องพูดว่า “ดูนางสิ นางคือคนที่มีแม่ถูกแห่ประจานไปทั่วเมืองคนนั้นอย่างไรเล่า”
“มันกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คร่ำครวญ “ท่านคำนวณทุกอย่างเอาไว้แล้วมิใช่หรือว่าท่านจะไม่มีทางพลาดได้ แล้วมันกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ท่านถูกพาตัวออกไป และยังถูกบังคับให้ถูกแห่ประจานไปทั่วถนนเช่นนั้นอีก ท่านแม่ ท่านคิดหรือไม่เจ้าคะว่าการทำเช่นนี้จะทำให้อนาคตของข้าแปดเปื้อน”
หากเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ซูเหยียนโม่ก็คงจะตบหน้าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่กล้าพูดกับนางด้วยท่าทางเช่นนี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้บุตรสาวผู้นี้คือทั้งหมดที่นางเหลืออยู่ นางรีบร้อนคว้ามือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เอาไว้ แล้วรีบพูดว่า “เจียวเอ๋อร์ อดทนรออีกสักนิดเถิด รอจนกว่าองค์ชายสามจะเลือกพระสนมของตน ด้วยหน้าตาอันงดงามนี้ เจ้าจะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน!”