ผู้ที่กล่าวขึ้นมาก็คือร่างแยกที่สร้างขึ้นโดยชงอี้จื่อ ความจริงแล้วร่างแยกร่างนี้มาถึงตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าเข้าไปสร้างความวุ่นวายในดาวเคราะห์ชะตา ดังนั้นจึงเลือกมารออยู่ที่นี่
ถึงแม้ดาวเคราะห์ชะตาจะกว้างใหญ่ แต่ด้วยเหตุผลพิเศษบางอย่าง ทางเข้าออกจึงมีเพียงทางเดียว ดังนั้นการอยู่ตรงนี้ย่อมสามารถรอจนหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นได้
ถึงแม้ในความคิดของเขา โดยพื้นฐาน การตัดหัวครั้งนี้ไม่จำต้องเปลืองพลังอะไรเลย สิ่งเดียวที่ต้องใส่ใจก็คือทางฝั่งปรมาจารย์แห่งไฟนั่นต่างหาก แต่เขาเชื่อคำพูดของคนที่สั่งให้เขามาตัดหัวหวังเป่าเล่อว่าอีกฝ่ายสามารถปกปิดเหตุต้นผลกรรมได้
ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือ…ฆ่าปิดปากทุกคนในที่นี้ทั้งหมด
ส่วนที่ว่าด้านในจะมีมหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ หรือไม่ เขาไม่สนใจ และพวกที่เรียกว่าองครักษ์เต๋าเหล่านั้น เขาเห็นว่าล้วนเป็นเศษสวะชั้นธรรมดาสามัญ ถ้าเอาชนะได้ด้วยจำนวนคน แล้วทุกคนจะฝึกตนไปทำไมกัน
ดังนั้น ทันทีที่เอ่ยคำพูดนี้ออกมา ก็แสดงความโอหังเกินจะพรรณนาแล้ว
ส่วนประโยคนั้นของเขาก็ยโสโอหังจริงๆ!
ภายในเรือรบตอนนี้ แทบจะทันทีที่ทุกคนได้ยินประโยคนี้ ก็เกิดความรู้สึกนึกคิดคล้ายกันขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย ยิ่งไปกระตุ้นความไม่พอใจของพวกองครักษ์เต๋าทั้งหมดด้วย
พวกเขาเห็นแล้วว่าผู้ที่มามีระดับบำเพ็ญอยู่ที่ขั้นดารานิรันดร์เช่นกัน ถึงแม้จะมองไม่เห็นอย่างละเอียด แต่…ดารานิรันดร์ทั้งหมดสามสิบกว่าคน แต่อีกฝ่ายมีเพียงแค่คนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นฝั่งตนที่มีจำนวนคนมากกว่า จึงควบคุมความได้เปรียบมหาศาล
นอกจากนั้น…ยังมีสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงอย่างหวังเป่าเล่ออยู่ ดังนั้นปฏิกิริยาส่วนใหญ่ของทุกคนในตอนนี้คือความไม่พอใจ ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย เซี่ยไห่หยางที่อยู่ด้านข้างกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็มีคนเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่งแล้ว
“ท่านพ่อ เจ้านี่โอหังเกินไปแล้ว เดี๋ยวข้าจะจับคนผู้นี้มาให้ท่านพ่อเอง!” หลังจากได้ยินคำพูดที่ดังมาจากผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนสะเก็ดดาวด้านนอกเรือรบ คนแรกที่แสดงท่าทีโมโหไม่ใช่ตัวของหวังเป่าเล่อ แต่เป็นลูกชายของเขา…เฉินหาน
เฉินหานโกรธจนผมตั้งทั่วร่างเลยก็ว่าได้ ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะอ้าปาก เขาก็โบกมือแล้วตะโกนออกคำสั่งซ้ายขวาทันที
“ให้องครักษ์สองสามคนไปจับตัวคนผู้นั้นมาให้ท่านพ่อไต่สวนด้วย!”
ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ถึงแม้องครักษ์ข้างกายของเฉินหานจะอยู่ระดับทั่วไป แต่ก็มีทักษะเวท ที่ไม่ธรรมดา เมื่อคำสั่งของเขาแพร่ออกมา องครักษ์เต๋าระดับดารานิรันดร์เจ็ดคนที่ติดตามเขาอยู่ก็รับคำสั่งทันที ก่อนบินออกไปในชั่วพริบตา ทะยานตรงไปยังร่างแยกของชงอี้จื่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอวกาศนอกเรือรบตรงนั้น
แต่ชั่วพริบตาที่พวกเขาทั้งเจ็ดพุ่งออกมา มุมปากของชงอี้จื่อก็แสยะยิ้ม เขาเงยหน้ามองไปยังอวกาศด้านบน แทบจะในชั่วพริบตาที่เขามองขึ้นไป แสงสีม่วงสายหนึ่งพร้อมอานุภาพเทพอันยิ่งใหญ่ก็สาดออกมาจากอวกาศทันที มันกลายเป็นม่านแสงสีม่วง ห้อมล้อมบริเวณที่ทุกคนอยู่ แม้แต่เรือรบทั้งหมดและร่างแยกของชงอี้จื่อก็ถูกครอบคลุมเอาไว้ข้างใน!
มันเหมือนกับวงแหวนปราณ และเหมือนผนึกเสียยิ่งกว่า ตัดขาดทุกกลิ่นอายทั้งหมดและส่วนหนึ่งของเหตุต้นผลกรรม ตัดขาดการรับรู้ทั้งหมดจากภายนอก เหมือนกับทำให้ที่นี่…โดดเดี่ยวจากจักรวาลในชั่วขณะนี้เอง
ยังไม่ทันที่คนทั้งเจ็ดที่พุ่งออกไปจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ชงอี้จื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็หัวเราะยกใหญ่ขึ้นมา ครั้นเห็นที่แห่งนี้ถูกม่านแสงสีม่วงปกคลุมเอาไว้ เจตนาสังหารในดวงตาระเบิดออกมาโดยพลัน คนทั้งคนกระโดดลงมา พร้อมกับที่สะเก็ดดาวใต้ร่างแตกกระจายกลายเป็นเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังกองเรือรบด้วยเสียงหวีดหวิวและพลังอันชวนตะลึง ตัวของเขาทะยานเข้ามาหาทันทีอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
เพียงพริบตาก็ปะทะกับดารานิรันดร์ทั้งเจ็ดแล้ว สองฝ่ายแค่เคลื่อนตัวผ่านกันธรรมดาเท่านั้น แต่องครักษ์เต๋าทั้งเจ็ดของเฉินหานกลับกระอักเลือดออกมาทีละคน ร่างกายพลันม้วนกลิ้ง ราวกับเปราะบางจนทนไม่ไหว!
“อ่อนแอเกินไปแล้ว!” ขณะที่ชงอี้จื่อแสยะยิ้ม เขาก็พลันพุ่งมายังเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ เจตนาฆ่าในแววตาแรงกล้า ปราณพิฆาตบนร่างระเบิดออกมา สำหรับเขา การโจมตีครั้งนี้ง่ายดายยิ่งนัก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่คาดคิด เขายังต้องสังหารหวังเป่าเล่อเพื่อให้เสร็จสิ้นภารกิจก่อน แล้วค่อยสังหารปิดปากคนอื่นๆ แบบนี้จึงจะปลอดภัย
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเป็นปกติ เขายืนอยู่ในเรือรบ มองไปยังชงอี้จื่อที่พุ่งเข้ามาอย่างเย็นชา ถึงแม้เขาจะไม่ได้เคลื่อนไหว แต่องครักษ์เต๋าดารานิรันดร์ที่อยู่ข้างกายเขาเหล่านั้น ตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีกันหมด ก่อนพุ่งตรงไปยังชงอี้จื่อในพริบตา
แต่ความแข็งแกร่งของชงอี้จื่อก็ปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้เอง ถึงแม้การฝึกตนของร่างแยกจะอยู่เพียงระดับดารานิรันดร์ขั้นต้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการมาถึงของดารานิรันดร์สิบกว่าคน เขาก็ทำเพียงแค่ยกดาบในอ้อมแขนขึ้น แล้วฟันลงไปทันที พลังผันผวนน่าสะพรึงสายหนึ่งระเบิดออกมาจากร่างของเขาเสียงดังสนั่น ทำให้ดารานิรันดร์สิบกว่าคนพวกนั้นร่างกายสั่นเทา แล้วถอยหลังมาทั้งหมด
“ดารานิรันดร์ขั้นทั่วไปแตกต่างอะไรกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา[1]กันเล่า” ชงอี้จื่อหัวเราะขึ้นฟ้า ดารานิรันดร์ที่ถอยออกมาพร้อมหน้าเปลี่ยนสีเหล่านี้ก็ตะโกนร้องอย่างตื่นตระหนก
“ดารานิรันดร์ระดับพิภพ!!”
ดารานิรันดร์แบ่งออกเป็น สวรรค์ พิภพ นิลดำ อำพัน และทั่วไป ระดับขั้นทั้งห้านี้ หากอยู่ในขั้นต้นเหมือนกัน ระดับทั่วไปจะอ่อนที่สุด รองลงมาเป็นระดับอำพัน ระดับนิลดำจะพบเห็นได้น้อย แต่ระดับพิภพกลับหายากยิ่งกว่า ส่วนระดับสวรรค์…มีแต่ต้องใช้คำว่าหาตัวจับยากเหมือนขนวิหคเพลิงเขากิเลนมาบรรยายเท่านั้น!
ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้ว เมื่อระดับพิภพปรากฏตัว ก็สามารถกวาดล้างดารานิรันดร์ที่อยู่ระดับเดียวกันได้ ตอนนี้ชงอี้จื่อผู้นี้ก็ราวกับกวาดล้างทั่วทุกทิศ เขาย่างก้าวพร้อมหัวเราะเสียงดัง ทะยานมาทางเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่แล้วก็หัวเราะบ้าคลั่งออกมาหนักกว่าเดิม
“หวังเป่าเล่อ ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว ข้าอยากจะดูนักว่าดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกบดขยี้มันเป็นแบบไหน!” ขณะที่ชงอี้จื่อ กล่าว เขาก็เข้ามาใกล้กับเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ร้อยจั้ง
ภายในเรือรบ ตอนนี้สีหน้าของเซี่ยไห่หยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ ส่วนเฉินหานก็คล้ายจะไร้ความกังวลมาโดยตลอด เขากลับกอดอก แววตาเผยความดูถูกเหยียดหยามออกมา
สำหรับหวังเป่าเล่อ ในแววตาของเขามีความอยากรู้อยากเห็นอยู่ เขาอยากรู้มากว่าตนในตอนนี้มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับใดกันแน่ ถ้าหากให้ลองทดสอบ สุดท้ายก็จะยั้งมือเท้าไม่ค่อยได้ ตอนนี้เมื่อเห็นว่าดันมีคนพุ่งเข้ามาหาก่อน ความสนใจของเขาก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเขาเคยเห็นม่านแสงสีม่วงผืนนั้น และ…เงาของอนาคตบนสมุดแห่งโชคชะตา ในนั้นมีฉากหนึ่ง ถึงแม้จะไม่เหมือนกับตรงหน้าทุกประการ แต่ก็แตกต่างกันไม่เท่าไร
“จื่อเยว่หรือ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา นำดาวเคราะห์เต๋าที่เก็บเอาไว้ในร่างออกมา ชั่วพริบตาดาวเคราะห์เต๋าของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น แล้วไปปรากฏอยู่ด้านนอกเรือรบอย่างน่าอัศจรรย์!
ตอนแรกเป็นเพียงจุดแสงจุดเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเท่าดาวพระเคราะห์ทั่วไป ทำให้ชงอี้จื่อที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและอยู่ห่างไปเจ็ดสิบจั้งหัวเราะออกมา
“แค่นี้หรือ” ชงอี้จื่อเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่ส่ายหน้าก็เข้าไปใกล้อีก จนกระทั่งอยู่ห่างไปห้าสิบจั้ง ฝีเท้าของเขาก็ชะงักเป็นครั้งแรก เพราะตอนนี้ดาวเคราะห์เต๋าตรงหน้าของเขาไม่ได้มีขนาดแบบก่อนหน้านี้ แต่ขยายใหญ่จนถึงระดับครึ่งดารานิรันดร์แล้ว
“น่าสนใจดีนี่” ดวงตาของชงอี้จื่อสว่างไสว ขณะที่เสียงหัวเราะดังขึ้น ความเร็วก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน กระทั่งเข้ามาใกล้สามสิบจั้ง ทว่าชั่วพริบตาต่อจากนั้น ฝีเท้าของเขาก็ชะงักลงอีกครั้ง สายตาตื่นตะลึง จ้องมองดาวเคราะห์เต๋าที่ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าดารานิรันดร์ทั่วไปตรงหน้า
“ไม่เลว ไม่เลว นี่สิถึงจะน่าสนใจ!” ดาวเคราะห์เต๋าเช่นนี้ไม่ได้ทำชงอี้จื่อก้าวถอย แต่หลังจากหยุดชะงัก สีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นของจิตวิญญาณต่อสู้อันแรงกล้าออกมา เขาหัวเราะดังยิ่งกว่าเดิม ขณะที่ก้าวเท้าอีกครั้งและอยู่ห่างไปยี่สิบจั้ง ฝีเท้าของเขา…ก็หยุดชะงักเป็นครั้งที่สาม
สิ่งที่ตามมาคือการกะพริบตาอย่างรวดเร็ว ความตื่นเต้นในแววตาแตกสลายกลายเป็นความงุนงง
“นี่มันอะไร” ชงอี้จื่อพึมพำกับตัวเอง เขามองดวงดาวอันน่าสะพรึงตรงหน้าของตนนิ่งงัน ตอนนี้มันใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดเป็นสามเท่าของดารานิรันดร์ทั่วไปแล้ว ทั้งยังขยายต่อไปไม่หยุด
ตาเปล่าของเขามองเห็นได้ว่า ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ขยายตัวต่อไปจนใหญ่เป็นห้าเท่า สิบเท่า…กระทั่งถึงขนาดอันน่าสะพรึง ใหญ่เป็นร้อยเท่าของดารานิรันดร์ทั่วไป
มันเหมือนกับกลายเป็นครึ่งหนึ่งของดาราจักรเล็กๆ และตอนนี้ ทั้งสี่ทิศรอบดาวเคราะห์เต๋ามหึมาดวงนี้ก็มีดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงที่เหมือนกับดาวบริวารปรากฏขึ้น มันแผ่กฎเกณฑ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเขย่าจักรวาลออกมา
มองจากระยะไกล ดาวเคราะห์เต๋าทรงอานุภาพดวงนี้เหมือนดวงตาแห่งจักรวาล ตอนนี้กำลังจดจ้องมายังชงอี้จื่อที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งขณะนี้เขามีขนาดเล็กอย่างถึงที่สุด ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ความตื่นเต้นและจิตวิญญาณต่อสู้ทั้งหมดสลายหายไปในพริบตา
ชงอี้จื่อไม่อยากตัวสั่น แต่เขาควบคุมร่างกายไม่ได้ พลังแห่งกฎจักรวาลและกฎเกณฑ์อันน่าสะพรึงของดาวเคราะห์เต๋าและดาวบริวารส่งผลให้รอบด้านบิดเบี้ยว ทำให้เลือดเนื้อทั้งหมดทั่วร่างของเขาสั่นเทิ้มตามสัญชาตญาณ
“นี่คือ…นี่คือดาวพระเคราะห์หรือ” ขณะที่ชงอี้จื่อพึมพำ สุดท้ายความงุนงงในดวงตาก็กลายเป็นความตื่นตะลึง เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง…
จากนั้นก็หันกายกลับโดยพลันแล้วพุ่งไปทางด้านหลัง แทบจะใช้พลังฝึกตนทั้งหมดเพื่อเร่งความเร็ว แล้ววิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่หันกลับมามอง!
…………………………………
[1] ไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา คำสุภาษิตเปรียบเปรย หมายถึง อ่อนแอแตกหักง่าย