บทที่ 380 หากเสี่ยวไป๋สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ คงจะงดงามและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก!
หลี่จิ่วเต้าสนทนากับเสี่ยวหยาและหลิงอินเสียจนมืดค่ำ
เขารั้งเสี่ยวหยาและหลินอิงไว้ให้กินข้าวที่บ้าน
หลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้ว ก่อนที่เสี่ยวหยาและหลินอินจะจากไปเขาก็บอกให้ทั้งสองคนรอสักครู่
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง หลังจากนั้นไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับฉินและกระดาษบันทึกเนื้อเพลง
“นี่คือฉินที่ข้าเคยใช้มาก่อน ชื่อของมันคือปี้เทียนชางไห่ (นภามรกตทะเลคราม) คุณภาพของมันนับว่าไม่เลว บัดนี้มอบให้เจ้าใช้งาน เมื่อเจ้ากลับบ้านไปก็สามารถใช้มันเพื่อฝึกฝนได้”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวต่อ “ยังมีกระดาษแผ่นนี้ที่บันทึกทำนองเพลง ‘คะนึงหา’ ที่ข้าแต่งขึ้นมาใหม่ เจ้าลองนำมันกลับไปดูให้ดี มันน่าจะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้ หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจก็สามารถมาถามข้าได้”
พูดตามตรง เขาชื่นชอบเสี่ยวหยาเป็นอย่างมากจริง ๆ จนเกิดความรู้สึกเสียดายที่มาเจอกันช้าไป
ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่มอบฉินที่เขาเคยใช้ให้กับเสี่ยวหยา
นี่คือฉินที่เขาสร้างขึ้นมาเอง หากไม่รวมฉินที่เป็นรางวัลจากระบบแล้ว นับได้ว่ามันเป็นฉินที่เขาใช้งานบ่อยมากที่สุด
“คุณชาย นี่…นี่มันมีค่าเกินไปแล้ว!”
ร่างกายของเสี่ยวหยาสั่นด้วยความตื่นเต้น ไม่คาดคิดว่าก่อนว่าท่านเซียนจะเห็นคุณค่าของนางมากถึงเพียงนี้
ฉินที่ท่านเซียนเคยให้ ทั้งยังมีบันทึกเนื้อเพลงที่ท่านเซียนเขียนขึ้นมาเอง นับว่าเป็นสมบัติระดับสะท้านฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย นาง… ไม่กล้าเอื้อมมือไปรับมันมา!”
“ฉินตัวนี้ได้พบผู้รู้สำเนียง*[1]แล้ว และเจ้าก็คือคนผู้นั้น รับมันไปเถอะ หวังว่าเจ้าจะทำได้ตามที่ข้าคาดหวัง ฝึกฝนทักษะฉินอย่างแข็งขัน”
หลี่จิ่วเต้ามอบฉินและกระดาษบันทึกบทเพลงใส่ในมือเสี่ยวหยา
เทียนตี้จวินฉินซือ*[2] ความหมายของคำว่าอาจารย์หนักหนาเกินไป เขาอายุเพียงยี่สิบ รู้สึกว่าตนเองยังทนแบกรับตำแหน่งอาจารย์ไม่ไหว ไม่เช่นนันนั้นเขาคงต้องการจะรับเสี่ยวหยาเป็นศิษย์จริง ๆ
“ขอบพระคุณคุณชาย!”
เสี่ยวหยาขอบคุณท่านเซียนครั้งแล้วครั้งเล่า นางสาบานในใจว่าจะฝึกฝนฉินให้ดี และจะไม่ทำให้ความคาดหวังของท่านเซียนต้องสูญเปล่า!
หลิงอินที่ได้เห็นนั้นรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก ทว่านางไม่ได้ริษยา ทั้งยังยินดีกับเสี่ยวหยาจากใจจริง นี่เป็นดั่งคำที่ท่านเซียนเคยกล่าวเอาไว้ใช่หรือไม่ ว่าคนดีย่อมได้รับสิ่งตอบแทน?
ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!
ทำดีย่อมได้ดี!
สุดท้ายแล้วนางกับเสี่ยวหยาก็บอกลาท่านเซียนแล้วกลับบ้าน
หลี่จิ่วเต้าเองก็มีความสุขมากเช่นกัน
เขากลับเข้าไปในลานแล้วนอนลงบนเก้าอี้โยก ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศด้านนอกค่อนข้างจะหนาว
แต่ในลานของเขานั้นไม่ร้อนไม่เย็น อุณหภูมิกำลังพอดี เพราะมีลูกแก้วควบคุมอุณหภูมิอยู่
“เสี่ยวไป๋มานี่”
ชายหนุ่มโบกมือเรียกเสี่ยวไป๋ เจ้าแมวสีขาววิ่งเข้ามากระโจนขึ้นบนร่างของเขาทันที
“ช่างแสนรู้…”
หลี่จิ่วเต้าลูบขนเรียบของเสี่ยวไป๋ ไม่ต้องกล่าวเลยว่ามันสบายมากแค่ไหน
เขารู้สึกว่าเสี่ยวไป๋ไม่ใช่เพียงแค่แมวสีขาวทั่วไปธรรมดา ทว่ามีสติปัญญา บางทีมันอาจจะสามารถก้าวเดินบนเส้นทางการฝึกตน
‘ถ้าสามารถก้าวสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนและเริ่มฝึกฝนได้ เสี่ยวไป๋จะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ใช่หรือไม่?’
หลี่จิ่วเต้าคิดขึ้นมาในใจ
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมาเล็กน้อย ปีศาจ…ตั้งแต่สมัยโบราณเล่าขานกันว่าปีศาจมีความสวยงามเป็นพิเศษ ทั้งงดงามและทรงเสน่ห์เป็นอย่างมาก!
‘หากเสี่ยวไป๋สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ เกรงว่าจะต้องสวยมากอย่างแน่นอน!’
เขามองแมวสีขาวตัวน้อยในอ้อมแขนก่อนจะกล่าวขึ้นมาในใจ
เจ้าแมวมีขนสีขาวสะอาดทั่วทั้งตัว ดวงตาสุกสว่างราวอัญมณี เทียบกันในหมู่แมวแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเสี่ยวไป๋ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในแมวที่สวยงามที่สุด
เขาคิดว่าหากเสี่ยวไป๋แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้จะต้องงดงามและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก!
“สรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ ขอเพียงแค่มีคุณสมบัติก็ย่อมสามารถฝึกตนได้ กระทั่งดอกไม้ใบหญ้าเองก็เช่นกัน เสี่ยวไป๋มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อาจสามารถก้าวเดินบนเส้นทางการฝึกตนได้จริง ๆ…”
ยิ่งหลี่จิ่วเต้าคิดมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าเสี่ยวไป๋สามารถฝึกตนได้
ก็ได้!
ไว้คราวหลังเขาจะถามเซี่ยเหยียนว่าเสี่ยวไป๋จะสามารถฝึกตนได้หรือไม่
หากสามารถฝึกตนได้ เขาก็จะขอให้เซี่ยเหยียนช่วยเสี่ยวไป๋ฝึกฝนมุ่งเข้าสู่เส้นทางการฝึกตน
เมื่อคิดถึงเสี่ยวไป๋ที่แปลงร่างเป็นมนุษย์แล้ว เขาก็อดตั้งตารอคอยไม่ได้!
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว~”
ลั่วสุ่ยนอนอยู่ในอ้อมแขนของท่านเซียน ไม่ต้องบอกก็ทราบว่ามันสบายมากแค่ไหน
สิ่งเดียวที่นางรู้สึกเสียใจ คือการที่นางไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ ทำได้แต่อยู่ในร่างของแมวมาโดยตลอด…
หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากท่านเซียน นางก็ไม่หาญกล้าแปลงร่างเป็นมนุษย์
‘เมื่อไหร่ข้าจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้กัน… ข้าเองก็อยากให้ท่านเซียนสอนข้าเล่นฉิน วาดรูป และล่าสัตว์…’
ลั่วสุ่ยกล่าวขึ้นมาในใจด้วยความคาดหวัง
ท้องฟ้ายามราตรีประดับด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ แสงอ่อนนวลงดงามทอลงมาจากพระจันทร์สีเงิน
หลี่จิ่วเต้านอนอยู่บนเก้าอี้โยกพร้อมกอดแมวสีขาว ขณะชื่นชมท้องนภายามค่ำคืนอันสวยงามด้วยความสบายอกสบายใจ
…
ภายในแดนหยิน ณ อาณาจักรแห่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้มียอดเขาอยู่โดดเดี่ยวสูงตระหง่านจนไม่เห็นยอด ไร้พืชพรรณสีเขียวบนภูเขาสักต้น มีเพียงแต่ความมืดอันไร้ขอบเขตเท่านั้น
จันทราส่องสว่างกลางนภา หากแต่แสงจันทร์กลับถูกม่านหมอกสีดำที่ปกคลุมอยู่สกัดเอาไว้จนสาดส่องลงมาไม่ถึง
บนยอดเขาเดียวดายมีวังใหญ่โตอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ราวกับเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งอนธการอันน่าขนลุก
ความจริงแล้ว ที่แห่งนี้ก็เป็นเมืองหลวงแห่งอนธการอย่างแท้จริง
มีแสงสว่างก็ย่อมมีความมืด โลกแห่งการฝึกตนเองก็เป็นเช่นนั้น มีกองกำลังมากมายหลบลี้อยู่ในความมืดไม่ออกมายังแสงสว่าง ส่วนใหญ่พวกเขาเหล่านี้ล้วนป่าเถื่อนโหดเหี้ยม บนมือเต็มไปด้วยเลือด ดำเนินธุรกิจที่ไม่อาจให้ผู้อื่นรู้เห็น
และที่แห่งนี้ก็คือผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดากองกำลังมืด รู้จักกันในนามกองกำลังฮวงเฉวียน!
ไม่ว่าจะเด็กหรือคนชรา ได้พบเห็นกองกำลังฮวงเฉวียนก็เท่ากับความตาย!
พวกเขาลึกลับที่สุด และก็น่ากลัวที่สุด ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดล่วงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับพวกเขา ไม่รู้กระทั่งพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใด
ผู้ที่กองกำลังมืดอื่นไม่กล้าสังหาร พวกเขาล้วนกล้าสังหาร!
กลุ่มที่กองกำลังมืดอื่นไม่กล้าทำลาย พวกเขากล้าทำลาย!
สิ่งที่กองกำลังมืดอื่นไม่กล้าทำ พวกเขาล้วนกล้าทำ!
ทันทีที่เอ่ยนามของกองกำลังฮวงเฉวียนออกมา ผู้ใดก็ตามที่ได้ยินล้วนตระหนกตื่นตกใจ หวาดกลัวไม่หยุด!
ในตอนนั้นเองที่จักรพรรดิหานมาถึง
เขาถูกคนผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำพามายังที่แห่งนี้
‘ขนาดตำหนักสาขายังน่ากลัวถึงเพียงนี้ ฐานทัพหลักที่แท้จริงจะน่ากลัวเพียงใด!?’
หลังจากมาถึงที่นี่ หัวใจของจักรพรรดิหานก็บังเกิดความรู้สึกมากมายไร้ที่สิ้นสุด เขาไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก ในสมัยโบราณเขาเคยมาที่แห่งนี้เพื่อตามหากองกำลังฮวงเฉวียนมาก่อน
ยามนั้นเขาเองก็มายังตำหนักสาขาแห่งนี้อันเป็นสถานที่ที่กองกำลังฮวงเฉวียนใช้รับภารกิจ สำหรับที่กบดานแท้จริงของกองกำลังฮวงเฉวียนนั้นไร้ผู้ใดล่วงรู้
บนอาณาจักรแห่งนี้ไร้ข่าวคราวเกี่ยวกับกองกำลังฮวงเฉวียน จนเขาคิดว่ากองกำลังฮวงเฉวียนได้ล่มสลายไปแล้วในสมัยโบราณ ไม่คิดว่าเมื่อเขาลองติดต่อกับกองกำลังฮวงเฉวียนด้วยวิธีลับ กลับได้รับการตอบกลับ มีสมาชิกจากกองกำลังฮวงเฉวียนมาพบเขาแล้วพาเขามายังที่แห่งนี้
ที่นี่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้แม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าสมรภูมิครั้งใหญ่ในสมัยโบราณจะไม่ส่งผลกระทบอันใดกับที่แห่งนี้
‘คิดอะไรอยู่กัน กองกำลังฮวงเฉวียนน่ากลัวอย่างถึงที่สุดไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็ตาม กระทั่งจักรพรรดิในยุคโบราณก็ยังหวาดเกรง ขนาดข้าสามารถอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ได้ นับประสาอะไรกับกองกำลังฮวงเฉวียน!’
จักรพรรดิหานคิดขึ้นมาในใจ รู้สึกว่าก่อนหน้านี้เขาจะคิดมากเกินไปจริง ๆ
เกรงว่าแม้กองกำลังทั้งโลกจะถูกกำจัดสิ้น กองกำลังฮวงเฉวียนก็อาจจะยังอยู่รอดต่อไปได้…
[1] ฉินตัวนี้ได้พบผู้รู้สำเนียง (琴遇知音人) มาจากเรื่องเล่า 高山流水 (ขุนเขาสูงธารน้ำไหล) เล่าว่า โป่หยาผู้ชื่อชอบในเสียงดนตรีได้เล่นบทเพลงสื่อถึงขุนเขาสูงธารน้ำไหล ไร้ผู้ใดเข้าใจความหมายที่บทเพลงเขาสื่อถึง จนได้พบเข้ากับจงจือซีที่สามารถบอกความหมายของท่วงทำนองเขาได้ โป่หยาจึงอุทานออกมาว่า ได้พบสหายที่รู้ใจเขาแล้ว
[2] เทียนตี้จวินฉินซือ (天地君亲师) ห้าความกตัญญูของคนจีนประกอบด้วย 1.เทียนคือฟ้า (天) ผู้ประทานสรรพสิ่งแก่มวลมนุษย์ 2.ตี้คือดิน (地) ให้ได้มีที่อยู่อาศัยทำสิ่งต่าง ๆ 3.จวินคือราชาหรือผู้นำ (君) จัดระเบียบปกครอง 4.ฉินคือพ่อแม่ ญาติพี่น้อง บรรพชน (亲) ที่ให้กำเนิดค่อยปกป้องดูแลจนเติบใหญ่ 5.ซือคือครูอาจารย์ (师) ผู้สั่งสอนให้ความรู้