เฉินตันจูกุมหน้าผากอย่างระอา
“อาจารย์” นางถามอย่างจริงใจ “นอกจากข้าแล้ว มีคนรู้ว่าท่านเป็นคนเช่นนี้หรือไม่ ทั้งที่เป็นพระสงฆ์ผู้มีสมณศักดิ์สูง แต่มักจะพูดจาเหลวไหลดุจดั่งหมอดูหลอกลวง?”
สายตาของอาจารย์ฮุ่ยจื้อเศร้าโศก “จะเรียกว่าหมอดูหลอกลวงได้อย่างไร มันคือสติปัญญา”
เฉินตันจูโบกมือ “อาจารย์อย่าล้อเล่นกับข้าเลย ท่านในฐานะราชครู ฮองเฮาทำผิดเรื่องใด ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่ท่านย่อมรู้อย่างแน่นอน ฝ่าบาทอาจเคยพูดกับท่านด้วยซ้ำ”
ก็จริง ในฐานะราชครู เขามีกำหนดพูดคุยเจรจาทางธรรมกับฮ่องเต้ ทางธรรมคือสิ่งใด มันคือการปลดทุกข์แห่งสรรพชน เมื่อเข้าใจความทุกข์จึงสามารถปลดทุกข์ ดังนั้นความลับราชวงศ์ที่ไม่อาจพูดกับผู้อื่น ฮ่องเต้สามารถพูดกับราชครูได้
อาจารย์ฮุ้ยจื้อมองหญิงหญิงสาวตรงหน้า “มันเป็นแค่ภายนอก อย่างไรก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูตันจู”
มีความเกี่ยวข้องอย่างไร เฉินตันจูกลอกตา “คงไม่ใช่ทุกคนที่เกี่ยวกับข้าจะโชคร้าย หากเป็นเช่นนั้น อาจารย์ท่านก็คงยากที่จะปลอดภัย”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อพยักหน้าถอนหายใจ “ความหมายประมาณนี้ ดังนั้น คำพูดต่อจากนี้ คุณหนูตันจูไม่ต้องพูดกับข้าแล้ว ทุกเรื่องย่อมมีลิขิตจากสวรรค์”
พูดมาครึ่งวันก็เพื่อปิดปากนาง เฉินตันจูหัวเราะร่า “ไม่ได้ ข้าต้องบอกกับอาจารย์ อาจารย์ ความสัมพันธ์ของท่านกับองค์รัชทายาทเป็นอย่างไร”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อหลับตาลง “ไม่อย่างไร ราชครูเป็นครูของจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว”
“อาจารย์ ท่านต้องจดจำคำพูดนี้เอาไว้” เฉินตันจูพูด
เมื่อได้ยินหญิงสาวพูดประโยคนี้จบ เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง อาจารย์ฮุ้ยจื้อลืมตาขึ้นอย่างฉงน เห็นว่าหญิงสาวเดินออกไปแล้ว
ดังนั้น ยังคงจะปะทะกับองค์รัชทายาทหรือ
อาจารย์ฮุ้ยจื้อส่ายหน้า ไม่แปลก ตำแหน่งองค์หญิงของเฉินตันจูแย่งชิงมาจากมือขององค์รัชทายาท พวกเขาเป็นศัตรูกันมาก่อนแล้ว อีกทั้งเฉินตันจูชนะหนึ่งยก องค์รัชทายาทจะยอมแพ้ได้อย่างไร
หญิงสาวนี้เดินทางมา เขาก็รู้ว่านางมาเพื่อสิ่งใด ย่อมไม่ใช่เพราะอาหารมังสวิรัติ ดังนั้นเขาจึงรีบปิดปากนาง แม่ทัพหน้ากากเหล็กผู้เป็นที่พึ่งของเฉินตันจูตายไปแล้ว ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลให้นาง หมดสิ้นการติดค้างกับนางแล้ว เฉินตันจูต้องการหาที่พึ่งใหม่…ในฐานะราชครู เขาสามารถทูลต่อฮ่องเต้ได้
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ เฉินตันจูไม่ได้ตื๊อให้เขาช่วยเหลือ เพียงแค่ให้เขาไม่ช่วยเหลือผู้ใดทั้งสิ้น
อืม การมองดูเหตุการณ์ย่อมสบายกว่ามาก อาจารย์ฮุ้ยจื้อโล่งอก มองแผ่นหลังของหญิงสาว ท่องบทสวดอย่างจริงจัง “คุณหนูตันจู ข้าจะถวายธูปเทียนต่อหน้าพระพุทธรูปแทนท่าน”
เฉินตันจูไม่ได้สนใจการถวายธูปเทียนต่อหน้าพระพุทธรูปมากนัก นางกินอาหารมังสวิรัติแล้ว พบกับอาจารย์ฮุ้ยจื้อแล้ว แต่ไม่เข้าอุโบสถไปสักการะ เรื่องแบบนี้ สักการะก็ไม่มีประโยชน์ นางสักการะพระพุทธรูป ผู้อื่นก็สักการะ พระพุทธเจ้าจะให้พรทันได้อย่างไร
นางแสดงให้เห็นถึงจุดยืนตรงข้ามกับองค์รัชทายาทต่ออาจารย์ฮุ้ยจื้อ อาจารย์ฮุ้ยจื้อย่อมวางตัวอยู่นอกเรื่องอย่างฉลาด หากเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยองค์รัชทายาทย่อมไม่อาจใช้วัดถิงอวิ๋นลอบสังหารองค์ชายหกเหมือนเมื่ออดีตชาติ
เฉินตันจูยิ้มเยาะเย้ยตนเอง อันที่จริงมันถือเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แต่มันก็เป็นโชคชะตาที่นางรู้จากเมื่ออดีตชาติ หากกำจัดปัญหานี้ เรื่องอื่นนางก็หมดหนทางแล้ว
ส่วนองค์รัชทายาทจะลอบสังหารองค์ชายหกที่วัดใด ไม่ใช่เรื่องที่นางยุ่งเกี่ยวได้แล้ว
ตัวของนางเองยังเอาตัวไม่รอด คนอื่นก็ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาเถิด
“คุณหนู” เสียงของอาเถียนดังขึ้นจากด้านหน้า
เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น เห็นอาเถียนกวักมือ ตงเซิงยืนอยู่ด้านข้าง ด้านหลังพวกเขาคือต้นซานจาที่ตั้งสูงตระหง่าน แผ่กิ่งก้านสาขา
ที่แท้นางเดินมาถึงตรงนี้แล้ว
“คุณหนู ดูสิเจ้าคะ” อาเถียนเงยหน้ามองต้นซานจา “ผลซานจาปีนี้มากมายนัก”
ผลซานจาในเวลานี้แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับใบไม้สีเขียว ยืนอยู่ระยะไกลมองไม่เห็นสิ่งใด เฉินตันจูหลุบตาลง “ไปเถิด พวกเรากลับกันเถิด”
อาเถียนผงะ รีบยัดหน้าไม้ใส่มือของตงเซิง “พวกเราไปก่อนแล้ว วันอื่นพี่จะมาหาเจ้าใหม่”
มองดูนายบ่าวสองคนจากไป ภายในใจของตงเซิงอยากจะบอกว่าไม่มาก็ไม่เป็นอันใด สาวรับใช้นี้เตรียมหน้าไม้ให้คุณหนูยิงผลซานจาเล่น เกินเหตุเสียจริง!
แต่ว่า ตงเซิงอดที่จะเงยหน้ามองต้นซานจาไม่ได้ คุณหนูตันจูชอบต้นซานจามากไม่ใช่หรือ โดยเฉพาะชอบกินผลซานจา เหตุใดเวลานี้จึงไม่สนใจที่จะมองแม้แต่น้อย
รถม้าออกจากวัดถิงอวิ๋น อาเถียนมองเฉินตันจูภายในรถ ภายในใจครุ่นคิด ตอนที่ไปวัดถิงอวิ๋นนางยังมีชีวิตชีวา เหตุใดหลังจากออกมาจึงหงอยลงไปอีกครั้ง
“คุณหนู” นางพูดอย่างดีใจ “อาหารมังสวิรัติอร่อยมากใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้ารู้สึกว่าอร่อยมาก อีกสองสามวันเรามากินอีกเถิด”
เฉินตันจูพลิกดูนิ้วมือของตนเองอย่างใจลอย พูดอย่างเกียจคร้าน “ก็อย่างนั้นแหละ กินจนเอียนแล้ว ไม่กินแล้ว”
นางกินมาสิบปีแล้วเมื่ออดีตชาติ
อาเถียนไม่รู้เรื่องสิบปี ไม่เข้าใจว่าแค่มื้อเดียวจะเอียนได้อย่างไร แต่ในเมื่อคุณหนูไม่ชอบ ก็ไม่อาจบังคับให้นางมาได้ นางเปิดม่านรถขึ้นมองออกไปด้านนอก “คุณหนู วันนี้อากาศดี พวกเราไปสุสานท่านแม่ทัพหรือไม่เจ้าคะ”
เฉินตันจูส่ายหน้า “วิ่งไปที่สุสานจะทำอันใดได้”
เช่นนั้น…อาเถียนมองด้านนอก พลันตาลุกวาว “คุณหนู ทางนี้สามารถอ้อมไปเมืองใหม่ได้ พวกเราไปดูจวนขององค์ชายหกเป็นอย่างไร”
จวนองค์ชายหกหรือ เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น ได้ยินว่ามีทหารเฝ้าอยู่
“ไปดูหน่อยเถิด” นางพูด “แต่ไม่ต้องเข้าใกล้มาก”
อาเถียนตอบรับอย่างดีใจ นางขยับออกไปพูดกับจู๋หลิน จู๋หลินไม่เต็มใจนัก จากนั้นจึงเร่งความเร็ว เฉินตันจูเอนกายพิงอยู่บริเวณหน้าต่าง มองดูเมืองใหม่ที่เข้าใกล้ขึ้น
เมืองใหม่สร้างตามผังของเมืองเก่า เรือนแต่ละหลังสูงต่ำงดงาม ผู้คนเดินขวักไขว่ไม่น้อย จนกระทั่งถึงด้านนอกสุดของเมืองใหม่ ถึงได้เห็นจวนแห่งหนึ่ง
“คุณหนู” อาเถียนถามจู๋หลิน หันหน้าไปชี้ “จวนหลังนั้นเจ้าค่ะ”
เฉินตันจูเงยหน้ามองไป ก่อนจะเห็นด้านนอกจวนมีทหารประจำการอยู่จริง คนที่เดินผ่านไปมา หากไม่เดินอ้อม ก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นรถม้าของพวกเขาเข้าใกล้ ก็มีทหารโบกมือห้ามเข้าใกล้ตั้งแต่ระยะไกล
เข้มงวดเสียยิ่งกว่าคุกหลวง เฉินตันจูคิดในใจ แต่บางทีอาจเป็นเพราะโอรสคนนี้ร่างกายอ่อนแอเลย จำเป็นต้องคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถือเป็นเจตนาดีของผู้เป็นบิดา
“ในเมื่อไม่ให้เข้าใกล้” เฉินตันจูพูดกับจู๋หลิน “ก็อ้อมไปเถิด”
นางยังพูดไม่ทันจบ อาเถียนก็โบกมือให้ทางจวนองค์ชายหกอย่างกะทันหัน “หวังไต้ฟู หวังไต้ฟู”
หวังเจียน? เฉินตันจูผงะ นั่งตัวตรงมองออกไป ก่อนจะพบชายผู้หนึ่งเดินออกจากประตูข้างของจวนองค์ชายหก ถึงแม้จะสวมชุดขุนนาง แต่นางยังคงจำได้ว่าอีกฝ่ายคือหวังเจียน
หวังเจียน! เฉินตันจูเปิดม่าน ตะโกนบอกจู๋หลิน “เข้าไป”
จู๋หลินสะบัดแส้เร่งม้าตรงเข้าไปทันที ทหารทางนั้นเห็นรถม้าที่ไม่โดดเด่นคันนี้พุ่งเข้ามาเหมือนได้รับความตกใจ ทันใดนั้นพวกเขาต่างตะโกนขึ้นมา พร้อมกับตั้งขบวนยกดาบ
หวังเจียนราวกับตกใจ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เขารีบหันหลังวิ่งกลับเข้าจวนทันที
“หวังไต้ฟู” เฉินตันจูตะโกนเสียงดัง “ข้าเอง”
มือของจู๋หลินยกป้ายคาดเอวองครักษ์หลวงขึ้น ตะโกน “องค์หญิงตันจูมา อย่าได้เสียมารยาท”
ทั้งป้ายคาดเอวทั้งองค์หญิง อีกทั้งองครักษ์หลวงผู้นี้ยังยกแส้ม้าขึ้นราวกับยกดาบ เหล่าทหารที่วิ่งเข้ามาชะงักฝีเท้าลง
หวังเจียนที่ได้ยินกลับวิ่งเร็วยิ่งขึ้น
“หวังไต้ฟู! ท่านทำให้ท่านแม่ทัพตายใช่หรือไม่!” เฉินตันจูตะโกนเสียงแหลม
หวังเจียนได้ยินจึงโกรธมาก เขาหยุดลงหันมาตะโกน “คุณหนูตันจู ประโยคนี้ข้าควรพูดถึงจะถูก”