รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 383 ไม่ต้องเข้าร่วมสถานศึกษาก็ได้ แต่ต้องส่งมอบคันศรออกมา!

บทที่ 383 ไม่ต้องเข้าร่วมสถานศึกษาก็ได้ แต่ต้องส่งมอบคันศรออกมา!

บทที่ 383 ไม่ต้องเข้าร่วมสถานศึกษาก็ได้ แต่ต้องส่งมอบคันศรออกมา!

“แม้ว่าจะไม่อยาก แต่ในเมื่อลุงหมิงเป็นคนพูด ข้าก็หวังว่าคนกลุ่มนี้จะรู้ความ ไม่หลงคิดว่าตนเองยอดเยี่ยมจนสร้างปัญหาให้กับข้า”

เด็กหนุ่มผมน้ำเงินขี่อสูรลงมาถึงยังสำนักไท่หัวเป็นที่แรก

เขามาตามหาเซี่ยเหยียน

อย่างไรเสียเซี่ยเหยียนก็โตกว่าพวกอ้ายฉานที่เป็นเพียงเด็กอายุไม่กี่ขวบ ที่ถึงเวลานั้นเขาจะไปพูดอะไรส่ง ๆ ก็ยังได้

อสูรลักษณะน่าเกรงขาม ทั้งร่างโอบล้อมด้วยประกายแสงสว่างไสว บินตรงมาทางสำนักไท่หัวทำให้เหล่าคนในสำนักต่างพากันตกใจ

พวกเขาไม่เคยพบเห็นอสูรที่พิเศษเช่นนี้มาก่อน

ทั้งร่างของมันมีประกายแสงลอยวน ลมปราณที่เล็ดรอดออกมาน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ความต่างชั้นที่สัมผัสได้ทำให้หัวใจของพวกเขากระหน่ำเต้นไม่หยุด จิตวิญญาณเองก็สั่นสะท้าน

พวกเขาต่างคิดในใจว่าสำนักไท่หัวเกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหตุใดจึงมีสิ่งมีชีวิตทรงพลังเช่นนี้มาเยือน?

หรือว่าจะมาหาเรื่องสร้างความยุ่งยากอีก!

พวกเขาเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาในใจ ก่อนหน้านี้ที่มีสิ่งมีชีวิตอันแข็งแกร่งมาเยือน ล้วนแล้วแต่มาเพื่อสร้างปัญหา

อสูรร่อนลงมา เด็กหนุ่มผมน้ำเงินไม่ได้ขี่มันเข้าไปในนิกายไท่หัวโดยตรง

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบใจพวกเซี่ยเหยียน แต่เขาก็ยังมีมารยาทที่พึงกระทำ เขาไม่สามารถทำให้ยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังตนเองอับอายขายหน้าจากการได้ชื่อว่าไร้มารยาท

“ขอเรียนถาม คุณชายท่านนี้มาที่สำนักไท่หัวด้วยเหตุใด”

เวิงอู๋โยวบรรพชนสำนักไท่หัวออกมาทันทีที่สัมผัสได้ถึงปราณอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากอสูร เกรงว่าสาวกนิกายจะสร้างเรื่องขึ้น จึงรีบตรงมายังประตูหน้าภูเขา

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมน้ำเงินไม่ได้ขี่อสูรเข้าไปในสำนักไท่หัวโดยตรง เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผมน้ำเงินจะไม่ได้มาก่อความวุ่นวาย

หากเขาต้องการมาสร้างปัญหา เด็กหนุ่มผมน้ำเงินคงจะขี่อสูรตรงเข้าไปในสำนักไท่หัว ไม่ร่อนลงหน้าประตูสำนัก

“ข้ามาพบเซี่ยเหยียน”

เด็กหนุ่มผมน้ำเงินกระโดดลงจากอสูรแล้วกล่าวออกมา “ข้ามาจากตระกูลไป๋ ช่างมันเถอะ พูดไปเจ้าก็ไม่รู้เรื่อง แค่พาข้าไปพบเซี่ยเหยียนก็พอ”

เขามีนามว่าไป๋อวี่เฟย ตระกูลไป๋ที่อยู่เบื้องหลังเขา เป็นถึงหนึ่งในยอดนิกาย

ยอดนิกายปรากฏกายขึ้นบนโลกน้อยครั้งนัก สำนักเล็ก ๆ อย่างไท่หัวอาจไม่รู้เรื่องราวอะไรมากมาย

เขาเองก็คร้านจะพูดออะไรกับเวิงอู๋โยวมากเกินจำเป็น

พูดไปเจ้าก็ไม่รู้เรื่อง?

คำพูดนี้ช่าง…หยิ่งผยองยิ่งนัก

ภายในใจของเวิงอู๋กล่าวออกมาว่าเจ้ามีสิ่งใดน่าผยองกัน? สำนักไท่หัวของข้าก็ไม่ได้อ่อนแอ!

ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดถือสาเอาความอะไรกับไป๋อวี่เฟย เขาอายุมากกว่าอีกฝ่ายไม่รู้เท่าไหร่ ไม่มีความจำเป็นจะต้องหาเรื่องเด็กหนุ่ม

อย่างไรเสียความอวดดีก็มักเป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวมี…

“เป็นเช่นนี้เอง เชิญคุณชายเข้ามาเถิด เซี่ยเหยียนบังเอิญอยู่ในสำนักพอดี”

เวิงอู๋โยวพูดด้วยรอยยิ้ม

หลังจากนั้นเขาก็นำทางไป๋อวี่เฟยไปที่ห้องโถงใหญ่ สั่งให้คนนำชามาเสิร์ฟพร้อมกับบอกให้ไปตามเซี่ยเหยียน

เพียงไม่นาน เซี่ยเหยียนก็มาถึงห้องโถงใหญ่

“เจ้ากำลังตามหาข้าอยู่หรือ?”

เซี่ยเหยียนมองไปทางไป๋อวี่เฟย คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

นางไม่มีเรื่องอะไรกับไป๋อวี่เฟยผู้นี้แม้แต่น้อย ส่วนตระกูลไป๋อะไรนั่น นางเองก็ไม่มีเรื่องข้องเกี่ยวด้วย

ไป๋อวี่เฟยไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่แม้กระทั่งจะลุกยืน ทั้งยังหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบเบา ๆ ก่อนจะกล่าวออกมา “เจ้าก็น่าจะรู้เกี่ยวกับการจัดตั้งสถานศึกษาที่รวบรวมกองกำลังจากทุกหนแห่งในใต้หล้า ตอนนี้สถานศึกษาได้จัดตั้งขึ้นแล้ว ลุงหมิงหวังว่าเจ้าเองก็จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสถานศึกษา”

เขามาจากยอดนิกาย ภายในใจจึงยังคงมีความผยอง ไม่ปฏิบัติตนต่อเซี่ยเหยียนในฐานะเท่าเทียมกัน

เซี่ยเหยียนที่เห็นว่าไป๋อวี่เฟยไม่แม้แต่จะยืนขึ้นก็หัวเราะออกมา

คนผู้นี้กำลังล้อเล่นกับนางอยู่หรือไร?

คิดว่านางจะยอมอย่างนั้นหรือ?

นางดูเหมือนคนที่ยอมให้วางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ได้หรือ?

นางนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนกล่าวออกมา “หวังให้ข้าเข้าร่วมหรือ? คำว่าหวังนี่มากน้อยเพียงใด?”

หืม!?

ไป๋อวี่เฟยขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับท่าทีของเซี่ยเหยียนเป็นอย่างมาก

เซี่ยเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอ่ยกับเขา เห็นได้ชัดว่ากำลังวางตนเสมอเขา!

สามัญชนก็ยังคงเป็นสามัญชน ทะเยอทะยานแล้วยังชอบกำเริบเสิบสาน!

เขาชำเลืองมองเซี่ยเหยียนแล้วพูดว่า “ทุกคนย่อมมีความภาคภูมิใจ แต่จงอย่าหยิ่งผยองเกินไป มิเช่นนั้นจะต้องรับผลกรรมครั้งใหญ่!”

“ประโยคนี้มอบให้เจ้าจะเหมาะสมเสียกว่า”

เซี่ยเหยียนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ

เป็นนางที่ทำตัวเกินเลยงั้นหรือ?

คนที่ทำตัวเกินเลยคือไป๋อวี่เฟยต่างหาก!

หากให้เกียรตินาง นางย่อมให้เกียรติกลับ ทว่าไป๋อวี่เฟยนั้นวางท่าต่อหน้านางอย่างไร้ซึ่งมารยาทโดยสิ้นเชิง นางย่อมต้องไม่ยอม

“บังอาจ!”

ไป๋อวี่เฟยตวาด “ผู้ใดมอบความกล้าให้เจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร? ข้ามาจากตระกูลไป๋ เป็นยอดนิกายที่แท้จริง!”

“คนที่บังอาจคือเจ้าต่างหาก!”

เซี่ยเหยียนไม่ยอมตกเป็นรองตอบกลับไปเสียงดัง “ผู้ใดกันที่ให้ความกล้ากับเจ้ามาพูดเช่นนี้กับข้า?”

ยอดนิกายแล้วอย่างไร?

มาวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้า นางไม่มีวันยอมหรอก!

ตอนที่อยู่เขาหยงหมิง นางได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับยอดนิกายจากผู้อาวุโสเก้าแห่งตระกูลซาง ว่ายอดนิกายนั้นสืบทอดมาจากบรรดามหาจักรพรรดิผู้ทรงพลังในยุคสมัยโบราณกาล

นางทราบด้วยว่ายอดนิกายแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ขุมกำลังล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึง

ทว่าถึงเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่ยอมอยู่ดี

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่? ก่อนหน้านี้พวกเจ้ากระทำความผิดโดยการปลอมแปลงเป็นยอดนิกาย พวกเราก็ไม่ได้สืบสาวเอาความเจ้า ตอนนี้เจ้ายังแสดงทีท่าเช่นนี้ คิดว่าตนเองจะสามารถทำอะไรยอดนิกายได้อย่างนั้นหรือ?”

ไป๋อวี่เฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่!?“

เซี่ยเหยียนกล่าวตำหนิ “ต่อหน้าผู้ที่สังหารอสูรระดับกษัตริย์นักบุญได้อย่างง่ายดาย ยังกล้าวางท่า เจ้าคิดว่าชีวิตของตัวเองดีหรือยาวเกินไปอย่างนั้นเหรอ?”

“สังหารอสูรระดับกษัตริย์นักบุญ?”

ไป๋อวี่เฟยหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “นี่นับเป็นอะไรได้? ตระกูลไป๋ของข้าไม่ต้องกล่าวถึงการสังหารอสูรระดับกษัตริย์นักบุญ กระทั่งอสูรขั้นสูงสุด หรือจักรพรรดิอสูรก็สามารถสังหารได้!”

หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางเซี่ยเหยียนแล้วพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ใช่พลังของเจ้าเอง แต่เป็นพลังจากคันศรช่วยเหลือ ตัวเจ้านับว่ามีสิ่งใดให้อวดดีกัน?”

ไอ้ลูกหมานี่!

หลังจากฟังจบเซี่ยเหยียนถึงกับอุทานออกมา

คนผู้นี้ช่างน่าไม่อายเป็นอย่างยิ่ง

กล่าวว่านางหยิบยืมพลังจากคันศร แล้วคนผู้นี้ล่ะ?

ไม่ใช่ว่าเขาเองก็อาศัยอำนาจของตระกูลไป๋ที่อยู่เบื้องหลังเพื่อโอ้อวดและวางท่าผยองใส่นาง?

ก่อนจะกล่าวสิ่งใดช่างไม่มองย้อนดูตัวเองเสียก่อน!

“ไม่ว่าเจ้าจะคิดเช่นไร สถาบันศึกษาอะไร ข้าก็ล้วนไม่สนใจ”

นางไม่อยากโต้เตียงอะไรมากไปกว่านี้

มีอะไรจะต้องโต้เถียงกันอีก?

คนผู้นี้เกินเยียวยาอย่างเห็นได้ชัด!

“ได้!”

ไป๋อวี่เฟยกล่าว “สถานศึกษาจะมีเจ้าหรือไม่มีก็ได้ เพราะหากไม่มีคันศร เจ้าก็ไม่นับว่ามีอะไรดี!”

เขาพูดต่อ “ส่งคันศรมา หลังจากนั้นเจ้าจะทำอะไรก็ตามใจ”

“???”

เซี่ยเหยียนถึงกับพูดไม่ออก นี่คือต้องการจะทำอะไร? ต้องการคันศรของนางงั้นหรือ?

นางเอ่ยออกมา “คันศรเป็นของข้า เหตุใดข้าต้องมอบให้เจ้าด้วย?”

“จุดประสงค์ของการตั้งสถานศึกษาไม่ใช่เพื่อใครผู้หนึ่ง แต่เพื่อสิ่งมีชีวิตทุกคนบนโลก เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมสถานศึกษา แต่จำเป็นต้องส่งมอบคันศร!”

ไป๋อวี่เฟยกล่าว “สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนกำลังพยายามเพื่อโลกใบนี้ เจ้าเองก็สมควรจะต้องมีส่วนร่วมด้วย และนี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรกระทำ”

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท