ถึงปลายเดือนแปด ก็มีข่าวมาจากพ่อบ้านไป๋
“…ครอบครัวของหยางอี๋เหนียงตั้งแต่ส่งบุตรสาวไปที่จวนเจี้ยนหนิงโหวแล้ว ก็สร้างเรือนห้าห้อง ซื้อที่ดินเพิ่มสิบแปลง ซื้อสาวใช้หนึ่งคน จ้างคนงานสองคน บุตรชายคนเดียวก็ส่งไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษา บิดาของหยางอี๋เหนียงสองปีก่อนยังเป็นเป่าจั่ง ชีวิตครอบครัวเจริญรุ่งเรืองดีขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ให้หู่พั่วไปบอกกล่าวกับหยางอี๋เหนียง
หยางอี๋เหนียงก้มหัวขอบคุณสืออีเหนียง ผ่านไปสองสามวันก็ทำกระโปรงสีขาวปักลายดอกเหมยสีขาวให้สืออีเหนียง “…ฮูหยินโปรดอย่าถือสา ถือว่าเป็นการขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
นางสีหน้าซีดเซียวและเหนื่อยล้า ดูก็รู้ว่านางไม่ได้นอนทั้งคืน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้หู่พั่วรับมา
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแต่ไม่พูดอะไรอยู่ข้างๆ
สองสามวันต่อมา หยางอี๋เหนียงก็ส่งรองเท้ามาให้อีกสองคู่ และผ้าเช็ดตัวอีกสองผืน
สืออีเหนียงก็ยิ้มแล้วรับมา ถึงแม้จะไม่เคยเห็นสืออีเหนียงใช้มัน แต่หยางอี๋เหนียงก็ค่อยๆ ตีสนิทกับสืออีเหนียง
“ดอกเบญจมาศสีแดง ดอกโบตั๋นสีเขียว ดอกม่านไม้ไผ่และดอกอวี้หูชุนที่ห้องหน่วนฝังออกดอกแล้วหรือเจ้าคะ” ตอนเช้าที่มาคารวะสืออีเหนียง เห็นลี่ว์อวิ๋นจัดดอกหอมหมื่นลี้อยู่ที่ขอบหน้าต่างห้องของสืออีเหนียง นางถามอย่างระมัดระวัง “ฮูหยิน ให้ข้าไปช่วยย้ายจากห้องหน่วนฝังมาวางบนขอบหน้าต่างให้ท่านสักสองสามกระถางดีหรือไม่”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบว่า “ดอกเบญจมาศร่วงเร็วเกินไป”
หยางอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ใจจดใจจ่อกับการเย็บปักถักร้อย ตอนที่บุตรชายคนโตของปินจวี๋จัดพิธีสรงสามก็ยังส่งเสื้อผ้าเด็กมาให้ตั้งสี่ชุด “… ฝีมือไม่ดีเท่าสะใภ้ว่านต้าเสี่ยน แต่อย่างน้อยก็สวมได้”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้หู่พั่วนำสร้อยทอง กำไลที่ตัวเองทำ และเสื้อผ้าเด็กที่หยางอี๋เหนียงทำให้ปินจวี๋
หยางอี๋เหนียงก็นำลายปักที่ตัวเองวาดมาให้สืออีเหนียงดู “ไม่รู้ว่าที่ร้านมงคลสมรสจะใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
ทำกิจการ ต้องได้เจอกับลูกค้าทุกประเภท สืออีเหนียงยิ้มแล้วรับมา ส่งไปให้อาจารย์เจี่ยน อาจารย์เจี่ยนก็บอกให้ช่างปักเย็บปักถักร้อยตามแบบสองสามชุด คิดไม่ถึงว่าจะขายดีเช่นนี้ อาจารย์เจี่ยนจึงมอบเงินห้าตำลึงให้สืออีเหนียงนำไปให้หยางอี๋เหนียง “…อาจารย์เจี่ยนมอบให้เจ้า ตอนที่ช่างปักที่ร้านคิดลายปักแล้วขายดี ก็ได้เงินปันผลเช่นนี้เหมือนกัน”
หยางอี๋เหนียงตกใจ นางยิ้มแล้วขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า จู่ๆ ก็ราวกับติดอกติดใจ นางออกแบบลายปักให้ร้านมงคลสมรสถึงเจ็ดแปดลาย สืออีเหนียงก็นำไปให้อาจารย์เจี่ยนเหมือนเดิม อาจารย์เจี่ยนปักไปสองลาย ส่วนที่เหลือนั้นส่งคืนกลับมา “…ถึงแม้ว่าจะสวย แต่มันซับซ้อนเกินไป ต้องใช้เวลาในการปัก กลัวลูกค้าบอกว่ามันแพงเกินไป” หยางอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มออกแบบลายที่เรียบง่าย ช่วยลดความกดดันของอาจารย์เจี่ยนได้ไม่น้อย รูปแบบลายปักของร้านมงคลสมรสก็หลากหลายมากขึ้น นี่คือเรื่องที่สืออีเหนียงคิดไม่ถึง และก็เพราะสาเหตุนี้ หยางอี๋เหนียงไม่เพียงแต่พูดคุยหัวเราะกับสืออีเหนียง แล้วยังมักจะมาหาสืออีเหนียงที่เรือนอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ช่วยสืออีเหนียงจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในสายตาของคนอื่น ไทเฮาไม่อยู่แล้ว แต่หยางอี๋เหนียงกับสืออีเหนียงกลับสนิทสนมกันมากกว่าเดิม
ชิวหงเห็นเช่นนี้ก็กังวล
“อี๋เหนียงเจ้าคะ” นางถือโอกาสตอนที่เหวินอี๋เหนียงกำลังช่วยเจินเจี่ยเอ๋อร์นับสินเดิม ตอนที่นางกำลังอารมณ์ดี “ทำกิจการท่านเชี่ยวชาญที่สุด ท่านไม่ลองช่วยออกความคิดเห็นให้ร้านมงคลสมรสของฮูหยินบ้างหรือเจ้าคะ”
“ไม่จำเป็น!” เหวินอี๋เหนียงมองดูถ้วยกระเบื้องลายครามลายดอกโบตั๋นที่ส่งมาใหม่แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ “เราจัดการเรื่องของคุณหนูใหญ่ให้เรียบร้อยก็พอแล้ว!”
ชิวหงเห็นเหวินอี๋เหนียงมีท่าทีไม่สนใจ จึงเอ่ยเตือน “แต่ท่านดูหยางอี๋เหนียงสิเจ้าคะ…อย่างน้อยท่านก็ควรจะไปหาฮูหยินบ่อยๆ”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแปลกๆ “ข้าว่าช่างมันเถิด!”
“ทำไมหรือเจ้าคะ” ชิวหงไม่เข้าใจ “เมื่อก่อนท่านก็ไปหาฮูหยินอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ”
เหวินอี๋เหนียงโบกมือ บอกให้ชิวหงหยุดพูด ฉินอี๋เหนียงก็มาพอดี
ชิวหงจึงกลืนคำนั้นลงไปในท้อง ยิ้มแล้วยกชาและของว่างมาให้ฉินอี๋เหนียง
ฉินอี๋เหนียงหยิบทองคำออกมาจากแขนเสื้อห้าเส้น “…พวกนี้ เจ้าช่วยนำไปแลกเงินมาให้ข้าหน่อยเถิด”
เหวินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ พูดด้วยความลังเล “ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”
ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นมา นางนำทองคำมาแลกเงินตั้งยี่สิบเส้นแล้ว
ในช่วงแรกที่สวีซื่ออวี้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านโหว ไม่เพียงแต่ไท่ฮูหยิน แม้แต่หยวนเนียงเองก็มักจะมีรางวัลให้เขา และฉินอี๋เหนียงก็เป็นคนดูแลให้เขา แน่นอนว่าในมือของฉินอี๋เหนียงต้องมีเงินส่วนตัวอยู่บ้าง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรทำแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เงินของฉินอี๋เหนียงอยู่ที่ส่วนกลาง นางไม่ดื่มสุราไม่เล่นการพนัน แล้วก็ไม่มีพี่น้องสกุลเดิม ตามหลักแล้วนางไม่ควรมีรายจ่ายอะไร
“เป็นเพราะอี้อี๋เหนียง” ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย “เจ้าก็รู้ว่าเราสนิทสนมกันมากแค่ไหน เรื่องบางเรื่อง ถึงแม้ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ต้องช่วยเหลือกัน”
เหวินอี๋เหนียงเห็นว่านางไม่ยอมพูด ก็ไม่ซักถามอะไรอีก เพียงเตือนนางว่า “เงินทองเป็นของหายาก แต่ใช้ออกไปง่าย ฉินอี๋เหนียงควรไตร่ตรองให้ดี”
ฉินอี๋เหนียงยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ไม่พูดอะไร
เหวินอี๋เหนียงบอกให้ชิวหงนำตาเต็งออกมาชั่งน้ำหนักทองคำ แล้วบอกให้นางมารับตั๋วเงินในอีกสามวันข้างหน้า
สืออีเหนียงกำลังจะไปวัดฉือหยวน
อีกสองวันคือวันครบรอบหนึ่งปีของนายหญิงใหญ่ นางอยากให้ไต้ซือจี้หนิงช่วยนางทำพิธีสวดบทขอขมากรรมเจ็ดวัน ถือว่าเห็นแก่ความเป็นแม่ลูกของพวกนางสองคน
อู่เหนียงส่งจั๋วเถา สาวใช้คนสนิทมาหาสืออีเหนียง
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อ่อนโยนราวกับต้นอ่อนในเดือนสามเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว งดงามราวกับดอกเถาฮวาทีเดียว
นางยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง จากนั้นก็พูดอย่างนอบน้อม “คุณนายของเราให้บ่าวมาถามฮูหยินเจ้าค่ะ ถามว่างานครบรอบหนึ่งปีของนายหญิงใหญ่จะจัดเช่นไรดีเจ้าคะ” อธิบายอีกว่า “นายท่านของเราไม่อยู่ที่จวน ซินเกอก็ยังเด็ก ส่วนพี่จื่อย่วนพึ่งจะแต่งงานออกเรือนไป ไม่มีใครช่วยออกความคิดเห็นสักคนเจ้าค่ะ จึงมาขอความคิดเห็นจากฮูหยิน”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
“นายท่านของพวกเจ้าไปไหน เหตุใดถึงไม่อยู่ที่จวน”
“ไปเซวียนถงเจ้าค่ะ” จั๋วเถายิ้ม “บอกว่าจะไปเยี่ยมสหายที่ทำกิจการ แล้วจะกลับมาช่วงต้นฤดูหนาวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจ นางนึกถึงคำพูดของจั๋วเถาอยู่ในใจแล้วเอ่ยถามนางว่า “จื่อย่วนแต่งงานกับใคร”
“บุตรชายคนเล็กของสกุลเผิงที่มักจะส่งของแห้งมาให้สกุลเราเจ้าค่ะ” จั๋วเถายิ้ม “แต่งเข้าไปเป็นคุณนายอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียม สกุลเผิงยังมีเรือนสองประตูในตัวเมือง นับเป็นสกุลที่ดีเจ้าค่ะ”
สกุลที่ดีเช่นนี้จะแต่งงานกับสาวใช้ได้เช่นไร
สืออีเหนียงแอบคิดว่ามันผิดปกติ แต่ก็ไม่อยากถามอะไรมากไปกว่านี้ กลัวว่าจะถามถึงเรื่องที่น่าเศร้า จึงเก็บความคิดนี้เอาไว้แล้วถามอีกว่า “เช่นนั้นที่จวนก็มีแค่เจ้ากับซุ่ยเอ๋อร์เช่นนั้นหรือ!”
จั๋วเถาพยักหน้า “เป็นเพราะสองสามวันมานี้ซินเกอมีอาการไอ ไม่เช่นนั้นคุณนายคงจะมาหาฮูหยินด้วยตัวเองเจ้าค่ะ จะส่งบ่าวมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าฮูหยินได้อย่างไรกัน”
เมื่อได้ยินว่าซินเกอไม่สบาย สืออีเหนียงก็ถามอย่างละเอียดอยู่นาน พอรู้ว่าเป็นเพราะอากาศแห้ง จึงบอกให้ลี่ว์อวิ๋นนำยาน้ำเชื่อมแก้ไอที่ทางพระราชวังส่งมาเมื่อสองวันก่อนให้จั๋วเถานำกลับไปหนึ่งขวด จากนั้นก็เล่าแผนการที่ตัวเองคิดเอาไว้ให้นางฟัง “…หากพี่หญิงห้าสมัครใจ ถึงตอนนั้นเราไปด้วยกันก็ได้”
จั๋วเถายิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็นำยาน้ำเชื่อมแก้ไอกลับไปที่ตรอกซื่อเซี่ยง
วันต่อมานางก็มาอีกครั้ง
“คุณนายบอกว่าถึงตอนนั้นจะต้องไปแน่นอนเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดว่า “คุณนายยังบอกว่า ขอบพระคุณยาแก้ไอของฮูหยิน ซินเกอดื่มแล้วดีขึ้นไม่น้อย ดีกว่ายาที่หมอข้างนอกสั่งให้อีกเจ้าค่ะ แล้วยังถามว่าฮูหยินยังพอมีอีกหรือไม่ หากว่ามี คุณนายขอเพิ่มอีกสองขวดได้หรือไม่เจ้าคะ” จั๋วเถาพูดพลางหน้าแดง
แต่สืออีเหนียงเข้าใจอู่เหนียงดี
ลูกไม่สบาย คนเป็นแม่ย่อมเป็นห่วงที่สุด
นางบอกให้ลี่ว์อวิ๋นนำหนึ่งขวดที่เหลือมาให้จั๋วเถา “…พระราชวังส่งมาให้ ข้าได้มาแค่สองขวด ให้นางนำไปใช้เถิด หากยังต้องการเพิ่มอีก ข้าค่อยคิดหาวิธี!”
จั๋วเถาพูดขอบคุณแล้วขอตัวลากลับ
สืออีเหนียงส่งคนไปปรึกษาเรื่องที่จะทำพิธีกับไต้ซือจี้หนิงที่วัดฉือหยวน
สวีลิ่งอี๋กลับมาตอนเย็น เขาถามนาง “ทางวัดฉือหยวนว่าเช่นไรบ้าง”
หลังจากที่ไทเฮาสิ้นพระชนม์ สวีลิ่งอี๋มักถูกฮ่องเต้เรียกเข้าไปพูดคุยในพระราชวัง ไปทีก็เกือบครึ่งค่อนวัน บางครั้งกลับมาก็มืดค่ำแล้ว พอถามเขาว่าพูดอะไรกัน ก็บอกว่าเป็นเรื่องทั่วไป
“จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดพร้อมกับรับใช้สวีลิ่งอี๋อาบน้ำ “ข้าจะออกไปพรุ่งนี้เช้า”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า เห็นว่าสืออีเหนียงอาบน้ำเสร็จแล้วเขาก็นอนพักผ่อน ยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุใดถึงไม่ดื่มยาน้ำเชื่อมแก้ไอเล่า”
พึ่งจะต้นฤดูใบไม้ร่วง ยาดับร้อนอย่างน้ำเชื่อมแก้ไอและน้ำสาลี่ของสืออีเหนียง หากนางทานหมดแล้ว พูดน่าฟังหน่อยคือเตรียมตัวล่วงหน้า พูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือหวาดกลัวขี้ขลาดตาขาว เขาพลันนึกถึงท่าทีของสวีซื่อเจี้ยที่ดื่มน้ำสาลี่ทั้งน้ำตาแล้วจ้องมองสืออีเหนียงอย่างสงสาร แต่จู่ๆ ก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา
สืออีเหนียงเพียงแค่ดูก็รู้ว่าสวีลิ่งอี๋กำลังคิดอะไรอยู่
นางรู้สึกไม่สบอารมณ์
เนื่องจากการรักษาพยาบาลในยุคนี้ยังย่ำแย่ จะไม่ระมัดระวังตัวได้อย่างไรกัน
“ซินเกอไม่สบาย ข้าเลยให้คนนำยาน้ำเชื่อมแก้ไอไปให้อู่เหนียงหมดแล้ว” สืออีเหนียงเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ “ดังนั้นวันนี้จึงให้หู่พั่วใช้สมุนไพรชวนเป้ยต้มผสมกับน้ำสาลี่ดื่ม” พูดจบนางก็ลุกขึ้น ยื่นถ้วยยาที่ตัวเองยังดื่มไม่หมดให้สวีลิ่งอี๋ “แล้วยังเหลือไว้ให้ท่านโหวครึ่งหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยิ้มแล้วถอนหายใจ “หากท่านโหวไม่เตือน ข้าคงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”
ไม่แปลกใจที่คนอื่นบอกว่าสวีซื่อเจี้ยเป็นบุตรชายของสวีลิ่งอี๋
พวกเขาไม่เพียงแต่หน้าตาคล้ายคลึงกัน แม้แต่นิสัยที่ไม่ชอบดื่มน้ำสาลี่ก็ยังเหมือนกันอีกด้วย
แต่เพียงเพราะว่าสวีลิ่งอี๋เป็นผู้ใหญ่ สืออีเหนียงจึงไม่เคยบังคับเขา
ดังนั้นเมื่อสวีลิ่งอี๋มองเห็นยาน้ำสีน้ำตาลในถ้วยก็ตกใจ อีกทั้งเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในแววตาของสืออีเหนียง เขาก็ไม่พอใจเล็กน้อย เกิดความอยากเล่นกับนางขึ้นมา จึงรับถ้วยยามาอย่างนิ่งสงบ จากนั้นก็ดื่มมันจนหมด
น้ำสาลี่เย็นเฉียบ นางไม่ได้เหลือไว้ให้ตน แต่เห็นได้ชัดว่านางดื่มไม่หมด
“วันนี้ใครเป็นคนต้มน้ำสาลี่” เขากลั้นยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รสชาติไม่เลวเลยทีเดียวพรุ่งนี้เช้าบอกให้นางต้มให้ข้าอีกถ้วยด้วย” จากนั้นก็ยื่นถ้วยยาคืนให้สืออีเหนียง
ด้วยนิสัยของสวีลิ่งอี๋ ตนรู้ว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธ แต่คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะชมว่าน้ำสาลี่อร่อย
นางก้มหน้าลงมองถ้วยยาที่ว่างเปล่า จู๋เซียงเป็นคนรับผิดชอบของว่างของนางมาตลอด เมื่อครู่ที่นางดื่ม นางยังไม่รู้สึกอะไรเลย…หรือว่าตัวเองไม่ได้สนใจ? หรือว่าวันนี้เปลี่ยนคนต้มน้ำสาลี่? หรือว่าใส่อะไรเข้าไปเพิ่ม?
แต่ในเมื่อสวีลิ่งอี๋บอกให้ทำให้เขาอีกพรุ่งนี้ อย่างนั้นก็บอกให้คนทำให้เขาถ้วยใหญ่เลยก็ได้
เมื่อตัดสินใจแล้วเรียบร้อย สืออีเหนียงก็วางถ้วยยาลง รินน้ำเปล่าให้สวีลิ่งอี๋ล้างปาก สวีลิ่งอี๋พลันนึกถึงท่าทีก้มลงมองถ้วยยาอย่างมึนงงของสืออีเหนียงเมื่อครู่ ก็อยากจะหัวเราะออกมา…รู้สึกว่านางราวกับเป็นเด็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะดึงนางเข้ามากอดในอ้อมแขนด้วยความเอ็นดู