นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป ดวงตาของเขาจมลึก
ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใคร แต่ความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนคิดที่จะแย่งเหยื่อของเขาไปเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแค่นหัวเราะ จากนั้นจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงดังปังเกิดขึ้น
เมื่อเสียงนั้นเงียบลง ผนังที่อยู่ตรงหัวมุมก็ป่นเป็นชิ้นๆ เหลือเพียงเถ้าถ่านของสิ่งที่เคยเป็นผนังขนาดใหญ่เท่านั้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าไปมอง นางดูสับสน องค์ชายเป็นอะไรหรือ
ปัจจุบันเฮ่อเหลียนเวยเวยยังอยู่ในสถานะ ’ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าข้าเป็นคนที่สิงร่างนาง เขาจะทำเหมือนกับข้าเป็นปีศาจ แล้วจับข้ามัด ก่อนย่างสดเหมือนกับย่างเนื้อหรือเปล่า’
นางจะรู้ได้อย่างไรว่าโทสะของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นล้วนแต่มาจากสาเหตุที่ว่ามีใครบางคนพยายามจะแตะต้องนางต่างหาก
กรงเล็บแกร่งของกิเลนอัคคีจิกลงกับพื้น มันก็รู้สึกงุนงงกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้การกระทำของผู้เป็นนายเล็กน้อยเช่นกัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับจิตสังหาร ร่างทั้งร่างของเขาแผ่ความโหดเหี้ยมเย็นชาอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา เปลือกตาของเขากระตุกขึ้นขณะที่เส้นผมสีดำนั้นลอยละล่องอยู่ในอากาศด้วยแรงลม ดวงตาดำขลับราวกับหยกเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยขณะเอ่ยว่า “ไปตรวจสอบว่าใครเป็นคนสร้างพลังปราณในหอแห่งนี้”
“ขอรับ” กิเลนอัคคีน้อมศีรษะรับ เรื่องนี้ดูจะไม่ธรรมดาอย่างที่เป็น…
ข้างนอกยังมีฝนตกอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังนวดหน้าผากของตัวเองอยู่ตอนที่หยวนหมิงลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วพูดกับนางด้วยน้ำเสียงลึกล้ำว่า “แม่นาง ช่วงนี้เจ้าต้องระวังตัว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงตอบรับในลำคอ ลูกผมปรกไปทั่วหน้าผากของนาง นางต้องระวังตัวจริงๆ เพราะอีกคนที่อยู่ในร่างนี้กำลังเริ่มอยู่ไม่สุข
หวังว่านางจะสามารถควบคุมมันได้…
แต่ก็มีใครคนหนึ่งที่ไม่อาจทนเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยดีกว่าได้
หลังการตรวจค้นในครั้งนั้น การที่ซูเหยียนโม่ต้องสำนึกผิดในการกระทำของตนต่อหน้าประชาชีก็ได้กลายเป็นเรื่องตลกในแวดวงสังคมไป
บรรดาคนที่อยู่ในแวดวงนั้นต่างก็เผลอกระตุกริมฝีปากขึ้นทุกครั้งที่มีการกล่าวพาดพิงถึงซูเหยียนโม่ พวกเขาเกลียดชังนางจากก้นบึ้งของหัวใจเพราะจิตใจอันชั่วช้าสามานย์ และความเสแสร้งอย่างสุดแสนของนาง ตอนนี้เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นปัญหาร้ายแรงขึ้นมา สุดท้ายแล้วมันจะไม่ทำให้ตระกูลฝั่งสามีของนางต้องพลอยเสื่อมเสียไปด้วยหรือ
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่เปลี่ยนแปลงทัศนคติของตนที่มีต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยไปเช่นกัน
ในแวดวงสังคมนี้ไม่เคยขาดแคลนเด็กมีฝีมือ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกเลี้ยงได้รับแสงเพราะแม่เลี้ยงบุญธรรมถูกลงโทษ
ยิ่งชื่อของเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกกล่าวถึงบ่อยขึ้นเท่าใด เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยิ่งกลายเป็นประเด็นให้พูดถึงเช่นกัน
ใครคนหนึ่งแค่นหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ดูจะเป็นคนดีเหมือนกัน นางเป็นเด็กที่ค่อนข้างใจดีทีเดียว แต่ข้านึกไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดนั้นจะเป็นสิ่งที่นางเสแสร้งแกล้งทำ หญิงสาวที่มีฝีมือเป็นเลิศที่สุดในเมืองหลวงกลับกลายเป็นเพียงแค่หมอนปักธรรมดา สวยแต่รูปจูบไม่หอม เทียบกับเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วนางยังห่างชั้นยิ่งนัก พวกเจ้าทุกคนคงไม่เคยได้ยินล่ะสิว่าเวยเจ๋อได้รับการยอมรับเพียงใด แม้กระทั่งอดีตฮ่องเต้ก็ยังต้องการความช่วยเหลือของนางในการผลิตอาวุธเชียวนะ คอยดูเถอะ วันหนึ่งตระกูลเฮ่อเหลียนจะต้องกลับคืนไปอยู่ในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างแน่นอน!”
เฮ่อเหลียนกวงเย่านั่งอยู่ในรถม้าพลางฟังคำพูดเหล่านั้นอยู่ข้างนอก ยิ่งได้ฟังใบหน้าของเขาก็ยิ่งดำทะมึน
ตั้งแต่เรื่องของซูเหยียนโม่ แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกประหม่าเล็กน้อยตอนที่ออกจากจวน แม้เขาจะยังมีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือ แต่ก็ยากที่จะหลบเลี่ยงคนที่ชี้นิ้ว และจ้องมองมาที่เขาได้
นอกจากนั้นยังมีเสียงไม่มากก็น้อยมาจากผู้มีอำนาจภายในตระกูลสั่งให้เขาระวังไว้เช่นกัน การประชุมประจำตระกูลกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นในเวลานี้เขาจะทำเสียเรื่องไม่ได้
เฮ่อเหลียนกวงเย่าหายใจเข้าลึก ดวงตาของเขาดำทะมึน เขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่านังลูกสาวอกตัญญูของเขาจะมีความสุขได้อีกนานนัก!
ถ้าเขาจำไม่ผิด เหลืออีกเพียงไม่กี่วันก็คงได้เวลาที่บรรดาเสนาบดีเสนอให้องค์ชายสามเลือกสนมแล้วกระมัง เขาอยากเห็นนักว่าทันทีที่องค์ชายได้หวานใจคนใหม่ แล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยจะยังมีความสามารถอื่นแสดงให้เขาเห็นได้อีกหรือไม่!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็กระตุกริมฝีปากบางของตนขึ้น เขาคงมีอะไรให้เอ่ยถึงในการประชุมราชสำนักเช้านี้แล้วกระมัง…
เวลาเช้าตรู่
ณ ท้องพระโรง
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เมื่อเห็นสีหน้าง่วงเหงาหาวนอนของเขา ทุกคนก็รู้ว่าถ้าเมื่อคืนนี้เขาไม่ได้ปรุงโอสถมากเกินไป ก็คงจะผล็อยหลับไปในห้องของสนมสักคนอีกแน่ๆ
มู่หรงอ๋องเก็บความโกรธแค้นไว้ในใจตั้งแต่วันที่ฮองเฮาถูกเนรเทศไปอยู่ที่ตำหนักเย็น
แม้อดีตฮ่องเต้จะบอกว่ามันเป็นเพียงการลงโทษเล็กๆ น้อยๆ แต่มู่หรงอ๋องรู้ดีกว่าใครว่าใครก็ตามที่ก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักเย็นนั้นยากจะกลับออกมาได้ยิ่งนัก
เขาไม่เคยนึกโมโหในความไร้ความสามารถของฮ่องเต้เท่าในเวลานี้มาก่อน
สาเหตุที่จวนอ๋องมู่หรงมีอำนาจใหญ่โตถึงเพียงนั้นล้วนแต่เป็นผลมาจากความไร้ความสามารถของฮ่องเต้ และตอนนี้อำนาจที่ว่านี้ก็กำลังจะย่อยยับเพราะการขาดความสามารถของฮ่องเต้นี่เอง
ทุกอย่างเป็นเพราะฮ่องเต้มีบุตรสาวที่มีความสามารถมากเกินไป
ตราบใดที่ยังมีไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่รอบๆ หลานชายของเขาก็คงไม่มีทางได้สืบทอดบัลลังก์
ภาพองค์ชายห้าร้องไห้หาแม่ของตนเมื่อวานที่จวนแล่นเข้ามาในใจเขา ไอสังหารอันรุนแรงวาบขึ้นในดวงตาของมู่หรงอ๋อง แต่เขาก็ปกปิดความชั่วร้ายนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะเขารู้ว่าการทำอะไรโดยหุนหันพลันแล่นนั้นย่อมไม่เกิดผลดีอันใดหากต้องรับมือกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อเหลียนกวงเย่าคุกเข่าลงกับพื้น น้ำเสียงของเขาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
ในตอนที่เสนาบดีทุกคนคิดว่าเขาจะร้องขอความเมตตาให้กับภรรยาตัวเองนั้น เฮ่อเหลียนกวงเย่ากลับพูดขึ้นเสียงดังว่า “วันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ชายสามใกล้เข้ามาแล้ว ในฐานะที่องค์ชายสามเป็นองค์รัชทายาทที่อดีตฮ่องเต้แต่งตั้งเอาไว้ เขาควรจะเลือกหญิงที่มีทั้งรูปโฉมงดงามและมีความสามารถมารับใช้ตอนอายุครบยี่สิบนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้ว่าหากเสนาบดีท่านอื่นนำเรื่องนี้มากราบทูลกับท่านก็คงจะไม่เหมาะนัก แต่อย่างไรพระชายาสามก็เป็นบุตรสาวของกระหม่อม ดังนั้นกระหม่อมจึงรู้จักนางดีพ่ะย่ะค่ะ หญิงที่ไร้ซึ่งความงดงามจะทำประโยชน์อันใดได้นานนักหรือ แทนที่จะต้องถูกองค์ชายเกลียดชังในภายหลัง สู้ทำไมไม่ปล่อยให้องค์ชายสามเลือกหญิงสาวที่ตนชอบในตอนนี้แทนล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้…” ฮ่องเต้คาดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าจะเสนอการคัดเลือกสนมขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้ะยายามปฏิเสธบุตรชายคนที่สามของตนมาตลอด โดยเฉพาะตอนที่เขาได้ยินคำว่าองค์รัชทายาท ความจริงนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นคนไร้ความสามารถจริงๆ แต่เขาก็ยังเห็นแก่ตัวในด้านที่ต้องการปกป้องตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ กระนั้นความหวาดกลัวที่เขามีต่ออดีตฮ่องเต้ก็ยังยิ่งใหญ่นัก…
ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังลังเลใจอยู่นั้น มู่หรงอ๋องก็คุกเข่าลงเช่นกัน “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทจำเป็นต้องเลือกหญิงที่สะสวยและมีความสามารถมารับใช้ตนตอนอายุยี่สิบพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นทำเนียมที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นภายในราชวงศ์ของเรา ดูเหมือนว่ารูปร่างหน้าตาของพระชายาสามจะค่อนข้างต่อกว่ามาตรฐานเล็กน้อย องค์ชายสามจะต้องเลือกคนอื่นขึ้นมาเป็นสนมพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้มองผู้บัญชาการกองทัพผู้น่าเคารพนับถือทั้งสองซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรง ทั้งสองคนเป็นตัวแทนอำนาจจากตระกูลของตน ดังนั้นคนอื่นๆ จึงคุกเข่าตามทั้งสองทันทีที่พวกเขาพูดจบ
เมื่อไม่มีหนทางอื่น ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงยกมือขึ้น แล้วเอ่ยว่า “ท่านเสนาบดี ถูกอย่างที่ท่านว่า เจวี๋ยเอ๋อร์อายุถึงเกณฑ์แล้วจริงๆ เขาควรจะแต่งสนมเข้ามา”
จากนั้นฮ่องเต้จึงหันหน้าไปหาขันทีที่รับใช้อยู่ข้างกาย “แจ้งให้ทุกคนรู้ว่าการคัดเลือกจะถูกจัดขึ้นในอีกสามวัน หญิงสาวที่มีทั้งความงดงามและมีความสามารถจะได้เป็นสนมขององค์ชายสาม”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรับคำสั่งแล้วออกไป
เฮ่อเหลียนกวงเย่าและมู่หรงอ๋องที่มีเจตนาอื่นแอบแฝงต่างลดสายตาลง พร้อมกับกระตุกยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
ครั้งนี้หากอวิ๋นปี้ลั่วที่มีทั้งหน้าตาและความสามารถปรากฏตัวขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคงได้ถูกกระชากลงจากตำแหน่งเป็นแน่!
ไม่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะมีกลอุบายซ่อนไว้มากมายเพียงใด แต่ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องพ่ายแพ้ให้กับใบหน้าที่ทั้งดำทั้งอัปลักษณ์ของตนอย่างแน่นอน!