หลังจากกลับมาตำหนักบูรพาเป็นเวลานาน อารมณ์ขององค์รัชทายาทยังคงยากที่จะสงบ
“องค์หญิงจินเหยากับองค์ชายสามต่างถูกเฉินตันจูหลอกลวงจนหลงทิศทาง” ฝูชิงเกลี้ยกล่อม “พวกเขาไม่อาจได้ยินคำพูดไม่ดีเกี่ยวกับเฉินตันจูแม้แต่น้อย ดูหมิ่นองค์รัชทายาทต่อหน้าฝ่าบาท องค์รัชทายาทอย่าได้ถือสาพวกเขาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ถือสาพวกเขา” องค์รัชทายาทยิ้มเย็น “พวกเขาปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ข้าก็ไม่สนใจ”
เขาสนใจเพียงฝ่าบาท องค์รัชทายาทเงียบไปชั่วขณะ อาจเพราะองค์หญิงจินเหยาพูดถึงเฉินตันจู ทำให้ฮ่องเต้หมดอารมณ์ ได้ยินพวกเขาพี่น้องต่างคนต่างพูดถึงเฉินตันจู ฮ่องเต้พูดขัดพวกเขาอย่างหมดความอดทน ขับไล่พวกเขาทั้งหมดออกมา
“เสด็จพ่อ ไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดของข้า” เขาพูดขึ้น
เสด็จพ่อไม่ทรงฟังคำพูดของเขาคนเดียวอีกแล้ว
…
งานเลี้ยงเลิกรา ฮ่องเต้ยังคงคลึงขมับ
ขันทีจิ้นจงยกน้ำแกงชามหนึ่งมา “ฝ่าบาทเสวยอีกเถิดพ่ะย่ะค่ะ ยังไม่ได้เสวยสิ่งใดเลย”
“ไม่กินๆ” ฮ่องเต้โบกมือพลางบ่น “เฉินตันจูผู้นี้ เพียงแค่พูดถึงนางก็ไม่มีเรื่องดี งานเลี้ยงของข้า ทะเลาะกันขึ้นมาก็เพราะนาง”
ขันทีจิ้นจงยิ้มพลางเปลี่ยนประเด็น “คุณหนูตันจูก่อเรื่องครานี้ ทุกคนล้วนตระหนักถึงองค์ชายหก กระหม่อมได้ยินองค์ชายสองพวกเขากำลังหารือว่าจะไปเยี่ยมองค์ชายหก”
ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น “เยี่ยม? มันคือจุดประสงค์ของฉู่อวี๋หยงหรือ”
ฝ่าบาทโปรดปรานที่จะให้พี่น้องเคารพกัน โปรดปรานที่จะเห็นบุตรหลานใกล้ชิดกัน แต่หากเกี่ยวข้องกับองค์ชายหก เขามีแต่ความสงสัย องค์ชายหกเคยครอบครองกองทัพทั้งสาม เขาไม่ใช่เป็นเพียงบุตรชายอีกต่อไป ขันทีจิ้นจงไม่กล้าพูด ก้มหน้าลง
องค์ชายหกเอ๋ย ทั้งที่สามารถไม่เป็นบุตรชาย แต่เขากลับกระโดดลงมาในโคลน ดึงดันจะกลับมา มันเป็นทางเลือกของเขา โทษผู้อื่นไม่ได้แล้ว
…
ถึงแม้งานเลี้ยงจะเลิกรา แต่เรื่องในงานเลี้ยงยังคงค้างคาอยู่ภายในใจของทุกคน
เสี่ยวชวีโบกมือให้เหล่านางในออกไป พูดอย่างดีใจ “องค์ชาย ที่แท้คุณหนูตันจูไม่ได้จะรักษาให้องค์ชายหก”
เรื่องเฉินตันจูอาละวาดเส้าฝู่เจี้ยนเพื่อองค์ชายหกแพร่กระจายไปทั่วพระราชวัง เสี่ยวชวีรู้สึกยิ่งกว่า โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าเฉินตันจูไปงานเลี้ยงขององค์ชายหก ไปงานเลี้ยงย่อมมีการไปมาหาสู่ ไปมาหาสู่…เหมือนกับองค์ชายสามในเวลานั้น
แต่ก่อนหน้านี้ได้ยินองค์หญิงจินเหยาบอกว่าเฉินตันจูปฏิเสธการรักษาให้องค์ชายหกในตำหนัก เสี่ยวชวีก็อดดีใจไม่ได้
องค์ชายสามถอดเสื้อนอกออกอย่างช้าๆ ถาม “แล้วอย่างไรหรือ”
เสี่ยวชวีเห็นใบหน้าปกติของเขา แต่มักรู้สึกแตกต่างจากแต่ก่อน ราวกับว่ามีหมอกชั้นหนึ่งครอบคลุมเอาไว้ เมื่อมีหมอกชั้นนี้ แม้แต่รอยยิ้มขององค์ชายสามก็มองไม่เห็นแล้ว
เขาอยากให้องค์ชายสามยิ้มให้มากขึ้น คนที่ทำให้องค์ชายสามยิ้มได้มีเพียงเฉินตันจูแล้ว
“แสดงว่าคุณหนูตันจูปฏิบัติต่อองค์ชายหกแตกต่างจากองค์ชายสาม” เสี่ยวชวีพูด “เวลานั้นคุณหนูตันจูเป็นกังวลอาการพระประชวรของท่านเพียงใด กระหม่อมจดจำไว้ในใจตลอดเวลา”
ฉู่ซิวหยงยิ้ม “เพราะข้าทำให้นางเจ็บปวด ทำให้นางกลัว จนนางไม่กล้ารักษาให้ผู้อื่นแล้ว”
เสี่ยวชวีรู้เรื่องระหว่างองค์ชายสามกับคุณหนูตันจู แต่เขาไม่เข้าใจ เหตุใดคุณหนูตันจูจึงโกรธเพียงนี้
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่อยู่แล้วก็จริง แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กมีอำนาจมากเพียงใด จะมากเท่าองค์ชายได้หรือ
ผู้อื่นต่างบอกว่าองค์ชายสามถูกความงามของเฉินตันจูหลอกลวง ในฐานะขันทีประจำตัวขององค์ชายสาม เขารู้ถึงความจริงใจขององค์ชายสามที่มีต่อเฉินตันจูที่สุด
แม้การเป็นบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพหน้ากากเหล็กจะดูมีศักดิ์ศรี แต่จะมีศักดิ์ศรีเท่าเป็นพระชายาขององค์ชายหรือ?
ไม่เข้าใจคุณหนูตันจูเสียจริง
เสี่ยวชวีเกลี้ยกล่อมอย่างเห็นใจและหมดหนทาง “องค์ชาย ท่านทรงอย่าคิดมาก ต้องรักษาพระวรกาย”
อย่าได้เสียใจและทำร้ายร่างกายเพราะเรื่องของคุณหนูตันจู
ฉู่ซิวหยงกำลังจะพูด ภายนอกตำหนักมีเสียงดังขึ้น “เกิดอันใดขึ้น ร่างกายไม่สบายอีกแล้วหรือ” ตามมาด้วยเสียงถวายบังคมของเหล่าขันทีและนางใน พระสนมสวีเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
พระสนมสวีเดินไปถึงตรงหน้าฉู่ซิวหยง มองซ้ายขวาบนล่างอย่างถี่ถ้วน “เป็นอันใด สีหน้าเจ้าไม่ดีนัก รีบไปเชิญหมอหลวงจาง”
ฉู่ซิวหยงห้ามด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมไม่เป็นอันใด ตะกละจึงกินมื้อดึกมากไปจนเอียน ไม่ต้องให้หมอหลวงจางมาดู กระหม่อมอดสักสองมื้อก็ไม่เป็นอันใดแล้ว”
พระสนมสวีพินิจเขา บอกให้เสี่ยวชวีไม่ต้องไป เสี่ยวชวีนำเหล่าขันทีและนางในภายในตำหนักถอยออกไป
“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ขอบเขตร่างกายของตนเอง” พระสนมสวีนั่งลง “ข้าไม่ยุ่งกับเจ้ามาก”
ฉู่ซิวหยงนั่งลงข้างตัวนาง “แต่เรื่องจวน ยังต้องให้เสด็จแม่ดูแล”
เหล่าองค์ชายสถาปนาเป็นท่านอ๋อง มีการหารือในท้องพระโรงแล้ว ฐานันดรก็เลือกแล้ว เหลือเพียงเลือกจวน
“เลือกไว้แล้ว เจ้าวางใจเถิด” พระสนมสวีพูด เมื่อนึกว่าบุตรชายกำลังจะย้ายออกไปพักด้านนอก ทั้งดีใจทั้งเสียใจ “แต่เรื่องจวนไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด หากแต่เป็นเรื่องงานอภิเษกของพวกเจ้า”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่ซิวหยงจางลงไป “อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่รีบ”
“รีบ เสด็จพ่อของเจ้ารีบมาก” พระสนมสวีกดเสียงต่ำ “ฝ่าบาทตรัสกับข้าแล้ว สถาปนาท่านอ๋องก็เพื่อคัดเลือกพระชายาให้พวกเจ้า”
ฉู่ซิวหยงกำลังจะพูด พระสนมสวีจับแขนของเขาเอาไว้ พูดทีละคำ “ในที่สุดเสด็จพ่อของเจ้าก็ปลดทิ้งความหวาดกลัวที่มีต่อเหล่าท่านอ๋อง มันเป็นเวลาที่เขาจะแสดงความเป็นจักรพรรดิต่อหน้าราษฎร พวกเจ้าในฐานะองค์ชายสมควรยินดีร่วมกับฝ่าบาท”
มันเป็นเวลาที่ฮ่องเต้ดีใจที่สุด เวลานี้หากผู้ใดทำลายความสุขของเขา ฮ่องเต้สามารถทำให้คนผู้นั้นเป็นทุกข์ไปทั้งชีวิต
หากตนเองไม่อาจสมปรารถนา จะให้ผู้อื่นสมปรารถนาได้อย่างไร ฉู่ซิวหยงเข้าใจคำเตือนของพระสนมสวี เขาเก็บคำพูดที่กำลังจะพูดกลับไป หลุบตารับปาก “กระหม่อมเข้าใจ”
พระสนมสวียิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจ ข้าวางใจเจ้าที่สุดแล้ว”
เสด็จแม่วางใจเขา เขารู้จักเสด็จแม่อย่างดี รู้ความหมายในสิ่งที่นางพูด ฉู่ซิวหยงยิ้ม “แต่ว่าเสด็จแม่ เคยพูดมิใช่หรือ ชีวิตสั้นและขมขื่น หากจะให้กระหม่อมใช้ชีวิตอย่างพึงพอใจ กระหม่อมอยากสมรสกับผู้ใดก็สมรสกับผู้นั้น…”
พระสนมสวียิ้ม “แน่นอน อาซิว เมื่อรอเวลาที่เจ้าสามารถทำตามใจของตนเอง เจ้าย่อมอยากสมรสกับผู้ใดก็สมรสกับผู้นั้น”
แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าทำไม่ได้
ฉู่ซิวหยงหลุบตาต่ำ
…
หลังจากร่วมงานเลี้ยงกับองค์ชายหก ชีวิตของเฉินตันจูก็กลับคืนสู่ความสงบ
นางไม่ได้ออกจากจวนอีก ฮ่องเต้ไม่ได้ตำหนินางเพราะเรื่องนี้ องค์ชายหกและองค์หญิงจินเหยาไม่ได้มาหานางอีก แต่ละวันกินๆ นอนๆ จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง เฉินตันจูถูกเสียงฆ้องที่ดังสนั่นปลุกให้ตื่น
เฉินตันจูบิดขี้เกียจเดินออกมา เห็นเหล่าสาวรับใช้ที่วุ่นวายอยู่ในลาน บางคนกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ บางคนกำลังเด็ดดอกไม้ บางคนกำลังเลี้ยงนก กลิ่นหอมของดอกไม้ เสียงร้องของนก สีแดงสีเขียวสดใสอย่างมาก
เสียงฆ้องดังมาจากบนถนน ต่อเนื่องไม่หยุด ทุกคนต่างหยุดลงมองไปด้านนอก
ตระกูลใดแต่งงานหรือ
เฉินตันจูครุ่นคิด เรียกเยี่ยนเอ๋อมาถาม “วันนี้วันใดเดือนใด”
เยียนเอ๋อรีบพูด “วันที่แปดเดือนแปด”
เฉินตันจูโบกพัดพยักหน้า “เป็นวันที่ดี”
อาเถียนพาชุ่ยเอ๋อวิ่งเข้ามาจากด้านนอก “กำหนดแล้วๆ”
คนในลานต่างถามด้วยความสงสัย “กำหนดอันใด”
“สถาปนาท่านอ๋อง” อาเถียนพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าลืมแล้วหรือ ฝ่าบาทจะสถาปนาเหล่าองค์ชายเป็นท่านอ๋อง”
เรื่องนี้แพร่กระจายมาหลายวันแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนไม่เชื่อ เพราะพวกเขาต่างรู้ว่าฮ่องเต้เคยต้องทนทุกข์ทรมานกับเหล่าท่านอ๋อง เกรงกลัวต่อการสถาปนาท่านอ๋องอย่างมาก ดังนั้นเหล่าองค์ชายอายุยี่สิบกว่าแล้ว ยังไม่ถูกสถาปนาเป็นท่านอ๋อง อีกทั้งยังไม่อภิเษกสมรส
ที่แท้เป็นเรื่องจริง
“ไม่เพียงเท่านี้ ฮ่องเต้ยังใช้ฐานันดรของเหล่าท่านอ๋ององค์ก่อนต่อด้วย” ชุ่ยเอ๋อรีบแบ่งปันในสิ่งที่ตนเองได้ยิน “องค์ชายสองสถาปนาเป็นท่านอ๋องเยียน องค์ชายสามสถาปนาเป็นท่านอ๋องฉี องค์ชายสี่สถาปนาเป็นท่านอ๋องหลู”
ท่านอ๋องสามองค์นี้ล้วนไม่อยู่แล้ว ท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องหลูถูกประหาร ท่านอ๋องฉีถูกลดฐานันดรเป็นสามัญชน ฐานันดรของพวกเขาย่อมถูกเรียกคืน เวลานี้มอบให้เหล่าองค์ชาย…
“ราชสำนักบอกว่าเป็นฐานันดรที่จักรพรรดิเกาจู่สืบทอดต่อมา ฝ่าบาทไม่ลืมรับสั่งของจักรพรรดิเกาจู่” อาเถียนพูดเสริม
การทดแทนเป็นการลืมที่ดีที่สุด ฐานันดรนี้สามารถเป็นเครื่องเตือนให้เหล่าท่านอ๋องอยู่ในพื้นที่ของตนเอง อีกทั้งให้ราษฎรลืมความกำเริบเสิบสานของเหล่าท่านอ๋อง และความอนาถของฮ่องเต้ในเวลานั้น เฉินตันจูยิ้ม การกระทำของฝ่าบาทช่างยอดเยี่ยมเสียจริง
แต่ว่าเมื่ออดีตชาติราวกับไม่มีการสถาปนาท่านอ๋อง อย่างน้อยภายในสิบปีนั้นไม่มี อาจเพราะชาตินี้จัดการความโกลาหลของเหล่าท่านอ๋องได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีการสงครามมากมาย ท่านอ๋องอู๋กลายเป็นท่านอ๋องโจวยังมีชีวิตอยู่ดี ท่านอ๋องฉีถูกลดเป็นสามัญชน บุตรชายของเขายังคงเป็นอิสระอยู่ในเมืองหลวงราวกับคนร่ำรวย
ฝ่าบาทไม่มีความอาฆาตมากเนื่องจากบรรลุเป้าหมาย
“เอ๊ะ องค์ชายห้าคน” เยียนเอ๋อนับนิ้วถาม “แต่มีท่านอ๋องแค่สามคน”
อาเถียนพูด “องค์ชายห้ามีโทษยังไม่สถาปนา องค์ชายหกร่างกายอ่อนแอ ต้องพักรักษา”