ไท่ฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “พวกเขาทำเหมือนว่าข้าเลอะเลือน ข้าก็จะแกล้งทำเป็นเลอะเลือนอย่างมีความสุข ถึงอย่างไรเสียก็จะถึงกลางเดือนสามแล้ว ข้าจะไม่ไปหาสืออีเหนียงแล้ว นางจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาคารวะข้า นี่เป็นท้องแรกของนาง หากไปกระทบกระเทือนกับครรภ์เข้าจะไม่ดี” แล้วพูดต่ออีกว่า “ส่วนทางด้านอี๋เจินกับตานหยาง พวกเราก็อย่าพึ่งบอก รอให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ไท่ฮูหยินพิจารณาได้รอบคอบแล้วเจ้าค่ะ” ป้าตู้ยิ้มพลางพยุงไท่ฮูหยินไปพักผ่อนบนเตียง
******
หู่พั่วยิ้มพลางพยักหน้าพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “ฮูหยิน หมอหลวงบอกว่าชีพจรของท่านมั่นคงและแข็งแรงดี ร่างกายก็แข็งแรงดี อาจจะเป็นเพราะว่าหลายวันมีนี้มีอาการเหนื่อยล้าจึงจัดยาให้ทานสองชุดก่อน รอจนถึงกลางเดือนสามแล้วค่อยมาตรวจชีพจรท่านอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นก็น่าจะมีข่าวดีแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง “ทำไมต้องรอจนถึงกลางเดือนสาม!”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “หมอหลวงบอกว่าเมื่อถึงกลางเดือนสามชีพจรจะชัดเจนขึ้นเจ้าค่ะ”
“แล้วตอนนี้เล่า” สืออีเหนียงถามด้วยความกังวล
“แม้ว่าตอนนี้ชีพจรจะไม่ชัดเจน แต่ห้าถึงหกในสิบส่วนมีโอกาสตั้งครรภ์เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็ทั้งมีความสุขทั้งเป็นกังวล
เรื่องดีก็คือตัวเองเป็นคนมาสองภพชาติ ในที่สุดก็ได้เป็นแม่คนแล้ว ต่อไปจะต้องเป็นแม่ที่ดี รักและเอ็นดูเด็กคนนี้ ไม่ให้เขารู้สึกเหงาจึงจะถูก ส่วนเรื่องที่กังวลก็คือร่างกายนี้ยังเด็กเกินไป พึ่งจะตั้งครรภ์ก็มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะสามารถคลอดบุตรได้อย่างราบรื่นหรือไม่
จิตใจสับสนวุ่นวายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ทางที่ดีที่สุดควรจะคลอดบุตรชาย จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องที่สามีมีภรรยามากมาย แล้วนึกขึ้นได้ว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรสาว แต่ว่าคุณค่าของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราคิดว่าเป็นน้ำผึ้งแต่คนอื่นอาจจะคิดว่าเป็นยาพิษ ถึงอย่างไรสังคมก็มีการสั่งสอนแบบนั้น กระนั้นการสั่งสอนเป็นอย่างไรก็จะปลูกฝังคนให้เป็นอย่างนั้น เช่นเดียวกันกับตนที่ได้เห็นการแต่งงานที่เป็นอิสระเท่าเทียมและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน แต่ถ้าหากได้เห็นบุตรสาวของตัวเองมีสถานะต่ำต้อยในเรือนของคนอื่น สุดท้ายก็จะอดเป็นห่วงไม่ได้ เกรงว่าจะทำให้เกิดความคับแค้นขึ้นในใจ แต่บุตรสาวที่เติบโตมาในสังคมศักดินาอาจไม่คิดว่านี่เป็นปัญหา ไม่แน่อาจจะหาว่าตนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แล้วนึกขึ้นได้อีกว่า หากต่อไปบุตรสาวมีความสามารถอย่างเช่นฮูหยินของผู้บัญชาการหลี่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แม้ว่าจะต้องแบกรับชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ แต่สามีภรรยาก็เคียงบ่าเคียงไหล่กัน เพียงแต่ว่าต้องทุกข์ทรมานไปทั้งชีวิต บุตรสาวของผู้บัญชาการหลี่ผู้นั้นตอนนี้อายุสิบหกปีแล้ว แต่กลับไม่สามารถหาคู่สมรสที่เหมาะสมได้ บ้านแม่สามีมักจะคิดว่าฮูหยินของผู้บัญชาการหลี่นั้นเก่งกล้าเกินไป จึงกลัวว่าลูกสะใภ้ในอนาคตจะเป็นเช่นนั้น…
นางจินตนาการไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งสวีลิ่งอี๋มานั่งข้างๆ นางก็ยังไม่รู้สึกตัว
“คิดอะไรอยู่หรือ” ถามพลางมองภรรยาที่มีท่าทางประหลาดใจ เขากุมมือนางเบาๆ
สืออีเหนียงถึงได้สติกลับมา นึกขึ้นได้ว่าหู่พั่วและคนอื่นๆ ต่างก็เป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน พฤติกรรมที่ทำเมื่อครู่ดูเหมือนว่าจะมีคนสั่งมา สวีลิ่งอี๋เป็นคนเชิญหมอหลวงมา ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้
แก้มนางแดงระเรื่อเล็กน้อย ท่าทางเขินอาย
ดูเหมือนว่าจะรู้แล้ว
สวีลิ่งอี๋มองสีหน้าอันนุ่มนวลของสืออีเหนียงภายใต้แสงไฟ พอนึกขึ้นได้ว่าคนตัวเล็กอย่างนางกำลังตั้งครรภ์บุตรของตัวเอง ในใจก็พลันรู้สึกอบอุ่น กอดนางไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไร เจ้ามีข้าอยู่”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ในห้องหายไปไหนกันหมด นางรู้สึกเหนื่อยจึงขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาตามที่เขาต้องการ
“หมอหลวงหลิวบอกว่าเจ้าพึ่งจะตั้งครรภ์ ต้องพักผ่อนเยอะๆ” สวีลิ่งอี๋เอาคางเกยศีรษะสืออีเหนียงไว้ “ช่วงนี้เจ้าก็อย่าทำงานหนักเลย เรื่องในเรือน ข้าว่าให้ท่านแม่ช่วยดูแลแทนไปก่อน หากไม่ไหวก็ยังมีพี่สะใภ้สอง รอให้ผ่านไปอีกสักหน่อยพอร่างกายเจ้าดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน”
คนที่พึ่งจะตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักจะไม่สบายตัว และอาการนี้มักจะมีไปจนถึงเดือนที่สาม
เมื่อก่อนสืออีเหนียงเพียงแต่เคยได้ยิน ตอนนี้ได้ประสบกับตัวเองแล้ว พึ่งจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ไม่สบายตัว’ หากได้พักผ่อนก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็ลุกขึ้นมานั่ง
“ท่านโหว ท่านบอกท่านแม่หรือยังเจ้าคะ” อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันที่แน่นอน “ถ้าเกิดว่า…จะไม่ทำให้ท่านแม่ดีใจเก้อหรือ” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปครู่หนึ่ง “ข้าว่ารออีกสักหน่อยแล้วค่อยบอกเถิด!”
“ข้ารู้แล้ว!” สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดทั้งหอมทั้งนุ่มนิ่ม จึงอดที่จะหอมแก้มนางไม่ได้ “เพียงแต่ว่าสถานการณ์ของเจ้าตอนนี้คงรอไม่ได้แล้ว ทางฝั่งท่านแม่ข้าก็ได้บอกไปคร่าวๆ แล้ว ด้วยความมีไหวพริบของท่านแม่คาดว่าน่าจะพอเดาออกอยู่บ้าง”
สืออีเหนียงรู้สึกผิดหวัง “เป็นหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงไม่ใช่หรือ เหตุใดเรื่องแค่นี้ก็ให้ความชัดเจนไม่ได้ ไม่ได้บอกว่าตรวจชีพจรเป็นหรอกหรือ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินสืออีเหนียงบ่น แล้วยังเป็นสถานการณ์เช่นนี้อีกด้วย
“ใช่ แน่นอนว่าตรวจเป็น” เขากระซิบหยอกล้อข้างหูของนางว่า “หากไม่ใช่ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล…พวกเรา…หลายๆ ครั้ง…อย่างไรก็ต้องสำเร็จ…”
สืออีเหนียงอายจนเก็บอาการไม่อยู่
“ท่าน ท่านยังจะพูดอีก…” นางไม่กล้าขยับร่างกายเยอะ ว่ากันว่าเพียงแค่ล้มก็ทำให้แท้งได้แล้ว
ได้ยินเสียงหู่พั่วพูดอยู่นอกม่านว่า “ท่านโหว ฮูหยิน ป้าตู้มาขอพบเจ้าค่ะ!”
นี่ก็ดึกมากแล้ว คงจะนำคำของไท่ฮูหยินมาบอกกระมัง
สืออีเหนียงรีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ จัดทรงผม กระแอมก่อนจะกำชับให้สาวใช้น้อยเชิญป้าตู้เข้ามา
ป้าตู้ยิ้มพลางย่อเข่าคำนับ พูดขึ้นมาว่า “ไท่ฮูหยินได้ยินว่าฮูหยินสี่ไม่สบาย จึงให้ท่านพักฟื้นอยู่ที่เรือน ไม่ต้องมาคารวะเช้าเย็นชั่วคราว รอให้ร่างกายดีขึ้นแล้วค่อยว่ากันเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของสวีลิ่งอี๋ นางก็อดเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ไม่ได้ จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณ แล้วให้หู่พั่วส่งป้าตู้กลับไป
“เป็นอย่างไรเล่า” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าท่านแม่คงพอจะเดาออกอยู่บ้าง”
สืออีเหนียงแอบภาวนาอย่าให้ไท่ฮูหยินต้องผิดหวัง
สวีลิ่งอี๋ถามนางว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าพึ่งกินเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด เป็นเช่นนี้จะแย่เอาได้ ให้ข้าสั่งให้คนครัวทำบะหมี่ให้เจ้าสักชามดีหรือไม่ เจ้าควรจะทานอะไรบ้างสักหน่อย!”
สืออีเหนียงพยักหน้า พูดขึ้นมาว่า “ข้าไม่อยากทานบะหมี่ ข้าอยากทานผิงกั่ว”
สวีลิ่งอี๋กำชับให้หู่พั่วไปปอกผิงกั่วมา
สืออีเหนียงกินไปเพียงไม่กี่ชิ้นก็กินต่อไม่ได้แล้ว
สวีลิ่งอี๋ไม่กล้าบังคับนาง เรียกให้สาวใช้น้อยมาปรนนิบัตินางป้วนปาก แล้วเตรียมอุ้มนางกลับห้องไปพักผ่อน
แต่สืออีเหนียงชอบผ้าห่มอุ่นๆ และอากาศบริสุทธิ์ของที่นี่
“พักที่นี่เถิดเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความออดอ้อนเล็กน้อย
แน่นอนว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ปฏิเสธนางด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้
เขาเป่าตะเกียง โอบกอดนางท่ามกลางความมืดแล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้าให้เรือนนอกถอนเงินออกมาให้โรงครัวของเจ้านำไปซื้อวัตถุดิบ เจ้าอยากกินอะไรก็บอกได้เลย หากในเรือนไม่มีก็บอกข้าหรือไม่ก็บอกพ่อบ้านไป๋ก็ได้ ให้เขาส่งคนไปจัดการ”
“เจ้าค่ะ!”
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า “พักผ่อนอยู่ที่เรือนเถิด อย่าลงจากเตียงเตา รอผ่านไปสักสองสามเดือนได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เดี๋ยวจะกระทบกระเทือนครรภ์เอาได้”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบรับด้วยความง่วง
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็นึกออกอีกหนึ่งเรื่อง “อีกอย่างต้องไปบอกกับสะใภ้หนานหย่งว่าไม่ให้เจี้ยเกอมาปีนป่ายบนตัวเจ้า ระวังอย่าให้โดนตัวเจ้า”
ผ่านไปครู่ใหญ่ สวีลิ่งอี๋ไม่ทันรอให้สืออีเหนียงตอบรับก็อาศัยแสงไฟจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างมองสำรวจนาง
ไม่รู้ว่านางผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไร
นึกขึ้นได้ว่าวันนี้นางทรมานจนแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย สวีลิ่งอี๋จูบที่ไรผมของนางด้วยความเอ็นดูก่อนจะนอนหลับไป
หลายวันต่อมา สืออีเหนียงทานอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด นางเริ่มมั่นใจว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์
นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หากอาเจียนออกมาก็ทานเข้าไปใหม่
นางรู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก การทานอาหารไม่ใช่เรื่องที่มีความสุขอีกต่อไปแต่กลับเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางเหมือนกับคนป่วยหนักทุกครั้ง ใบหน้าซีดเผือด สีหน้าดูอ่อนล้าและเป็นกังวล จึงให้หมอหลวงหลิวช่วยจัดยาให้นาง
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าขึ้นชื่อว่ายาก็ย่อมมีพิษอยู่สามส่วน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมดื่ม สวีลิ่งอี๋จึงจนปัญญา เวลาเห็นนางทรมานก็ทำได้เพียงกอดนาง ทำให้สืออีเหนียงดีขึ้นเล็กน้อยที่ได้นอนหลับอย่างสงบ นอกจากนี้ยังทานผิงกั่วกับยำแตงกวาได้แล้ว เขาเองก็ไม่ไปไหนเลย กอดสืออีเหนียงไว้ราวกับว่านางเป็นเด็กน้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ข่าวก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไปอย่างเงียบๆ
“หากฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว” ชิวหงพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี ทำไมท่านโหวกับฮูหยินถึงไม่พูดอะไรสักคำ”
“อาจเป็นเพราะว่าพึ่งตั้งครรภ์” เหวินอี๋เหนียงกำลังปักผ้ากันเปื้อนของเด็กสีแดงเข้มลายปลาไนตัวใหญ่กำลังกระโดดลงจากใบบัว “ยังไม่สามารถตรวจได้ชัดเจน จึงทำได้เพียงปิดเอาไว้ก่อน”
ชิวหงพยักหน้า ช่วยเหวินอี๋เหนียงดึงเส้นไหมสีเขียวออกมา
“ปักก้านของใบบัวเจ้าค่ะ” นางชี้ไปที่ผ้ากันเปื้อน “ตรงนี้เจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงพยักหน้า ร้อยด้ายอย่างคล่องแคล่ว
“โชคดีที่ปีนี้คุณชายน้อยสี่อายุแปดขวบแล้ว ไม่ว่าฮูหยินจะให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรสาวก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคุณชายน้อยสี่แล้วเจ้าค่ะ” ชิวหงคอยมองเหวินอี๋เหนียงเพื่อไม่ให้นางปักผิดที่พลางพูดขึ้นมาว่า “นี่นับว่าเวลาตกฟากของฮูหยินเป็นช่วงเวลาที่ดี นับว่าเป็นคนมีวาสนายิ่งนัก”
“เจ้าช่างกล้าไม่น้อย แม้แต่ฮูหยินกับซื่อจื่อเจ้าก็ยังกล้านินทาลับหลัง” เหวินอี๋เหนียงกลับมีความไม่สบายใจถาโถมเข้ามา นางตักเตือนชิวหงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากเจ้ากล้าพูดเช่นนี้อีกข้าจะส่งเจ้าออกจากจวน”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหวินอี๋เหนียงพูดจารุนแรงเช่นนี้ ชิวหงตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงกับพื้น “อี๋เหนียง บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงกลับไม่ผ่อนปรน ตำหนินางอย่างรุนแรงอีกครั้งก่อนจะให้นางลุกขึ้น
******
เมื่อฉินอี๋เหนียงได้ยินสถานการณ์ของสืออีเหนียงก็ยิ้มเล็กน้อย
“มิน่าเล่าถึงได้ยกเว้นไม่ให้พวกเราไปคารวะเช้าเย็น ที่แท้ก็ตั้งครรภ์แล้ว” ใบหน้ากลมของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “นี่นับว่าเป็นเรื่องมงคลในจวนของพวกเรา” นางกำชับชุ่ยเอ๋อร์ “ข้าจะไปจุดธูปหน้าพระโพธิสัตว์สักหน่อย” พูดพลางบอกชุ่ยเอ๋อร์ที่มารายงานให้ออกไป แล้วเดินไปยังเรือนหน่วนเก๋อ
******
เฉียวเหลียนฝังจ้องมองซิ่วหยวน น้ำตาค่อยๆ รื้นขอบตา
ถ้าหาก…บุตรของนางตอนนี้ก็คงจะอายุหนึ่งปีกว่าแล้ว!
******
“…บ่าวว่าตั้งครรภ์แล้วแน่ๆ เจ้าค่ะ!” ป้าหยางกระซิบบอกหยางอี๋เหนียงที่นั่งอยู่บนเตียงนั่งพลางปักเสื้อแขนยาวของเด็กน้อย “ไม่อย่างนั้นเหตุใดท่านโหวถึงได้เอาแต่อยู่ที่เรือนของฮูหยินไม่ไปไหนเลยล่ะเจ้าคะ”
หยางอี๋เหนียงสีหน้าเปลี่ยนไป ปักเข็มพลาดจนเลือดไหลออกมาจากปลายนิ้วขนาดเท่าเม็ดถั่ว
“ไอ๊หยา!!!” ป้าหยางรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามากดบาดแผลของนางเอาไว้
หยางอี๋เหนียงกลับไม่สนใจเรื่องนี้ พูดขึ้นมาว่า “เจ้าไปเปิดหีบเอาเงินออกมา คิดหาวิธีถามเรื่องนี้มาให้ชัดเจน” แล้วพูดต่อว่า “เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ ตามหลักแล้วแม้ว่าคนในเรือนของฮูหยินจะไม่ถึงขั้นไปป่าวประกาศ แต่ก็คงไม่ปิดบัง เจ้าลองไปถามดู คงจะพอรู้เหตุผลอะไรมาบ้าง”
ป้าหยางรับคำแล้วถอยออกไป
หยางอี๋เหนียงกดผ้าที่พันแผลเอาไว้ มองแผ่นหลังของป้าหยางที่ไกลออกไปผ่านทางกระจกหน้าต่างแล้วพึมพำขึ้นมาว่า “ท่านโหวมีภรรยาเอกอยู่แล้ว เวลานี้ภรรยาเอกตั้งครรภ์ก็จะมีอนุภรรยาคอยปรนนิบัติ อนุภรรยาก็จะตั้งครรภ์ด้วยเหตุนี้ คนนอกมักจะพูดว่านี่คือความสุขสองเท่า…”
น้ำเสียงของนางแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย