บรรดาบ่าวรับใช้และสาวใช้ที่เห็นใบหน้าบึ้งตึงของนางต่างก็พากันหวาดกลัว ดังนั้นพวกเขาจึงก้มหน้า และไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดๆ ออกมา เพราะพวกเขารับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินซูมาเป็นเวลานาน และจากนิสัยในอดีตของฮูหยินซูนั้น เวลาที่นางอารมณ์เสียย่อมหมายถึงว่าต้องมีใครสักคนในพวกเขากลายเป็นที่ระบายความโกรธของนางนั่นเอง
แต่ฮูหยินซูกลับไม่ได้ทำอย่างที่ทุกคนคิด นางเพียงแค่ก้าวขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว
“กลับจวน” ที่ด้านในของรถม้า ใบหน้าของฮูหยินซูเย็นชาอย่างที่สุด น้ำเสียงอันเย็นชาดังลอดออกมาจากฟันที่ขบกรอดของนาง
บรรดาข้ารับใช้รีบบังคับรถม้าให้เคลื่อนออกไปทันที
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำมือทั้งสองข้างเข้าหากันอย่างไม่เห็นด้วย “ท่านแม่ ท่านจะกลับไปทั้งอย่างนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ พวกเรายังไม่ทันได้เห็นกองกำลังลับเลย!”
“เจียวเอ๋อร์ เจ้าก็ได้ยินที่ทหารนายนั้นบอกแล้วมิใช่หรือ การจะได้พบกองกำลังลับนั้นใช่ว่าเป็นทายาทของตระกูลเฮ่อเหลียนอย่างเดียวแล้วจะเพียงพอ เราจำเป็นต้องแสดงตราทัพให้พวกเขาเห็นด้วย” ฮูหยินซูที่นั่งอยู่ในรถม้าค่อยๆ ดับเพลิงความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในร่างของตน ก่อนจะทวนคำพูดที่ประมุขตระกูลเฮยฝากทหารนายนั้นมาแจ้งนาง และเอ่ยกับบุตรสาวสุดที่รักอย่างช้าๆ
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เป็นคนฉลาด เพียงสะกิดนิดเดียวนางก็ไปได้ถูกทาง ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความเข้าใจ “เช่นนั้นก็หมายความว่าต่อให้นังคนแพศยาเฮ่อเหลียนเวยเวยมาที่นี่ ถ้านางไม่มีตราทัพ นางก็จะไม่มีทางได้เห็นกองกำลังลับเหมือนกันใช่ไหมเจ้าคะ”
“ถูกต้อง เราจำเป็นต้องมีตราทัพจึงจะสามารถควบคุมและบัญชาการกองกำลังลับได้อย่างแท้จริง ดังนั้นต่อให้นังคนแพศยานั่นมีเลือดตระกูลเฮ่อเหลียนอยู่ในตัว แต่มันก็เปล่าประโยชน์ ยิ่งกว่านั้น มีความเป็นไปได้ว่าเรื่องที่นางทำในตลอดหลายปีมานี้คงจะทำให้กองกำลังลับผิดหวังในตัวนางมากทีเดียว ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงพยายามติดต่อนางก่อนหน้านี้แล้วในฐานะที่นางเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเฮ่อเหลียน แต่ความจริงก็คือแม้กระทั่งผู้อาวุโสเฮยเองก็ยังไม่ชอบนังเด็กแพศยานั่นเลยด้วยซ้ำ ฮ่าๆ ต่อให้นางหากองกำลังลับเจอ แต่พวกเขาก็คงไม่ยอมรับคำสั่งจากคนแพศยาอย่างนางแน่นอน” เมื่อคิดได้ดังนั้น ความโกรธที่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าของฮูหยินซูก่อนหน้านี้ก็หายวับไป นางยิ้มอย่างมีความสุขยิ่งกว่าครั้งใด
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ซบไหล่ซูเหยียนโม่พร้อมกับยิ้มออกมาเหมือนกัน และนางก็เอ่ยอย่างมีความสุขว่า “สรุปว่าไพ่ตายใบสุดท้ายของนังคนแพศยาเฮ่อเหลียนเวยเวยก็กลายเป็นหมันไปเสียแล้ว หลังการเลือกพระสนมขององค์ชายสามเสร็จสิ้น หากโชคดีนางก็คงจะยังได้มีที่อยู่ในวังหลวงต่อ แต่ถ้าไม่ หญิงอัปลักษณ์เช่นนั้นก็คงจะถูกโยนออกมา จากนั้นท่านพ่อก็จะได้ยึดครองมรดกทั้งหมดของตระกูลเฮ่อเหลียนจากนาง! สุดท้ายนังคนแพศยานั่นจะต้องได้ไปร้องไห้อยู่ในมุมห้องแน่! ต่อให้นางจะมีเวยเจ๋อ แต่นางก็ยังเทียบกับข้าไม่ติดอยู่ดี!”
“ใช่แล้ว ในหมู่คนพวกนั้น เจียวเอ๋อร์ของพวกเราเป็นผู้หญิงที่สวยและฉลาดที่สุด” ซูเหยียนโม่ยกมือขึ้นลูบผมยาวขอเจียวเอ๋อร์เบาๆ นางวาดฝันถึงอนาคตที่พวกนางจะได้เชิดหน้าชูคอได้อย่างเต็มภาคภูมิอยู่ในหัว
เมื่อถึงเวลานั้น พอการประชุมประจำตระกูลสิ้นสุดลง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็จะถูกไล่ออกไป
นางจะทำให้นังเด็กแพศยานั่นเน่าตายอยู่ใต้ดินเหมือนกับแม่ของมัน!
แต่ซูเหยียนโม่นึกไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะได้รับการยอมรับจากกองกำลังลับแล้ว อีกทั้งการทดลองอาวุธของนางก็ยังเริ่มต้นขึ้นแล้วด้วย
ดังนั้นในวันเดียวกัน ทันทีที่ซูเหยียนโม่กลับไป เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้รับข่าวว่านางกำลังตามหากองกำลังลับ
หลังจากปลอมตัวเสร็จ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สวมเสื้อคลุมแล้วเดินทางมาที่จวนตระกูลเฮย
ผู้อาวุโสเฮยดูอารมณ์เสีย “พวกมันเป็นคนที่ขโมยตระกูลคนอื่นไปตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้กลับยังมีหน้ามาพูดราวกับว่ากองกำลังลับเป็นของพวกมันมาตลอด ไร้สาระสิ้นดี!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ
ผู้อาวุโสเฮยลดเสียงลง “เวยเวย นี่คือสิ่งที่เจ้าเจอตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือ”
“แม่ลูกคู่นั้นเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดเชียวเจ้าค่ะ” เมื่อนึกถึงซูเหยียนโม่ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่อยากพูดอะไรมาก “อย่าบอกพวกนางเรื่องที่ข้าได้กองกำลังลับแล้วนะเจ้าคะ ข้าอยากเห็นว่าพวกนางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ และอีกอย่างหนึ่ง เวลานี้สถานการณ์ภายในราชสำนักก็ยังไม่มั่นคง ดังนั้นเก็บเรื่องกองกำลังลับเอาไว้คงจะปลอดภัยกว่า พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นทันทีที่เราผลิตอาวุธและดินปืนพวกนี้เสร็จ”
“ไหนๆ เจ้าก็พูดขึ้นมาแล้ว อาวุธปืนกับดินปืนพวกนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก!” ผู้อาวุโสเฮยชี้ไปทางต้าสงที่กำลังฝึกอาวุธอยู่ที่ด้านนอก “โดยเฉพาะปืนใหญ่กราดยิงศัตรูที่ต้าสงถืออยู่ แม้กระทั่งหินมันก็ยังสามารถเป่าให้เป็นผุยผงได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่แปลกใจกับพลังทำลายล้างของปืนใหญ่กราดยิงศัตรูอันนั้น อย่างไรนางก็รู้ดียิ่งกว่าใครว่าผลของมันเป็นเช่นใด นางเพียงแต่รู้สึกประหลาดใจที่มันผลิตเสร็จเร็วถึงเพียงนี้ “ทำเสร็จหมดแล้วหรือเจ้าคะ”
“ยังขาดอีกเพียงแค่อย่างหรือสองอย่างเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่นั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหตุผลที่ข้าส่งข้อความไปหาเจ้าในครั้งนี้ก็เพื่อบอกให้เจ้ามาดูผลงานของพวกข้าด้วย” ขณะที่ผู้อาวุโสเฮยพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็เดินนำนางเข้าสู่ลานที่อยู่ด้านใน
บริเวณนั้นแยกออกไปจากที่อื่น อีกทั้งยังปกคลุมไปด้วยกิ่งไม้ที่เพิ่งถูกตัดใหม่หลายต่อหลายชั้น
“เปิดได้!”
ลังไม้ขนาดใหญ่สิบลังที่มีอาวุธปืนคุณภาพสูงสีดำเย็นยะเยือกเป็นประกายอยู่ข้างในตั้งเรียงรายอยู่ตรงนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มพร้อมกับโน้มตัวลงไปหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา นางถือปืนไว้ตรงหน้าอกด้วยความคุ้นเคย การเคลื่อนไหวของนางทั้งว่องไวและงดงาม
“ไม่เลว” นอกจากเรื่องที่ปืนน้ำหนักมากนั้นไม่ได้ดูดีเหมือนกับในยุคปัจจุบัน และการที่มันหนักเกินกว่าจะพาดขึ้นบ่าได้นั้นก็ไม่มีปัญหาอื่นอีก
ชื่อเหยียนที่อยู่ในชุดทหารยืนอยู่ใกล้ๆ หางตาเขายกสูงขึ้นเล็กน้อย และขาคู่ยาวของเขานั้นมักจะให้ความรู้สึกว่าพวกมันสามารถทำลายทุกอย่างที่อยู่ในเส้นทางของตนลงได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางปืนในมือลง แล้วยิ้มให้เขา
แต่ขณะที่ชื่อเหยียนเดินเข้ามา สายตาของเขากลับหยุดอยู่ที่สร้อยคอบนคอของนาง จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าของหน้าตาประหลาดนี่คืออะไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไปด้วยความกระอักกระอ่วน ในเมื่อนางไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าองค์ชายสามชอบเล่นบทบาทสมมติกับนาง ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงตอบเขาอย่างอ้อมๆ ว่า “ก็แค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง”
“ใช้ปลอกคอสุนัขแทนเครื่องประดับหรือ” ชื่อเหลียนโน้มตัวเข้ามาใกล้ ยิ่งทำให้กลิ่นดินปืนจางๆ ที่อยู่รอบตัวเขาชัดเจนขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวถอยหลัง เลี่ยงไม่ให้เขาสัมผัสกับผิวของนาง
ชื่อเหยียนมองนาง ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “องค์ชายสามให้เจ้าหรือ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยประหลาดใจ
ชื่อเหยียนเยาะเย้ย “มันก็เหมาะกับนิสัยของเขาดี เขาชอบใช้วิธีนี้ประกาศว่าอะไรเป็นของเขา และอ้างสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของสิ่งนั้น”
“พวกเจ้ารู้จักกันหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางไม่คิดว่าพวกเขาจะรู้จักกัน
น้ำเสียงของชื่อเหยียนราบเรียบ “เคยเจอกันครั้งสองครั้งที่วังหลวง” คนคนนั้นไม่ใช่คนที่เขาจะเข้าใกล้ได้ง่ายๆ ตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังเป็นเด็ก เวลานี้เมื่อเขาโตแล้ว การจะเข้าใกล้เขาก็คงจะยากยิ่งขึ้นไปอีก เขาคงไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องของของเขาได้ง่ายๆ
“ท่านสามารถสรุปนิสัยขององค์ชายสามได้ทั้งที่เคยเจอแค่ครั้งสองครั้งหรือ เอ๋ นายพลชื่อช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก” เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มลงหยิบปืนอีกอันขึ้นมา
สิ่งของหรือ
สรุปว่านางไม่ใช่เหยื่อของเขา
แต่เป็นของของเขาหรือ
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเหม่อลอย
แต่ชื่อเหยียนกลับทิ้งประโยคชวนสับสนเอาไว้ให้นาง “ไม่ใช่เพราะข้าฉลาด แต่เป็นเพราะข้าเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันกับเขา” ยิ่งกว่านั้น ผู้ชายทุกคนก็ล้วนแต่ขี้หวงด้วยกันทั้งนั้น
แต่ประโยคนี้คือสิ่งที่ชื่อเหยียนไม่ได้ตั้งใจจะบอกกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
เป็นเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยคนปัจจุบัน และยิ่งกว่านั้น เขารู้สึกว่าอยากจะเก็บนางเอาไว้เป็นของตัวเอง
แต่เขาก็ไม่สนใจจะทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่น
รอดูแล้วกัน
การคัดเลือกพระสนมกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
เมื่อถึงตอนนั้น หากนางต้องการไปจากที่นี่ เช่นนั้นเขาก็จะพานางไปเอง..