ตอนที่ 413 คำชมเชยของเฉินเฟิง
จ้าวเลี่ยงที่ถูกเรียกชื่อตะลึงไปเล็กน้อย และเอ่ยขึ้น “ตลาดสดยังจะรับมือแบบไหนได้อีกล่ะ? ก็ต้องรับประกันการจัดหาสินค้าให้เพียงพอน่ะสิครับ!”
หลินม่ายพูด “ขอแบบเป็นรูปธรรมหน่อยค่ะ”
จ้าวเลี่ยวง้างนิ้วมือ “เราวางแผนว่าจะจัดหาหมูเป็นห้าตัวต่อวัน และไก่กับเป็ดอย่างน้อยวันละห้าร้อยตัว ยังมีปลาไหล เต่า ตะพาบน้ำ และกุ้งแม่น้ำด้วย พวกนี้คือสัตว์น้ำจืดที่ชาวเจียงเฉิงชอบกิน ผมเองก็ให้ตัวแทนจัดซื้อไปพูดคุยกับชาวบ้านในเมืองซื่อเหม่ยไว้นานแล้ว ให้พวกเขาช้อนจับสัตว์น้ำจืดพวกนี้มาเลี้ยงไว้แล้ว ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์พวกผมจะได้รับซื้อมาได้ในปริมาณมาก ผักสดก็จัดหามาให้เยอะขึ้น และไม่มีการขึ้นราคา แต่สัตว์น้ำจืดกับหมูเป็นและไข่สัตว์ปีกนั้นวางแผนไว้ว่าจะขึ้นราคาเล็กน้อย ถึงยังไงก็เป็นวันเทศกาลนี่นา”
หลินม่ายพยักหน้า “ได้เลยค่ะ”
ในชาติก่อน ทุกๆ วันเทศกาล ของสดในซูเปอร์มาร์เก็ตล้วนขึ้นราคาแทบทั้งหมด
อย่าว่าแต่วันเทศกาลในชาติที่แล้วเลยที่ของสดในซูเปอร์มาร์เก็ตขึ้นราคา แม้แต่ตลาดมืดในยุคนี้ ไก่เป็ดปลาเนื้อและผักเองก็ขึ้นราคาในวันเทศกาลเช่นกัน ไม่ต้องเป็นห่วงว่าผู้ซื้อจะเกิดความรู้สึกต่อต้านเลย
ต่อให้เกิดขึ้นมา ก็คงไม่ได้รุนแรงมากนัก
หลินม่ายเสนอขึ้น “นอกจากจะต้องจัดหาสัตว์น้ำจืดมาให้ทันแล้ว ยังต้องรับซื้อข้าวเส้นธัญพืชและน้ำมันคุณภาพดีมาขายด้วย ของที่คนทั่วไปส่วนใหญ่กินก็เป็นพวกธัญพืชกับน้ำมันทั้งนั้น น้ำมันก็เป็นน้ำมันพืช ข้าวกับเส้นต่างก็เป็นพวกข้าวเก่าเส้นหมี่เก่าที่เริ่มดำแล้ว วันเทศกาลทั้งทีพวกชาวเมืองก็ต้องอยากกินข้าวกับเส้นหมี่ใหม่ๆ เส้นที่ชาวนาผลิตออกมาในปีนี้สักมื้อแน่นอน ส่วนน้ำมันก็คงอยากกินน้ำมันถั่วลิสงกับน้ำมันงาเหมือนกัน พวกเราต้องจัดหาให้พวกเขาถึงพอใจ ธัญพืชน้ำมันข้าวและเส้นหมี่เหล่านี้ห้ามขึ้นราคา ให้ผู้คนทั่วไปได้กินอาหารอร่อยๆ สักสามสี่มือในช่วงเทศกาลเถอะ”
จ้าวเลี่ยงพยักหน้า
หลินม่ายถามเขาอีกครั้ง ว่าสินค้าอาหารทะเลได้จัดเตรียมไว้อย่างเพียงพอหรือเปล่า
จ้าวเลี่ยงพูด “ตัวแทนจัดซื้อที่ส่งออกไปโทรศัพท์กลับมาบอกว่าซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลเช่นสาหร่ายทะเลต่างๆ กับอาหารทะเลตากแห้งไว้มากมาย เพียงพอที่จะจำหน่ายในช่วงเทศกาลสองวันนี้ แต่ว่าต้องแบ่งสินค้าขนส่งกลับมาสามสี่ครั้ง เกรงว่าหากถนนไม่สม่ำเสมอ จะส่งผลต่อการขนส่งสินค้าได้”
ทันใดนั้นหลินม่ายก็นึกถึงหัวหน้าข่งหรือข่งลิ่งเสียง ซึ่งรับผิดชอบการส่งสินค้าที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกว่างโจว
เธอบอกช่องทางการติดต่อของข่งลิ่งเสียงให้แก่จ้าวเลี่ยง ให้เขาแจ้งกับตัวแทนจัดซื้อที่ชายฝั่ง ให้ไปติดต่อกับข่งลิ่งเสียงโดยตรง แล้วดำเนินการนำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลและอาหารทะเลตากแห้งเหล่านั้นขนส่งกลับมาทางรถไฟ ซึ่งทั้งรวดเร็วและปลอดภัย
เฉินเฟิงมองไปที่เธออย่างเกียจคร้าน พูดอย่างไม่พอใจ “เธอมีเครือข่ายที่ดีขนาดนี้ แต่เพิ่งจะเอาออกมาตอนนี้เหรอ เธอรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้พวกเราไปซื้อสินค้ากลับมาจากชายฝั่ง มันมีความเสี่ยงมากขนาดไหน!”
หลินม่ายรู้สึกผิดอย่างมาก “ฉันไม่เคยนึกถึงการฝากขนส่งทางรถไฟมาก่อนเลยน่ะ”
จ้าวเลี่ยงถาม “แล้วจะฝากส่งอาหารทะเลที่ต้องแช่แข็งอย่างพวกปลากับกุ้งทางรถไฟได้ไหม?”
หลินม่ายส่ายหน้า “เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจ คุณให้ตัวแทนจัดซื้อไปลองถามหัวหน้าข่งดูนะคะ”
หลังคุยเรื่องปัญหาการจัดหาสินค้าในช่วงเทศกาลของตลาดสดฝูตัวตัวเสร็จแล้ว หลินม่ายก็ถามร้านอาหารทั้งสองร้านว่าจะรับมือกับเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลอย่างไร
การแข่งขันของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในยุคนี้ไม่มีความดุเดือดเลยแม้แต่น้อย เพราะผู้ประกอบกิจการเอกชนที่กล้าเปิดร้านอาหารกินเล่นยังมีน้อย บวกกับสินค้าและวัตถุดิบมีไม่มากนัก ต่อให้ผู้ประกอบกิจการมีความกล้าที่จะทำธุรกิจอาหาร แต่หากหาสินค้าและวัตถุดิบมาไม่ได้ก็เปิดร้านอาหารไม่ได้
ดังนั้นช่วงเทศกาลจึงไม่จำเป็นทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอะไรก็ได้ เพียงแต่ต้องเตรียมอาหารให้เพียงพอ เพื่อจะรับมือปริมาณลูกค้าหลั่งไหลมาอย่างล้นหลามเท่านั้น
เจิ้งซวี่ตงและวังเสี่ยวลี่ต่างวางแผนที่จะให้พนักงานทำงานล่วงเวลา ไม่เพียงเพิ่มค่าจ้างให้เท่านั้น แต่ยังให้โบนัสด้วย
ก่อนหน้านี้หลินม่ายก็ทำเช่นนี้
คนที่ได้พูดเป็นคนสุดท้ายก็คือเหรินเป่าจู
ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังพูดอยู่ หล่อนก็กำลังใคร่ครวญว่าจะจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายในเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างไร
ความคิดที่เสนอขึ้นมาก็คือ หากซื้อเสื้อผ้าUniqueในช่วงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ก็จะแถมขนมไหว้พระจันทร์ให้หนึ่งกล่อง
หลินม่ายพยักหน้า “โปรโมชั่นนี้ใช้ได้เลยค่ะ แต่จะต้องรับประกันคุณภาพของขนมไหว้พระจันทร์ด้วย ว่าจะต้องดีกว่าขนมไหว้พระจันทร์ที่ขายในร้านค้า ถึงจะสามารถเน้นย้ำถึงคุณภาพของเสื้อผ้าUniqueได้อย่างชัดเจน แม้แต่ขนมไหว้พระจันทร์ที่เป็นของขวัญแถมฟรีก็ยังดีกว่าที่ขายในร้านค้า ไม่อย่างนั้นจะเป็นการฉุดดึงระดับของเสื้อผ้าUniqueลงมาได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อเกิดความรู้สึกไม่พอใจได้ด้วย”
เหรินเป่าจูเอ่ยตอบรับ แล้วพูดต่อ “ส่วนแผนโปรโมชั่นส่งเสริมการขายในเทศกาลวันชาติต้องรอให้ผ่านวันไหว้พระจันทร์ไปก่อนแล้วค่อยคิดกันใหม่ค่ะ”
หลินม่ายพยักหน้า ถาม “การรับสมัครของโรงเรียนอนุบาลดำเนินการไปเป็นยังไงบ้าง? รับสมัครเด็กๆ ได้แค่ไหนแล้วล่ะ”
“ช่วงเช้ามีผู้ปกครองพาเด็กๆ มาลงทะเบียนกว่าร้อยคนค่ะ แต่ว่าจำนวนโควตายังไม่เต็ม ช่วงบ่ายจะมีการลงทะเบียนต่อ จนกว่าโควตาจะเต็มเลยค่ะ”
หลินม่ายถาม “พนักงานของโรงงานส่งลูกเข้าโรงเรียนกันกี่คนเหรอ?”
“ไม่มากค่ะ แค่สิบกว่าคน ถึงยังไงพนักงานของเราเองก็มีแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น”
หลินม่ายค่อนข้างประหลาดใจ
เธอเองก็คาดการณ์ว่าพนักงานของตัวเองคงจะมีลูกที่อายุถึงเกณฑ์ไม่มากนัก จึงได้แต่รับสมัครเด็กเล็กจากภายนอกเข้ามาเป็นหลัก
เธอนึกว่าการรับสมัครเด็กๆ เข้าเรียนคงจะได้ไม่เต็มจำนวน
เพราะคนทั่วไปในยุคนี้ต่างยากจน ต่อให้ค่าเทอมเดือนละไม่กี่หยวนเองก็ไม่ใช่ว่าจะตัดใจจ่ายได้ แต่ไม่นึกว่าตลาดจะกว้างขนาดนี้
ทว่าต่อให้ตลาดจะกว้างสักแค่ไหน เธอเองก็ไม่ได้วางแผนที่จะกินเค้กก้อนนี้เลย
ที่เธอเปิดทำการโรงเรียนอนุบาลเสี่ยวหงฮวานั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อพนักงานของตน
ต่อไปในอนาคตขนาดของโรงงานจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พนักงานก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ
เด็กๆ ที่ไม่มีใครดูแลของเหล่าพนักงานก็สามารถส่งไปที่เรียนที่โรงเรียนอนุบาลเสี่ยวหงฮวาได้ เมื่อแก้ไขความกังวลใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างสบายใจ
หลินม่ายถามเหรินเป่าจู “ห้างใหญ่แต่ละแห่งไม่ได้มาก่อความวุ่นวายกับเราแล้วใช่ไหม”
เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ เหรินเป่าจูก็พลันโมโหขึ้นมา
“โธ่เอ๊ย! อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ เมื่อวานหลังจากฉันไปหาเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑล พวกห้างทั้งหมดก็ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาเชียว ไม่ใช่แค่ไม่กล้าไล่พวกเราออก ก่อนหน้านี้บูธขายสินค้าของเราเคยอยู่ที่ไหน มันก็ยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่ก่อเรื่องยุ่งยากให้เราอีก แต่ก็ว่าง่ายอยู่แค่ครึ่งวัน ก่อนจะถึงเวลาเที่ยงตรง ห้างทุกแห่งก็ปรับที่อยู่ของบูธขายสินค้าของเรา จัดพวกเราไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยจะยุติธรรม ห้างเจียงเฉิงทำเกินไปที่สุด พวกเขาจัดให้พวกเราไปอยู่ในมุมอับเลย แต่เพราะเป็นเวลาพักจึงตามหาผู้รับผิดชอบไม่เจอ ฉันเลยวางแผนว่าจะไปเจรจาหลังจบการประชุมค่ะ”
เถาจืออวิ๋นขมวดคิ้วพูด “คงไม่ใช่เพราะผู้อำนวยการหูแห่งคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปนั่นถูกเลขาธิการคณะกรรมการพรรคตำหนิไป จนอาฆาตแค้นขึ้นมา ก็เลยทำแบบนี้หรอกนะ?”
หลินม่ายพูดพลางครุ่นคิด “นั่นก็เป็นไปได้นะ”
โฮ่วซินอี้พูด “ถ้าอย่างนั้นประธานหลินก็ไปรายงานเรื่องนี้กับเลขาธิการคณะกรรมการพรรคอีกครั้ง ให้เจ้าสกุลหูนั่นมันพูดไม่ออกไปเลยสิครับ!”
หลินม่ายโบกมือ “ทั้งหมดเป็นการคาดเดาของเราเอง ไม่มีหลักฐาน รายงานเรื่องนี้กับเลขาธิการคณะกรรมการพรรคไม่ได้ง่ายๆ หรอก บางทีถ้าเกิดทางห้างยืนยันว่าเป็นการจัดการในหน้าที่ของพวกเขาเอง พวกเราจะไม่เป็นการสร้างความประทับใจแย่ๆ ในการใส่ร้ายคนอื่นกับเลขาธิการคณะกรรมการพรรคหรอกเหรอ? ในขณะที่ยังไม่ถึงจุดวิกฤต เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ไปรบกวนท่านเลขาธิการ แต่ละวันเขาเองก็งานยุ่งมากเหมือนกัน”
เถาจืออวิ๋นขมวดคิ้วพูด “อย่างนั้นเรื่องนี้จะแก้ไขยังไงล่ะ? ตำแหน่งของจุดขายสินค้าไม่ดี จะกระทบต่อการขายนะ”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ให้เพิ่มพนักงานแนะนำสินค้า และคนยกป้ายเรียกลูกค้าที่หน้าทางเข้าห้างด้วย บนป้ายให้ระบุเอาไว้ว่าคนที่ต้องการซื้อเสื้อผ้าUniqueให้เดินตามพนักงานแนะนำสินค้าไป ก็จะนำคนไปยังจุดขายของเราได้”
เหรินเป่าจูพูดอย่างลังเล “ถ้าเขาไม่ยอมเดินตามเราไปล่ะ?”
หลินม่ายนึกถึงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งแสนผืนนั้นที่ตนซื้อมาจากศุลกากรขึ้นมา จนถึงตอนนี้ก็ใช้ไปแค่พันสองพันผืนเท่านั้นเอง
“งั้นก็เพิ่มอีกอย่างหนึ่งเข้าไปบนป้าย ใครที่แวะเวียนบูธเสื้อผ้าUniqueบ่อยๆ ไม่ว่าจะซื้อหรือไม่ได้ซื้อของ ก็มารับผ้าเช็ดหน้านำเข้าจากต่างประเทศได้ฟรีหนึ่งผืนทุกคน”
ขอแค่แวะเวียนไปที่บูธขายสินค้าของUnique ก็สามารถได้รับผ้าเช็ดผ้านำเข้าต่างประเทศหนึ่งผืน ใครล่ะจะไม่อยากไป!
เหรินเป่าจูพยักหน้า “แบบนี้ก็น่าจะดึงดูดผู้คนได้ไม่น้อยเลย”
หลินม่ายหันไปมองเจิ้งซวี่ตงพูดว่า “ตอนที่คุณมองหาร้านสาขาของเปาห่าวชืออยู่ ก็ซื้อหน้าร้านเพิ่มไปด้วยเลย จะได้เอามาใช้เปิดเป็นร้านค้าผูกขาดในเครือของUnique ห้างจะได้ไม่ต้องคิดอะไรแผลงๆ มาเล่นงานพวกเราอีก ถ้าเรามีร้านค้าผูกขาดในเครือของตัวเองแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวพวกห้างใหญ่ๆ จะจับมือกันกำจัดพวกเราโดยไม่ทันตั้งตัวแล้ว”
ในยุคนี้ ราคาขายหน้าร้านไม่สูงนัก ดังนั้นหลินม่ายจึงเสนอให้เจิ้งซวี่ตงซื้อหน้าร้านเอาไว้
เจิ้งซวี่ตงพยักหน้า และถามขึ้น “แล้วต้องการหน้าร้านประมาณกี่ที่ล่ะครับ?”
หลินม่ายครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนพูดขึ้น “เอาตามที่คุณเห็นสมควรแล้วกัน ซื้อให้มากเท่าที่จะทำได้เลย อย่างน้อยก็ซื้อไว้สักหกที่ค่ะ”
แม้จะบอกว่าต้องซื้อหน้าร้านมาหกแห่ง ซึ่งไม่ได้รวมร้านสาขาของเป่าห่าวชือด้วย
แต่การซื้อหน้าร้านมากมายขนาดนี้ ก็แค่เกือบๆ แสนหยวนเท่านั้น สำหรับเธอแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เพราะในตอนนี้เธอเป็นประธานใหญ่ของบริษัทที่มีมูลค่าสุทธิหลายล้าน
เหรินเป่าจูเสนอแนะ “หัวหน้าโรงงานหลิน เราสามารถซื้อหน้าร้านที่ถนนฮั่นเจิ้งสักแห่งเป็นหน้าร้านขายส่งของUniqueได้ไหมคะ? จะได้ไม่ต้องให้คนอื่นมาเป็นตัวแทนจำหน่ายของเราแล้ว”
หลินม่ายพยักหน้า “ความคิดนี้ของคุณไม่เลวเลย เพียงแต่หน้าร้านที่ถนนฮั่นเจิ้งน่ากลัวว่าจะไม่มีใครยอมขายให้น่ะสิ”
เธอหันไปพูดกับเจิ้งซวี่ตง “คุณช่วยดูหน่อยนะคะว่าซื้อหน้าร้านที่ถนนฮั่นเจิ้งมาได้ไหม ถ้าซื้อมาได้ก็เยี่ยมเลย แต่ถ้าซื้อไม่ได้ ก็ค่อยร่วมธุรกิจกับเถ้าแก่เกาในอนาคต”
เจิ้งซวี่ตงพยักหน้า
หลินม่ายมองไปทางโฮ่วซินอี้
ตลอดทั้งการประชุม เขาไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เพียงแค่ฟังคนอื่นๆ อย่างเดียวอย่างกับมนุษย์ล่องหน
แต่กลับพบว่าเฉินเฟิงกำลังจ้องเขม็งมาที่ตนอย่างร้อนแรงโดยบังเอิญ
เธอสงบอารมณ์ลง แล้วจงใจเมินเขา ก่อนจะพูดกับโฮ่วซินอี้ “อย่าคิดว่าคุณแค่มีหน้าที่ควบคุมการผลิตแล้วจะไม่เป็นไรนะคะ คุณไปตามเจ้าหน้าที่รปภ.มาสองคน แล้วเตรียมห้องทำงานให้รองประธานเฉินแยกไว้ต่างหากด้วยค่ะ ผู้จัดการร้านเจิ้ง ผู้จัดการร้านวังแล้วก็ผู้จัดการจ้าวใช้ห้องทำงานร่วมกันหนึ่งห้องนะคะ”
เรื่องที่ควรจะคุยก็คุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “จบการประชุมค่ะ”
ทุกคนต่างพากันลุกขึ้น และเตรียมจะเดินออกไป
เถาจืออวิ๋นรีบพูดขึ้น “รอเดี๋ยว!”
ทุกคนต่างหยุดชะงัก แล้วมองไปที่เธอ
หลินม่ายถาม “พี่มีอะไรจะพูดหรือเปล่าคะ?”
เถาจืออวิ๋นชี้ไปที่เหรินเป่าจู “รองผู้จัดการโรงงานเหรินลืมรายงานกับเธอ ว่ามีบริษัทเสื้อผ้าของฮ่องกงที่ชื่อ Seaman ลอกเลียนแบบเสื้อผ้าของเราน่ะ”
เหรินเป่าจูยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ฉันเอาแต่สนใจว่าอีกเดี๋ยวจะไปเจรจากับพวกห้างใหญ่ยังไง จนลืมเรื่องนี้ไปเลย”
หล่อนพูดกับหลินม่าย “ฉันกับหัวหน้าเถาต่างก็สงสัยว่า บริษัทเสื้อผ้าของฮ่องกงที่ชื่อ Seaman นี้ร่วมมือกับผู้อำนวยการหู เล่นลูกไม้กลั่นแกล้งพวกเราลับหลัง”
หลินม่ายพยักหน้า “อีกเดี๋ยวฉันจะลองไปดูที่ห้างเจียงเฉิง”
เหรินเป่าจูเห็นสีหน้าของหลินม่ายบึ้งตึงลงอย่างเห็นได้ชัด ก็พูดขึ้น “คุณเองก็อย่ากังวลเกินไปนะคะ ราคาของเสื้อผ้า Seaman แพงกว่าของพวกเราเยอะ เรามีข้อได้เปรียบด้านราคา Seaman เบียดเราไม่ลงหรอก”
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครจะพูดอะไรแล้ว หลินม่ายก็พูดจบการประชุมอีกครั้ง
เฉินเฟิงยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า “ม่ายจื่อ เธอจะไม่ยอมเชิญฉันร่วมในงานฉลองขอบคุณอาจารย์งั้นเหรอ? วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือนสิงหาคมแล้ว เธอก็ยังไม่เชิญฉัน เธอคงไม่ได้จัดงานฉลองไปแล้วโดยที่ไม่ได้เชิญฉันหรอกใช่ไหม?”
หลินม่ายกลอกตาใส่เขา “นายอย่าเอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษสิ(1) หลายวันมานี้ฉันยุ่งมาก จะมีเวลาไปจัดงานฉลองได้ยังไงกัน? วันอาทิตย์นี้ฉันจะจัดขึ้นแน่ๆ และก็จะบอกนายด้วยแน่นอน อย่าลืมใส่อั่งเปาให้เยอะๆ ล่ะ”
เฉินเฟิงหัวเราะ ขณะที่เดินผ่านเขาก็พูดที่ข้างหูของเธอ
“ฉลาดมากความสามารถ นับวันยิ่งเป็นสาวแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปศาสตราจารย์ของเธอคงจะลำบากหน่อยล่ะ” พูดจบเขาก็สาวเท้าเดินไปทันที
เมื่อเจิ้งซวี่ตงและคนอื่นได้ยิน ก็พากันเข้ามาแสดงความตั้งใจที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ของหลินม่าย
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้เลยค่ะ ทุกคนเตรียมอั่งเปาซองใหญ่กันมาด้วยนะ”
พูดจบเธอก็ออกไปจากห้องประชุม ไปที่ห้องทำงานของเถาจืออวิ๋น เพื่อเอาเสื้อผ้ากับกระเป๋าที่เธอทำไว้ให้เธอสองแม่ลูกและเตรียมจะกลับไป
เหรินเป่าจูวิ่งไล่ตามเธอมาจากด้านหลัง “เมื่อกี้นี้ตอนประชุมฉันลืมรายงานคุณไป ว่าสินค้าหมวกไป๋เหอโถวซื่อของเราขาดตลาด คงต้องรับสมัครคนงานค่ะ”
จากประสบการณ์ในชาติที่แล้วของหลินม่าย หมวกในยุคนี้มีราคาถูกมาก
นึกไปว่าหมวกที่ค่อนข้างหรูหราแบบนี้คงมีตลาดไม่ใหญ่นัก จึงไม่กล้าจ้างคนมากเกินไป
ไม่นึกว่าผลจากการออกโทรทัศน์ บวกกับการถ่ายโปสเตอร์ร่วมกับUnique จะทำให้การเปิดตัวเป็นที่นิยม จนมียอดขายอันแข็งแกร่งมาตลอด
หลินม่ายครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ฉันยังมีรายชื่อพนักงานผู้พิการจากครั้งที่แล้วอยู่ นอกจากพนักงานที่ได้รับเข้าทำงานแล้ว รายชื่อที่ไม่ได้รับคัดเลือกบนนั้นมีระบุพนักงานตัวสำรองเอาไว้โดยเฉพาะ ฉันจะส่งรายชื่อให้คุณ คุณเลือกจ้างคนงานจากรายชื่อสำรองได้เลย จะได้ประหยัดเวลาประหยัดแรง”
เหรินเป่าจูเอ่ยตอบรับ
หลินม่ายกลับไปหยิบรายชื่อพนักงานผู้พิการที่รับสมัครเมื่อคราวก่อนที่ห้องทำงานของตัวเอง ก่อนมอบให้กับเหรินเป่าจูแล้วจึงขี่จักรยานไปยังห้างเจียงเฉิง
ขณะที่เธอขี่ผ่านโรงเรียนเสี่ยวหงฮวานั้น ก็เห็นในประตูโรงเรียนที่เปิดกว้าง มีผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มเด็กผู้หญิงอายุสามสี่ขวบกำลังพูดอะไรบางอย่างกับครูใหญ่พร้อมกับร้องไห้
หลินม่ายลังเลเล็กน้อย ก่อนขี่จักรยานเข้าไปเบื้องหน้าพวกหล่อน เธอถามครูใหญ่ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)เอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษ หมายถึงใช้ความคิดเห็น ทัศนคติแย่ๆ ไปคาดเดาคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง
สารจากผู้แปล
มีคู่แข่งใหญ่แล้ว แถมคู่แข่งที่ว่านี่ยังมีกำลังทรัพย์แข็งแกร่งด้วย ม่ายจื่อจะป้องกันกิจการตัวเองยังไงนะ
ไหหม่า(海馬)