“ให้ข้าเป็นพ่อสื่อ?” สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ ให้อี๋ชิงเลี้ยงสุราข้าก่อนสักมื้อแล้วค่อยว่ากัน”
สืออีเหนียงไม่ค่อยได้เห็นสวีลิ่งอี๋ตอบรับอย่างง่ายดายเช่นนี้ ยิ้มพลางให้คนนำคำตอบไปบอกซื่อเหนียง เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นอวี๋อี๋ชิงก็ส่งเทียบเชิญมาเชิญสวีลิ่งอี๋ไปดื่มสุราที่หอชุนซี อีกทั้งยังนัดหวังลี่กับจินฮั่นหลินไปเป็นเพื่อนด้วย
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาก็บอกว่า “คิดไม่ถึงว่าอวีอี๋ชิงจะมีมรดกของสกุลอยู่บ้าง บุตรชายคนโตจะแต่งงานก็เตรียมใช้เงินห้าพันตำลึงมาเป็นสินสอดทองหมั้น”
สืออีเหนียงหัวเราะพลางพูดหยอกล้อเขา “ใครใช้ให้ท่านดูถูกคนสกุลเดิมของข้าเล่า!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะ
นั่งลงบนเตียงเตา ช่วยนางเก็บไรผมที่อยู่ตรงแก้มไปทัดไว้หลังหู แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดีเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงมองไปที่หู่พั่ว ลี่ว์อวิ๋น และสาวใช้คนอื่นๆ ที่กำลังยืนก้มหน้าลอบยิ้มแต่กลับแกล้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นางก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “แค่รู้สึกไม่สบายตอนเช้า พอตอนบ่ายนั่งพูดคุยและทำงานเย็บปักกับหู่พั่วและคนอื่นๆ ก็รู้สึกดีขึ้น”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นหากมีเวลาว่างก็ไปหาคนมาคุยเล่นให้มากๆ หน่อย พอไม่คิดเรื่องนี้อาจจะทำให้ดีขึ้นบ้าง”
สืออีเหนียงพยักหน้า พูดเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่สวีลิ่งอี๋ออกจากเรือนไปตอนเช้า “ท่านแม่ให้ป้าตู้นำวัสดุทำเสื้อผ้ามาส่งให้สองหีบ บอกว่าให้ทำชุดกับผ้าอ้อมให้เด็ก ข้าเห็นว่าล้วนเป็นผ้าไหมสำหรับวาดภาพ และผ้าฝ้ายม้วนใหญ่…” นางพูดอย่างลังเลไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“ในเมื่อท่านแม่ให้เจ้า เจ้าก็เก็บไว้ก่อนเถิด” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่อายุมากแล้ว มักจะเอ็นดูเด็กน้อยเป็นธรรมดา สองวันก่อนก็ได้มอบผ้าไหมสีแดงดอกโบตั๋นกับผ้าไหมสีแดงดอกกุหลาบให้ซินเจี่ยเอ๋อร์เช่นกัน”
เมื่อได้ยินว่าทุกคนต่างก็ได้รับของจากไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงก็พลันโล่งใจ แต่ในใจก็ยังรู้สึกว่าเอาผ้าพวกนี้มาทำชุดให้เด็กน้อยนั้นฟุ่มเฟือยเกินไป จึงได้ตัดสินใจเก็บไว้ใช้ในภายหลัง
หลังจากนั้นก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ท่านโหว ฮูหยิน ไท่ฮูหยินส่งขนมซานเย่าไส้พุทรามาให้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรีบให้สาวใช้น้อยยกเข้ามา
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยเลิกเรียนแล้ว
เมื่อเห็นว่ามีขนมซานเย่าไส้พุทรา ทั้งสองคนก็ดวงตาเป็นประกาย แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋ พวกเขาก็ก้มหัวลงอย่างนอบน้อม
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็รู้สึกขบขัน บอกกับทั้งสองคนว่า “รีบไปล้างมือกันก่อน จะได้มาทานขนม!”
ทั้งสองคนยิ้มขึ้นทันทีแล้วรีบพากันไปล้างมือ
สวีลิ่งอี๋อยากจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป
สืออีเหนียงกำชับให้หู่พั่วนำจานเล็กมาแบ่งขนมซานเย่าไส้พุทราให้ทั้งสองคนเอาไปทาน
เดิมทีก็ไม่ได้ให้เยอะอยู่แล้ว ทั้งสองคนทานอย่างออกรสชาติ ไม่นานก็เกือบจะหมดแล้ว
สวีซื่อจุนพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ พรุ่งนี้จะทำขนมฝูหลิงใช่หรือไม่ขอรับ”
“ขนมชุนเซียงอร่อยกว่า” สวีซื่อเจี้ยพูดขัดขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย “ท่านแม่ทำขนมชุนเซียงอร่อยกว่าขนมฝูหลิง!”
สืออีเหนียงช่วยเช็ดปากให้สวีซื่อเจี้ย ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำทั้งสองอย่างเลย พรุ่งนี้จะทำทั้งขนมฝูหลิงแล้วก็ทำขนมชุนเซียงด้วย” จากนั้นก็ถามพวกเขาว่า “วันนี้พี่ใหญ่กับพี่สามไปเรียนกับพวกเจ้าด้วยหรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า “อาจารย์จ้าวสอนพี่ใหญ่กับพี่สามเกี่ยวกับคัมภีร์มหาบุรุษ และสอนพวกเราเกี่ยวกับตำราปฐมวัย”
สวีซื่อจุนที่ฟังอยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นก็พูดว่า “พี่ใหญ่บอกว่าอาจารย์จ้าวมีความรู้อันลึกซึ้ง!”
สวีซื่อเจี้ยพูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ไม่มากับพวกเรา เขาบอกว่าจะไปหาพี่สอง พี่สามได้ยินดังนั้นก็เลยตามไปด้วย”
ทั้งสองคนผลัดกันพูด ทั้งๆ ที่เล่าเรื่องไปเรียนอยู่แท้ๆ แต่สุดท้ายก็แอบตำหนิสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนที่ทิ้งพวกเขาไปหาสวีซื่ออวี้
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่สอง และพี่สามอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นจึงชอบเล่นด้วยกัน เจ้ากับพี่สี่เองก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกันจึงมักจะชอบอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ”
สวีซื่อเจี้ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอียงคอแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “เช่นนั้นท่านแม่มีน้องชายให้ข้าดีกว่า หากเป็นน้องสาวก็จะต้องไปเล่นกับน้องหญิงสองแน่ๆ แล้วก็ไม่ยอมเล่นกับพวกเรา!”
ทุกคนในห้องต่างก็พากันหัวเราะ
หลังจากนั้นสวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ และสวีซื่อเจี่ยนก็พากันมาคารวะ
สวีลิ่งอี๋เอ่ยถามสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนว่าวันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง
เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็โผล่มาพอดี
เนื่องจากทั้งห้องเต็มไปด้วยเด็กผู้ชาย นางจึงไปอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มพลางจับมือนาง แล้วฟังที่สวีลิ่งอี๋ถามสวีซื่ออวี้เกี่ยวกับการบ้านของเขาด้วยกัน
เห็นได้ชัดว่าสวีซื่ออวี้จริงจังกับการบ้านของเขามาก ไม่เพียงแต่พูดตอบอย่างฉะฉานซ้ำยังพูดได้คล่องแคล่ว ใบหน้าเผยให้เห็นความมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับไข่มุกที่เปล่งประกาย ทำเอาสวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยน สวีซื่อจุน และสวีซื่อเจี้ยที่อยู่ข้างๆ พลอยตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ สายตาที่ใช้มองเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม
สวีลิ่งอี๋พอใจเป็นอย่างมาก เห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้ว จึงกำชับอีกเพียงสองสามประโยคว่าให้ตั้งใจเรียนกับอาจารย์เจียง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วไปยังเรือนไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงลุกไปส่งพวกเขา
เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบเข้ามาพยุงนางอย่างระมัดระวัง
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าไปพักผ่อนในห้องเถิด อย่าเดินเยอะ”
“วันๆ เอาแต่นอนอยู่บนเตียงเตา ข้าอยากลุกขึ้นมาเดินบ้าง” สืออีเหนียงรู้สึกว่าหญิงตั้งครรภ์ก็ต้องออกกำลังกายบ้างในระดับที่เหมาะสมจึงยืนกรานที่จะไปส่งพวกเขา
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉินอี๋เหนียงกำลังยืนอยู่ใต้ชายคา
ทุกคนต่างก็แปลกใจ
ฉินอี๋เหนียงมาคำนับด้วยท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อยแล้วพูดอธิบายเสียงพึมพำว่า “คิดว่าท่านโหวไปแล้ว…เห็นบอกว่ากำลังพูดคุยอยู่กับคุณชายน้อย ข้าไม่กล้ารบกวนจึงยืนรออยู่ที่นี่สักพัก…”
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองสวีซื่ออวี้ ถามว่า “มีเรื่องอันใดหรือ” ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
สวีซื่ออวี้ก้มหน้ามองพื้นยืนอยู่ข้างๆ สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนอย่างเงียบสงบ ไร้ราศีเปล่งประกายอย่างเมื่อครู่
“ไม่…ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” ฉินอี๋เหนียงพูดพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากสืออีเหนียง “ข้าแค่มาเยี่ยมฮูหยินก็เท่านั้น”
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวรีบไปที่เรือนไท่ฮูหยินเถิดเจ้าค่ะ ส่วนอี๋เหนียงก็มานั่งในเรือนก่อนเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พูดกำชับสืออีเหนียงว่า “เจ้าเองก็รีบเข้าไปในห้องเถิด” จากนั้นก็พาเด็กๆ ไปหาไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงยิ้มพลางตอบรับ ส่งสวีลิ่งอี๋และคนอื่นๆ ออกไป แล้วพูดกับฉินอี๋เหนียงด้วยรอยยิ้มว่า “หากมีเรื่องอันใดพวกเราก็เข้าไปคุยกันในห้องเถิด!”
ฉินอี๋เหนียงก้มหน้าพลางเดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับสืออีเหนียง
“ฮูหยิน!” นางหยิบกระดาษสีเหลืองรูปสามเหลี่ยมออกมาจากเสื้อ “นี่คือยันต์แคล้วคลาดที่ข้าไปบูชามาให้ท่าน แขวนไว้ที่หน้าประตูจะช่วยคุ้มครองให้ท่านปลอดภัยเจ้าค่ะ”
แขวนไว้หน้าประตู? ต้องใส่ไว้ในถุงเงินห้อยบนเข็มขัดหรือไม่ก็วางไว้ใต้หมอนไม่ใช่หรือ
สืออีเหนียงยิ้มพลางเรียกหู่พั่วให้มารับไป
เมื่อฉินอี๋เหนียงเห็นว่าสืออีเหนียงดูไม่ค่อยใส่ใจจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “นี่คือยันต์ที่ข้าขอให้ไต้ซือจี้หนิงช่วยทำพิธีให้!”
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ยังมีวิธีใช้แบบอื่นอีกหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ!” ฉินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “แปะไว้ตรงที่ที่มีคนเข้าออกก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วยกถ้วยชาขึ้นมา
ฉินอี๋เหนียงจึงลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงกำชับหู่พั่ว “เอายันต์นี้ไปถามไต้ซือจี้หนิง บอกว่าฉินอี๋เหนียงให้มาไม่รู้ว่าต้องใช้อย่างไร ให้ไต้ซือช่วยแนะนำ”
หู่พั่วรับคำแล้วถอยออกไป
หลังจากนั้นลี่ว์อวิ๋นก็เข้ามาถามว่าจะทานอาหารเย็นที่ไหน
“ทานที่ห้องโถงเถิด!”
ตอนนี้สืออีเหนียงจมูกไวมาก เวลาทานอาหารในห้องนอนแล้วจะรู้สึกว่ากลิ่นอาหารไม่จางไปสักที
ลี่ว์อวิ๋นกำชับสาวใช้น้อยให้นำอาหารมาวาง
มียำต้นอ่อนถั่วลันเตา ผัดผักกาดขาว ยำถั่วลิสงใส่เมล็ดสน หน่อไม้ดองผัดเห็ดหูหนู…แม้ว่าทั้งโต๊ะจะเป็นอาหารมังสวิรัติ แต่ล้วนมีสีสันสดใส เห็นแล้วทำให้รู้สึกอยากอาหาร
สืออีเหนียงนั่งลง พึ่งจะหยิบตะเกียบ หู่พั่วก็ยกขนมซานเย่าไส้พุทธาร้อนๆ เข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยิน ท่านโหวให้หลินปัวนำมาส่งให้เจ้าค่ะ”
ตะเกียบของสืออีเหนียงค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะค่อยๆ ไปหยุดอยู่ที่ขนมซานเย่าไส้พุทธาสีแดง
หู่พั่วเห็นสืออีเหนียงทานติดต่อกันสองชิ้น นึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นเวลากลางคืนกลัวว่าอาหารจะไม่ย่อยจึงยิ้มแล้วพูดว่า “หากฮูหยินชอบ บ่าวจะให้โรงครัวเอาไปนึ่งไว้ในหม้อนึ่ง หากท่านอยากจะทานตอนไหนก็ค่อยนำออกมาดีหรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ทานยำต้นอ่อนถั่วลันเตาไปสองคำ จากนั้นก็ให้คนนำอาหารออกไป
หู่พั่วยกน้ำส้มคั้นสดเข้ามา
สืออีเหนียงพึ่งจะดื่มไปหนึ่งอึก เหวินอี๋เหนียงกับหยางอี๋เหนียงก็มาคารวะ
เมื่อรู้ว่าสืออีเหนียงตั้งครรภ์ พวกนางก็ยิ้มพลางแสดงความยินดี มอบสร้อยคอสีแดงทองที่ห้อยอักษร ‘สมปรารถนาในทุกเรื่อง’ แล้วยังมอบสร้อยข้อมือสีแดงทองห้อยรูปลิงปีนเสาหนึ่งคู่ กับสร้อยข้อมือสีแดงทองห้อยกระดิ่งหนึ่งคู่เป็นของขวัญแสดงความยินดี นั่งคุยเป็นเพื่อนอยู่นาน หลังจากนั้นก็เป็นเฉกเช่นเมื่อก่อน นอกจากจะมาคารวะเช้าเย็นแล้ว เวลาเจอหน้าเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็จะมาขอคำแนะนำการเย็บปัก ส่วนเวลาอื่นก็น้อยที่จะได้แสดงตัว สืออีเหนียงอดแปลกใจไม่ได้ พอไปสืบมาจึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วเวลานางอยู่ที่เรือนก็จะเรียนรู้งานเย็บปักจากหงซิ่ว
สืออีเหนียงยิ้มพลางให้คนยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้พวกนาง แต่กลับเหลือบมองไปยังคนข้างหลัง
คนมีไหวพริบอย่างเหวินอี๋เหนียงรู้ทันทีว่าสืออีเหนียงกำลังมองหยางอี๋เหนียง
ตั้งแต่สืออีเหนียงตั้งครรภ์ หยางอี๋เหนียงก็ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเล็กน้อย หลายวันมานี้ในดวงตาของนางก็ปรากฏเส้นเลือดสีแดงขึ้นมา ท่าทางดูอ่อนล้าเป็นอย่างมาก
แม้ว่าสืออีเหนียงจะมอบหมายหยางอี๋เหนียงให้นางดูแล แต่นางไม่ได้อยากจะสนิทสนมกับหยางอี๋เหนียงมากนัก เห็นหยางอี๋เหนียงเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่เคยคิดจะถามเลยสักครั้ง ทำเป็นมองไม่เห็น ครั้งนี้ก็เช่นกัน นางยิ้มพลางพูดถึงเรื่องที่ตัวเองกำลังทำงานเย็บปัก “…ปักองุ่นสองสามพวง ยังขาดด้ายสีม่วงที่ดูเหมือนจริงจึงอยากจะมาขอจากฮูหยิน”
สืออีเหนียงให้จู๋เซียงไปช่วยนางหาด้ายเย็บปักสีม่วง “หากขาดอะไรก็มาบอกข้า”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มรับ เฉียวเหลียนฝังเองก็มาคารวะด้วยเช่นกัน
ท่าทางดูไม่เย่อหยิ่งเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้นางค่อนข้างทำตัวสันโดษ ไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่ค่อยอยู่รวมกับอี๋เหนียงคนอื่นๆ นอกจากนี้เมื่อเห็นเหวินอี๋เหนียงนางก็ยังพยักหน้าทักทายอย่างสุภาพ
สืออีเหนียงเชิญนางนั่งลง แต่นางกลับเอ่ยปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม “หากฮูหยินไม่มีอะไรจะพูดกับข้าแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ”
นางไม่ได้บังคับเฉียวเหลียนฝังแล้วให้หู่พั่วไปส่งเฉียวเหลียนฝัง จากนั้นก็พูดคุยพลางดื่มชากับเหวินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียง
หลังจากนั้นอี๋เหนียงทั้งสองก็ขอตัวออกไป
สืออีเหนียงจึงได้ล้างหน้าล้างตาเตรียมจะพักผ่อน
หู่พั่วที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ พูดเสียงเบาว่า “ได้ยินบรรดาสาวใช้น้อยบอกว่าเหมือนว่าหยางอี๋เหนียงกำลังปักอะไรบางอย่าง บางครั้งไฟในห้องก็ไม่ได้ดับทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ”
“หยางอี๋เหนียงเก่งเรื่องงานเย็บปัก” สืออีเหนียงพูดเสียงเรียบว่า “บางทีอาจจะกำลังปักผลงานชิ้นใหญ่” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันรำลึกของพี่หญิงใหญ่แล้ว ทางด้านศาลบรรพชนคงจะมีการจัดเตรียมพิธีเอาไว้แล้ว เจ้าไปตรวจดูว่าพวกเขาเตรียมไปถึงไหนแล้ว!”
หู่พั่วรับคำ “เจ้าค่ะ” หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นก็ไปซักถามที่ศาลบรรพชน
ผู้ดูแลศาลบรรพชนยิ้มแล้วพูดว่า “สองวันก่อนไท่ฮูหยินก็ส่งคนมาถามแล้ว ข้าบอกว่าตามธรรมเนียมต้องใช้กระดาษเงินและกระดาษทองอย่างละห้าร้อย เครื่องเซ่นไหว้สามอย่าง จัดไว้ทั้งหมดสามโต๊ะ เพียงแต่ว่าทางฝั่งของไท่ฮูหยินยังไม่มีใครกลับมารายงาน ข้าก็ไม่อาจตัดสินใจเองได้”
สืออีเหนียงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปถามป้าตู้เถิด อาจจะเป็นเพราะมีเรื่องมากมาย นางจึงลืมไปบอกกระมัง”
หู่พั่วไปหาป้าตู้แล้วกลับมารายงานว่า “ไท่ฮูหยินบอกว่ากลัวจะเสียงดังรบกวนท่านจึงลังเลว่าจะต้องนิมนต์พระสงฆ์มาหรือไม่ ดังนั้นเรื่องพิธีเซ่นไหว้จึงยังไม่ได้มีคำสั่งเจ้าค่ะ!”