ณ ที่เกิดเหตุภายในหอชั้นเลิศ
หญิงสาวเจ้าของใบหน้าเล็ก ที่มีผมยาวหยักศกปิดบังใบหน้าส่ายศีรษะไปมา
การเคลื่อนไหวของนางดูแปลกประหลาด เหมือนหุ่นเชิดที่ถูกใครบางคนควบคุมอยู่
เจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่สองสามคนไม่รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด พวกเขาฟังที่อู่จั้วบอกและคิดว่าคนที่ลงมือเป็นผู้ชาย
จากนั้นทันทีที่ประตูไม้ปิดลง สายลมวูบหนึ่งก็พลันพัดผ่านเข้ามาถูกเส้นผมของผู้หญิงคนนั้น เผยให้เห็นใบหน้าน่ารักคมคาย——แต่สีหน้านั้นมันคืออะไรกัน ดวงตาของนางมืดมิดราวกับบ่อน้ำปราศจากซึ่งอารมณ์ใดๆ ขณะที่มุมปากของนางกลับมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ บรรยากาศรอบตัวนางดูน่าขนลุกเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
นางคือคนต่อไป…
มีคนตายในสำนักไท่ไป๋อีกแล้ว!
มีผู้เสียชีวิตถึงสองรายภายในวันเดียว ยิ่งกว่านั้น มันยังอยู่ภายใต้การตรวจตราของเหล่าทหารอีกด้วย!
แทบจะเป็นเช่นเดียวกันกับเหยื่อรายที่แล้ว ศพนี้ก็เหลือเพียงแค่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น เลือดทุกหยดล้วนแต่เหือดแห้งไปจากร่างนั้นทั้งสิ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อตัวลง นางยังพอจะสัมผัสความอบอุ่นจากร่างนั้นได้อยู่ในตอนที่นิ้วของนางปัดผ่านเสื้อของเหยื่อรายนั้น
มันหมายความว่าเหยื่อรายนี้เพิ่งถูกฆาตกรรมไปเมื่อครู่นี้นี่เอง…
“ฝ่าบาทเพคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานแว่วมาในหู ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะลุกขึ้นยืน
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไป และเห็นอวิ๋นปี้ลั่วกำลังคุยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ใต้ต้นไม้ ”เวลานี้ที่สำนักไม่ปลอดภัยเพคะ ฝ่าบาทกลับไปที่วังหลวงก่อนจะดีกว่า”
อวิ๋นปี้ลั่วไม่เข้าใจว่าฝ่าบาทกลับมาที่นี่อีกทำไมทั้งที่เขาเดินทางออกจากสำนักไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัยเพราะมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นตัวตนของเขาก็แตกต่างจากคนอื่นๆ ฐานะที่ต่างจากคนอื่นของเขาจะไม่ทำให้คนที่ต้องการบัลลังก์ใช้โอกาสนี้ชิงมันไปจากเขาหรือ
พวกเขายืนอยู่ห่างออกไป ดังนั้นจึงไม่มีใครได้ยินคำพูดที่พวกเขาพูดคุยกัน
คนอื่นๆ มองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของพวกเขาเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าพี่อวิ๋นกับองค์ชายใกล้จะคืนดีกันแล้ว ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ทั้งสองคนเดินทางเข้าวังหลวงด้วยกัน” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอิจฉา
“องค์ชายมักจะปฏิบัติต่อพี่อวิ๋นด้วยความอดทนยิ่งกว่าใครเสมอ ข้าว่าป่านนี้คงมีคนบางคนกลุ้มใจขึ้นมาแล้วกระมัง เพราะตำแหน่งพระสนมจะต้องตกเป็นของพี่อวิ๋นอย่างแน่นอน”
เสียงของคนเหล่านั้นไม่ได้ดังนัก แต่ฟังดูเหมือนว่าพวกเขาจงใจให้เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินมากกว่า
แต่แล้วพวกเขาก็พลันต้องรู้สึกเดือดดาล เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่นิดเดียว!
มิหนำซ้ำรอยยิ้มเล็กๆ ที่นางเผยออกมาให้เห็นนั้นก็ยิ่งทำให้พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาคงไม่ว่าอะไรหากผู้หญิงอย่างอวิ๋นปี้ลั่วได้เป็นพระชายาสาม แต่ทำไมต้องเป็นหญิงอัปลักษณ์คนนี้ด้วย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเมินสองคนนั้นไป
ในเวลานี้ เวลาของนางมีค่ามาก… เดี๋ยวก่อน นั่นมันอะไรกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อตัวลง ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่แขนของเหยื่อรายนั้น
จุดสีดำหรือ!
“เจ้ามายืนทำอะไรตรงนี้” บรรดาทหารราบที่มีหน้าที่ขนร่างนั้นออกไปเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร พวกเขาเป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่แล้ว และนิสัยนั้นก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อพวกเขาเห็นว่ามีลูกศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาขวางทางพวกเขาเข้า
เฮ่อเหลียนเวยเวยลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไร
ทหารราบเหล่านั้นก้าวเท้าเดินต่อพร้อมกับบ่นพึมพำเสียงเบา แค่มีคนตายติดกันก็นับว่าเป็นโชคร้ายพออยู่แล้ว หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงจะไม่จบไม่สิ้นเสียที และวันคืนอันผาสุกในฐานะข้ารับใช้ของพวกเขาก็คงจบสิ้นลงเพราะความเดือดดาลของผู้เป็นนาย!
ใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ลง ไม่มีใครรู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร
จากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพบอก เลือดของเหยื่อรายที่สองนี้ก็ถูกดูดออกจากร่างด้วยสาเหตุบางประการที่ไม่มีใครรู้เช่นกัน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้ใช้ปราณที่มีฝีมือมากนัก แต่เจ้าหน้าที่ทุกคนก็รู้ดีว่าการดูดเลือดคนอื่นเพื่อเพิ่มพลังปราณของตนนั้นเป็นคำสาปต้องห้ามระดับสูงสุด
ไม่ว่าฆาตกรจะเป็นใคร แต่มันก็ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
บรรดาทหารราบเหล่านั้นพากันขนลุกเกรียว พวกเขาเหลือบมองร่างที่ถูกยกขึ้นนั้นก่อนจะรีบออกไปจากหอชั้นเลิศ
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยละสายตาออกจากทหารราบสองนายนั้น นางก็สังเกตเห็นว่าอวิ๋นปี้ลั่วกำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าน่าสงสาร ”แม่นางเวยเวย ได้โปรดช่วยข้ากล่อมให้ฝ่าบาทกลับไปที่วังหลวงด้วยเถิด”
“ข้าไม่มีเวลา” เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงตอบนางสั้นๆ และเย็นชา ก่อนจะเดินผ่านคนทั้งสองไป นางแค่นหัวเราะกับตัวเองอยู่เงียบๆ ระหว่างที่รู้สึกประทับใจในความหน้าด้านของอวิ๋นปี้ลั่ว
แม้นางจะเว้นระยะห่างกับทั้งสองแล้ว แต่นางก็ยังได้ยินอวิ๋นปี้ลั่วเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ”ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉัน…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น แต่สีหน้าของเขากลับยิ่งเย็นชาขึ้นอีก แม้แต่ดวงตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความเย็น
อวิ๋นปี้ลั่วกำมือของตัวเอง นางพูดอะไรไปตั้งมากมาย แต่มันก็ยังเทียบกับผู้หญิงที่เพิ่งเดินผ่านเขาไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณผู้หญิงคนนั้น เพราะฝ่าบาทจะได้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่านางน่าสงสารเพียงใด
อวิ๋นปี้ลั่วหลุบตาลง หัวใจของนางเริ่มเต็มไปด้วยความสุข
“หลีกไป” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยปากออกมาสองคำ
“อะไรนะเพคะ” อวิ๋นปี้ลั่วตาโตด้วยความตกใจ
“ข้าบอกว่าให้หลีกไป” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอย่างไม่สนใจไยดี แม้แต่ท่าทางเฉยเมยเช่นนั้นก็ยังดูสบายและสูงศักดิ์เป็นอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคนทั่วไป
คำพูดอันเย็นชาของเขานั้นแช่แข็งอวิ๋นปี้ลั่วเอาไว้กับที่
เมื่อครู่นี้เขาหยุดเดินเพราะเขาต้องการฟังสิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่หรือ
หรือว่า… เขาหยุดเดินเพราะจะได้มองดูเฮ่อเหลียนเวยเวยกันแน่
อวิ๋นปี้ลั่วเดา นางกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยไหล่อันสั่นเทา และท้ายที่สุด ดวงตาของนางก็จมดิ่งลงสู่ความเศร้าหมอง
ดูเหมือนว่า… มันจะยังไม่พอ
เวลาเที่ยงวัน ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวเข้ามาในย่านการค้าเพราะตั้งใจจะหาอะไรกิน ก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นจากห้องโถงหลัก
ลูกศิษย์จำนวนหนึ่งเดินเข้ามา ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย ”ได้ข่าวว่าคนจากศาลาว่าการเจอเบาะแสแล้ว!”
อะไรนะ?!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเดิน แล้วหันไปทางศิษย์ที่เพิ่งพูดประโยคนั้นออกมา
“เบาะแสอะไรหรือ” คนอื่นๆ เข้าไปรุมล้อมรอบตัวเขาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยความสงสัย
“ใจ… ใจเย็นๆ ขอข้าหายใจก่อน” ลูกศิษย์คนที่วิ่งเข้ามาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ ”ไป๋ซินรุ่ยไปสถานที่แห่งหนึ่งมาก่อนที่นางจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง”
“กลางค่ำกลางคืนเช่นนั้นนางออกไปที่ไหนมาหรือ” ศิษย์คนหนึ่งถามด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“นางไปที่ทะเลสาบชิงหลง ดูเหมือนว่าคุณชายจากตระกูลเฮยก็อยู่ที่นั่นด้วย หมายความว่าคนสุดท้ายที่เห็นไป๋ซินรุ่ยก่อนนางตายก็คือคุณชายเฮย” ศิษย์คนนั้นเอ่ยด้วยท่าทางมีเลศนัย
“เจ้าหมายความว่าคุณชายเฮยเป็นฆาตกรหรือ” เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วห้อง
“ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นฆาตกรหรือเปล่า แต่จือฝู่คนนั้นตัดสินใจว่าจะพาตัวเขาไป ดูเหมือนเก้าในสิบจะเชื่อแล้วว่าคุณชายเฮยมีความผิดจริง”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ดำทะมึน นางรีบออกจากย่านการค้าอย่างรวดเร็ว และตรงไปยังหอสามัญ
สิ่งเดียวที่นางกลัวก็คือเฮยเจ๋อจะกลายเป็นแพะรับบาปเพราะจือฝู่คนนั้นต้องการปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด
ตระกูลเฮยกุมบังเหียนธุรกิจภายในเมืองหลวงเอาไว้ในมือ และยังเป็นตระกูลที่ร่ำรวยเงินทองยิ่งนัก
แต่เห็นได้ชัดว่าคดีนี้มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง
อำนาจและอิทธิพลของตระกูลเฮยอาจจะไม่เพียงพอที่จะต่อต้านคนพวกนั้นได้
ไม่อย่างนั้นจือฝู่คนนั้นก็คงไม่กล้าพอที่จะพาตัวเฮยเจ๋อไป
ในโลกที่แตกต่างจากโลกเดิมของนางแห่งนี้ นางมีคนที่นางรักอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เฮยเจ๋อคอยช่วยเหลือและปกป้องนางตอนอยู่ที่สำนักมาโดยตลอด
มิหนำซ้ำหากไม่ใช่เพราะนางบอกให้เขาไปตรวจสอบทะเลสาบชิงหลง เขาก็คงไม่ถูกเข้าใจผิดในฐานะผู้ต้องสงสัยและถูกพาตัวออกไปเช่นนี้
นางจะมัวรอเฉยเช่นนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!
ปัง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยผลักประตูไม้เบื้องหน้าตนออก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังปลดกระดุมเสื้อของตัวเองอยู่ตอนที่เขาได้ยินเสียงเอะอะนั้น เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นสีหน้าที่ห่างไกลจากคำว่ายินดีไปมากโข สายตาไร้ซึ่งความเห็นใจนั้นหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่หน้าประตู…