ในสายตาของพวกนาง ผู้ที่ฐานันดรศักดิ์สูงส่ง ย่อมมีความน่าเกรงขาม
สิ่งนี้ทำให้หนิงเซ่าชิงดูหล่อเหลา มีรูปแบบและสง่าผ่าเผย
ภายในใจของทั้งสองเปี่ยมล้นไปด้วยความดีใจและความสุข กำลังเพ้อฝันว่าจะได้ตบแต่งเข้าตระกูลขุนนางใหญ่
คาดว่าเวลานี้ หนิงเซ่าชิงบอกให้พวกนางกินอุจจาระ พวกนางก็คงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“หัวหน้าตระกูลหนิง! วันนี้ข้าน้อยเชิญท่านมา เพราะอยากจะพูดคุยหับหัวหน้าตระกูลหนิง…พูดคุยเรื่องบทกวีครู่หนึ่งเท่านั้น”
คนที่พูดคือมั่วปี้หรุ่ย นางรู้ว่ามั่วปี้หรงมีความคิด ดังนั้นคำพูดในวันนี้ นางคัดลอกมา ความรักต่างๆ ล้วนเริ่มต้นจากบทกวีไม่ใช่หรือ
ส่วนมั่วปี้หรง เห็นชัดว่านางก็รู้ตัวดีว่าตนพูดไม่เก่งเท่ามั่วปี้หรุ่ย ดังนั้นจึงยินดีที่จะเป็นเพียงตัวประกอบ!
เป็นตัวประกอบอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ขอเพียงนางแต่งเข้าตระกูลมั่วได้ ให้นางได้อยู่เคียงข้างหัวหน้าตระกูลหนิง ไม่พูดถึงอนุภรรยา แม้จะให้นางเป็นสาวใช้ นางก็ยินดี!
บทกวีเช่นนั้นหรือ
หนิงเซ่าชิงหัวเราะเยือกเย็น…
เสียดายที่สองพี่น้องตระกูลมั่วไม่เห็นรอยยิ้มของเขา เพราะกระทั่งเวลานี้พวกนางสองคนยังคงเขินอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหนิงเซ่าชิง!
“แม่นางทั้งสองช่างอารมสุนทรีย์ยิ่งนัก! แต่ว่าข้าไม่ใช่คนสง่าผ่าเผยเช่นนั้น ข้าไม่สนใจกลอนกวี หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าขอตัวก่อน!”
เรื่องอะไรเขาต้องเสวนากับสตรีทั้งสองคนนี้ด้วย เมื่อมั่นใจในตัวตนของสตรีทั้งสองคนแล้ว หนิงเซ่าชิงหมุนตัวหันหลังหมายจะกลับไป เขากลัวว่าหากตนไม่ไป จะห้ามใจไม่ได้แล้วโยนสตรีที่น่ารังเกียจลงไปในสระบัวที่อยู่ไม่ไกล
สตรีที่น่ารังเกียจทั้งสองคนนี้ เขาอยากจะจัดการเสียตอนนี้!
แต่ว่า วันนี้เป็นพิธีปักปิ่นของเชียนเสวี่ย เขาไม่ควรทำอะไรเกินเลย มิเช่นนั้นอาจทำให้เชียนเสวี่ยวางตัวลำบาก
เห็นหนิงเซ่าชิงหมุนตัวหันหลังเดินไป ไม่หวั่นไหวกับพวกนางแม้แต่น้อย มั่วปี้หรุ่ยเริ่มร้อนใจ
“หัวหน้าตระกูลหนิงช้าก่อนเจ้าค่ะ! พี่เชียนเสวี่ยรับปากพวกเราแล้ว วันข้างหน้าหลังจากที่พี่เชียนเสวี่ยแต่งเข้าตระกูล พี่เชียนเสวี่ยจะพาพวกเราไปด้วย เมื่อถึงเวลานั้น…เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราสามคนพี่น้องจะช่วยกันดูแลรับใช้หัวหน้าตระกูลหนิงด้วยกันเจ้าค่ะ…”
ในความคิดของนาง เกรงว่าหัวหน้าตระกูลหนิงเป็นสุภาพบุรุษ เหตุเพราะเป็นกังวลเรื่องชื่อเสียงจึงไม่อยากอยู่กับพวกนางเป็นเวลานาน ขอเพียง นางพูดออกไปอย่างชัดเจน ภายใต้ความถูกทำนองคลองธรรม หัวหน้าตระกูลหนิงย่อมต้องมองพวกนางใหม่
หนิงเซ่าชิงหันกลับมา จ้องมองหญิงทั้งสองด้วยความเหลือเชื่อ
เขาไม่เข้าใจจริงๆ สมองของสตรีทั้งสองชักกระตุก หรือว่าเส้นประสาทในสมองเชื่อมผิด
เชียนเสวี่ยรับปากว่าจะรับพวกนางเข้าจวนหนิงเนี่ยนะ? นี่ไม่ต่างอะไรกับการฝันกลางวัน!
หนิงเซ่าชิงรู้จักมั่วเชียนเสวี่ยดี! ความคิดและแผนการของมั่วเชียนเสวี่ย เขากระจ่างชัดยิ่งนัก
แม้ดื่มสุราเมรัยจนเมามาย นางก็จะพูดแค่ว่า ‘หนิงเซ่าชิง หากท่านกล้ามีอนุภรรยา เช่นนั้นเราได้เห็นดีกัน’ นางต้องพูดประมาณนี้ ไม่มีทางบอกว่า ยอมแบ่งปันเขากับสตรีอื่น
ไม่ทราบว่า หญิงชั่วช้าทั้งสองคนพ่ายแพ้มั่วเชียนเสวี่ย แล้วอยากจะหาลู่ทางจากเขาหรือ
“หึ…” หนิงเซ่าชิงหัวเราะในลำคอ แกล้งทำเป็นมองพวกนางด้วยความตั้งใจ
แววตาของหนิงเซ่าชิงในสายตาของพวกนางกำลังฉายความสุขราวกับจะถูกเลือก!
พวกนางกล่าวไว้แล้ว เมื่อหนิงเซ่าชิงเห็นความงดงามของพวกนาง ต้องลุ่มหลงในรูปโฉมของพวกนางอย่างแน่นอน! มั่วเชียนเสวี่ยเป็นแค่ตัวอะไร…
แต่ว่า ความสุขมาเร็วเกินไป สิ่งที่ตามความสุขมาติดๆ คือข่าวร้าย เสมือนสายฟ้าฟาดลงมาในวันที่ท้องฟ้าสดใส!
“พวกเจ้าเป็นผู้ใด จึงคิดอยากจะเข้าตระกูลพร้อมกับเชียนเสวี่ย เข้าตระกูลหนิงไปทำอะไร ไปเป็นสาวใช้คอยรินน้ำชาให้เชียนเสวี่ยเช่นนั้นหรือ พวกเจ้าคู่ควรด้วยหรือ”
หนิงเซ่าชิงหัวเราะเยือกเย็นแล้วมองไปที่พวกนาง ไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าหญิงทั้งสองคนตรงหน้า จะรับคำพูดของตนได้หรือไม่!
สตรีที่ตระกูลมั่วส่งมาหมายความว่าอย่างไร มีหรือที่หนิงเซ่าชิงจะไม่รู้ เขาเพียงแกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อทำให้พวกนางอับอายเท่านั้น ชั่วชีวิตนี้สตรีเพียงคนเดียวที่เขาจะปกป้องมีเพียงมั่วเชียนเสวี่ยเท่านั้น
มารดาของเขา ล่วงลับไปแล้ว
มารดาเลี้ยงของเขา หน้าซื่อใจคดกับเขา วางแผนทำร้ายเขาอยู่ตลอดเวลา
ท่านย่าของเขา ท่านย่าของเขา…หลังจากที่เขาทราบเรื่องของตระกูลอวี่เหวิน ก็ไม่ควรค่าให้เขาปกป้องอีกแล้ว
หน้าประตูเรือนฉือหย่างในวันนั้น เขาตัดสินใจแล้วว่า ความอ่อนโยนทั้งหมดในชีวิตของเขาจะมอบให้มั่วเชียนเสวี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น
สตรีอื่น ในสายตาของเขาหนิงเซ่าชิง เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น! สำหรับเรื่องที่ว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย เขาไม่จำเป็นต้องแยกแยะ!
คำพูดที่ไร้เยื่อใยของหนิงเซ่าชิง ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเป็นคำพูดที่ไร้ซึ่งความเกรงใจ ทำให้สองพี่น้องตระกูลมั่วตกตะลึง!
เดิมทีทั้งสองสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเพื่อยั่วยวนหนิงเซ่าชิง เลือดที่เดือดพล่านในตอนแรก เวลานี้ถูกหนิงเซ่าชิงกระทำอย่างไร้เยื่อใย ร่วมกับอยู่ในป่าไผ่ ลมแรงอยู่แล้ว ทำให้ทั้งสองหนาวจนอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา…
“หัว…หัวหน้าตระกูลหนิง ไม่ใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ…พวกเราไปตระกูลหนิงเพื่อปรนนิบัติรับใช้ท่าน…ปรนนิบัติรับใช้หัวหน้าตระกูลหนิง…”
“ปรนนิบัติรับใช้ข้า?”
หนิงเซ่าชิงพูดขัดมั่วปี้หรุ่ย ปรายตามองนางครู่หนึ่ง ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย “พวกเจ้าสองคนเนี่ยนะ ไม่คู่ควรแม้กระทั่งเป็นคนยกรองเท้าให้ข้า!”
ในเมื่อสองคนนี้โง่เขลา เช่นนั้นเขาก็ไม่ถือสาที่จะพูดให้หยาบคายมากยิ่งขึ้น
นี่ไม่ใช่คำว่าคู่ควรไม่คู่ควรคำแรกที่หนิงเซ่าชิงพูดในวันนี้แล้ว! การที่หนิงเซ่าชิงใช้เพียงคำพูดในการดูแคลนพวกนาง เพราะตอนนี้พวกนางยังไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเชียนเสวี่ย
ท่านอาจารย์เคยบอกว่า คนเราต้องเหลือทางให้ตนเอง เขาจำได้เสมอ เขาเพียงอยากทำให้พวกนางอับอายเล็กน้อยก็เท่านั้น ให้สตรีที่น่ารังเกียจทั้งสองยอมแพ้ อย่าคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดอีก หยุดรบกวนเชียนเสวี่ยของเขาก็พอแล้ว
คนเช่นนี้หรือคู่ควรจะเข้าเรือนหลังของตระกูลหนิง อย่าทำให้เชียนเสวี่ยอกแตกตาย! เชียนเสวี่ยของเขาล้ำค่าที่สุด เขาไม่อยากให้เชียนเสวี่ยแต่งงานกับเขา แล้วยังต้องปวดหัวกับสตรีอื่น
ไม่มีเหตุผลที่จะเสียเวลากับสตรีหัวกลวงเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะอยากจะช่วยมั่วเชียนเสวี่ยดึงสติหญิงทั้งสองที่โง่เขลา เขาไม่มีวันเสวนากับหญิงน่ารังเกียจสองคนนี้เด็ดขาด
ตอนนี้เขาพูดไปแล้ว ทั้งยังเตือนแล้ว! สำหรับเรื่องที่ว่าฟังหรือไม่นั้น เช่นนั้นก็เป็นเรื่องของพวกนางแล้ว!
หากเชื่อฟัง ไม่แน่ชีวิตในวันข้างหน้าอาจจะสุขสบายเล็กน้อย แต่หากไม่เชื่อฟัง…หึ
เขารับปากท่านอาจารย์แล้ว คนเราต้องเหลือทางให้ตนเอง แต่หากผู้อื่นทำเกินไป รนหาที่ตายเอง ก็ไม่อาจตำหนิเขาได้
……
องค์หญิงอวี้เหอมองมั่วเชียนเสวี่ยที่พูดคุยหัวเราะท่ามกลางผู้คนแล้วคับแค้นใจอย่างมาก!
คนบางคนก็เป็นเช่นนี้ เกิดมาก็ไม่ชอบอีกฝ่าย! ชีวิตนี้ไม่อาจเป็นเพื่อนกันได้ ไม่อาจเป็นคนแปลกหน้า เป็นได้เพียงศัตรู!
องค์หญิงอวี้เหอและมั่วเชียนเสวี่ยทั้งสองคน ชีวิตนี้ก็เป็นได้แค่ศัตรูเท่านั้น!
องค์หญิงอวี้เหอหัวเราะเยือกเย็น มองมั่วเชียนเสวี่ยที่พูดคุยกับคนอื่นๆ หลังจากที่นางหันหลังพูดกระซิบกระซาบกับบรรดาหญิงสาวที่นางสนิทสนม นางก็นั่งลงมอง พร้อมกับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย